LOGIN“ตายยังไม่พอ..ฉันต้องแต่งกับผู้ชายตั้ง 7 คนในนิยายที่ฉันเพิ่งสาปแช่งด้วยเรอะ!” ลี่เหยา นักอ่านสาวสมัยใหม่ตื่นขึ้นมาในร่างของไป๋หลิน นางเอกในนิยายย้อนยุคดราม่าเรตเจ็บหัวใจ ที่เธอเพิ่งสาปส่งไปเมื่อคืน!
View More“บัดซบ! แม่งจบแบบนี้เหรอ!? สารเลวววววววววววว!!!”
ลี่เหยาปาโทรศัพท์ลงบนเตียงแรงพอให้ตุ๊กตาปลาวาฬกลิ้งตกพื้น หัวใจเธอยังเต้นระรัวด้วยความหัวร้อนเต็มขั้น น้ำเสียงเกรี้ยวกราดปนสิ้นหวังเหมือนคนที่เพิ่งเสียเวลาไปสามวันไถฟีดมืออถืออ่านนิยาย…แล้วเจอจบแบบขมปี๋
นิยายเรื่อง "ชะตานางหงส์เจ็ดมังกร" พระเอกเจ็ดคน ‘แต่งงานกับนางเอกและไม่มีใครรักนางจริงซักคน ไม่มีแม้แต่ตอนจบที่มันอบอุ่น สักนิด! แล้วจะให้อ่านไปทำเพื่อ?! สรุปแล้วทั้งเรื่องคือโศกนาฏกรรมจุดจบของผู้หญิงที่ไม่มีใครรัก…แม่งโคตร toxic!
“ให้ตายเหอะ คนเขียนแมร่งใจหมาจริงๆ ขอสาปให้หล่อน โดนดูดเข้านิยายตัวเอง แล้วโดน…..” เธอปิดตาแน่น ซุกหน้า ในหมอน พึมพำราวกับบทสาปส่งนักเขียน...
ทันใดนั้น แสงสว่างพวยพุ่งออกมาจากหน้าจอ ตู้ม! โลกทั้งห้องเหมือนระเบิด กลิ่นเหมือนดิจิทัลไหม้ลอยเข้าจมูก เสียงแหลมแทรกกับเสียงประหลาดราวเปลวไฟกำลังเผาสคริปต์ ลี่เหยากรีดร้อง ก่อนที่ความมืดจะกลืนกินทุกอย่าง
กะพริบตาอีกที เธอก็ไม่อยู่ในโลกเดิมอีกต่อไปแล้ว
ทันใดนั้นเอง...เสียงฟ้าผ่าราวกับรอยขีดจากสวรรค์ ฉีกม่านฟ้า และร่างของลี่เหยา หายไปจากโลกใบนี้
เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังลั่นในจวนสกุลหยาง
ลี่เหยา ไม่สิ ไป๋หลินลืมตาขึ้นมาในร่างหญิงสาวผิวซีดที่เพิ่งถูกวางยา และนี่มันคือ “บทที่ 3” ของนิยาย… ก่อนวันที่นางควรตาย แต่ความตลกคือเธอ “รู้” ทุกอย่าง รู้ว่าใครวางยา รู้ว่าใครกำลังดูถูก และรู้ว่าพระเอกทั้งเจ็ด กำลังจะเดินเข้ามาทีละคน โดยไม่มีใครสนใจรัก ไป๋หลิน จริง ๆ
แต่ตอนนี้ เธอไม่ใช่ไป๋หลินเดิมอีกต่อไป เธอจะเขียนบทใหม่ทั้งหมด...ให้ผู้ชายทั้งเจ็ด ‘ตกหลุมรัก’ ด้วยตัวตนจริงของเธอ ไม่ใช่เพราะบทสคริปต์ที่ถูกวางไว้ และแล้วคืนแต่งงานของหยางเซวียนกับไป๋หลินก็มาถึง…
คืนที่พรหมจรรย์ของเธอ “ถูกแย่ง” กลางบทนิยาย โคตรดิบ… และไม่มีวันลืม
ฝนไม่ตกในคืนแต่งงานของหยางเซวียนและไป๋หลิน ทว่าในใจของลี่เหยาผู้ “ตื่น” ขึ้นในร่างนี้กลับมีเสียงฟ้าคำราม อยู่ไม่ขาด
เธอไม่รู้ว่ามาได้ยังไง จำได้แค่ด่าคนเขียนนิยายแบบสาปส่ง…แล้วความมืดก็กระชากเธอเข้ามาที่นี่… ตื่นขึ้นอีกที ก็ถูกลากเข้า ห้องหอพร้อมกับคำว่า “เจ้าสาว” ที่ยังไม่ทันพูดว่า ‘อุ๊ย’
ผ้าคลุมหน้าสีแดงถูกกระชากออก ร่างของเธอถูกเหวี่ยง ลงเตียง ผืนฟูกหนาแต่แข็ง กลิ่นดอกบัวจากผ้าปูปนกับกลิ่นตัวเขาสด ดิบ หยาบกร้าน
“อะ… เดี๋ยว!”
“เงียบ”
เสียงของเขาเย็นเฉียบ แต่ดวงตากลับไม่หลบเธอแม้แต่นิด ราวกับจับจ้องสัตว์ประหลาดในร่างผู้หญิง
“ข้าไม่สนว่าเจ้าอยากแต่งหรือไม่ แต่คืนนี้เจ้าต้องเป็น ของข้า เพราะข้าไม่ยอมให้ใครครหาได้ว่าเจ้าสาวของหยางเซวียน ‘ยังบริสุทธิ์’ หลังคืนเข้าหอ”
ริมฝีปากเธอสั่น แต่อุณหภูมิในกายกลับพุ่งพรวดจนปากแห้งไปหมด เขารู้... เธอเห็นจากแววตาเขา รู้ว่าเธอไม่ใช่ “ไป๋หลิน” คนเดิม รู้ว่าเธอ “ตื่น” แล้ว รู้ว่าข้างในเธอกำลังแตกตื่น... แต่เขาก็ยัง กดตัวเธอลงจนติดเตียงอยู่ดี
มือกร้านสากของเขาไม่ได้อ้อมค้อม เขากระชาก สายคาดอกผ้าไหมของเธอขาดดัง “พรืด” เสื้อซับตัวบางหลุด ลงไปอย่างไร้เยื่อใย ปล่อยผิวขาวของเธอเปลือยต่อหน้าเขาแบบ ไม่มีบท ไม่มีกล้อง ไม่มีรีไรต์
“ไม่เอาแบบนี้….ไม่…. ได้โปรด…”
“ข้าไม่ได้รักเจ้า” เขากระซิบข้างหู
“แต่คืนนี้ ข้าจะให้เจ้าจดจำไปชั่วชีวิต”
แล้วเขาก็ก้มลงฝังฟันลงบนลำคอเธอแรงพอให้รอยเลือดซึม
“อ๊าา!”
เสียงเธอดังไปถึงหน้าห้อง แต่ไม่มีใครกล้าเข้าหยางเซวียนผลักขาเธอออก หยาบ ดิบ โหดร้ายอย่างที่เธอไม่เคยอ่านจากนิยายเรื่องไหน
แล้วเขาก็ฝังร่างเขาเข้ามาในตัวเธอ... ไม่มีการถาม ไม่มีการขอ ไม่มีคำหวาน มีแค่ความแน่น กระแทกเข้าจนเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังสนั่นในห้องหอ
“มันไม่ควร… รู้สึกแบบนี้…” เธอกระซิก… หอบแรง น้ำตาซึม แต่ความจริงคือร่างเธอตอบสนองทุกแรงบีบ ทุกแรงกระแทก ทุกจังหวะที่เขาควบเธอราวกับต้องการลงทัณฑ์ มากกว่าร่วมรัก
แสงจากโคมแดงสลัวไหวราวกับหัวใจของหญิงสาวที่กำลังเต้นระรัว ร้อนแรงปะทะความหนาวเย็นภายนอก ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวถูกทิ้งพาดปลายเตียงเหมือนเศษของพิธีที่ไม่มีใครใส่ใจ เหลือไว้เพียงร่างเปลือยของเธอ ที่บิดเร้าอยู่ใต้ร่างชายหนุ่มในชุดเข้าหอ
เสียงลมหายใจเธอขาดห้วง ราวกับถูกดึงกระชากออกไปพร้อมกับสัมผัสของเขา
มือข้างหนึ่งของเขากดตรึงข้อมือเธอกับหมอน อีกมือเลื่อนผ่านขาเนียนแนบเข้าไปกลางต้นขาที่สั่นระริกจากแรงที่ไม่ได้เตรียมใจรับ
ไป๋หลิน ไม่สิ ลี่เหยา ในร่างของไป๋หลิน ร้องในลำคอ ดวงตาเบิกกว้าง แต่กลับไม่ผลักไส... ร่างของเธอกำลังตอกย้ำความจริงอย่างชัดเจนว่า ต่อให้จิตใจจะต่อต้าน แต่กายของเธอได้ทรยศไปเรียบร้อยแล้ว
“ไม่เอาแบบนี้...”
เสียงเธอสั่น แต่มันไม่ใช่เสียงปฏิเสธอีกต่อไป มันคือเสียงของคนที่กลัวตัวเองมากกว่าคนตรงหน้า
“เจ้ารู้ตัวหรือไม่…” เสียงเขากระซิบข้างหู ขณะปลายจมูกลากผ่านซอกคอเธอ “…ว่ากายของเจ้า…กำลังขอข้าอยู่”
มือของเขาสอดเข้าใต้ต้นขาอีกครั้ง ลูบขึ้นช้า ๆ ผ่านความชื้นร้อนระอุที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้อีก
เธอหอบเบา ๆ กลีบปากเผยอ ดวงตาปรือ มองเขาเหมือนคนหลงทางที่หยิ่งยโสเกินกว่าจะเอ่ยคำขอ แต่เธอไม่ได้ห้าม ไม่ได้ผลักไส ไม่ได้ขัดขืน มีเพียงแผ่นอกที่ยกขึ้นลงแรง กับหัวใจที่เต้นกระหน่ำจนร่างสั่น
หยางเซวียนยิ้มช้า ๆ มุมปากโค้งนิดเดียว แต่แฝงแรงอันตรายราวกับนักล่าที่เพิ่งเห็นเหย่ายอมวางคอให้เชือดเอง
เขาก้มลงจูบริมฝีปากนาง ไม่ใช่จูบอ่อนโยน หากแต่แน่นหนัก ดูดกลืน และครอบครองจนลมหายใจเธอขาดห้วง
“ข้าจะทำให้เจ้า…ลืมทุกสิ่งที่เจ้าเคยรู้สึก” เสียงของเขาทั้งเย็นและเร่าร้อนราวกับไฟซ่อนน้ำแข็ง
ร่างเขาแนบสนิทกับเธอ แรงกดหนักลงทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหว ความแข็งกร้าวของเขาเสียดสีผ่านความอ่อนนุ่มของเธอ ทุกแรงกระแทกหนักแน่นแต่ชัดเจน ไม่หยาบ ไม่รีบร้อน เหมือนเขาตั้งใจจะฝังตัวตนของเขาไว้ในเธอทุกอณู
“อึก… ข้า…” ไป๋หลินกัดฟัน เสียงของเธอกลายเป็นเสียงครางพร่า แม้ในยามที่พยายามกลั้นเอาไว้
แผ่นหลังเธอแอ่นรับ สะโพกสั่นไหวไปตามแรงกระแทกของเขาที่ถาโถมลงมาเป็นจังหวะ ผ้าห่มไหมกระจัดกระจาย กลิ่นเหงื่อ กลิ่นรัก กลิ่นเนื้อแนบเนื้อปะทะกันในคืนที่ไม่มีใครเข้ามาขัดจังหวะได้
เมื่อเขาโน้มลงจูบซอกคอเธออีกครั้ง เสียงเธอก็หลุดออกมาเบา ๆ
“…หยาางเซวียนนนน…”
เขาหยุดเพียงนิด มองหน้าเธอ ริมฝีปากเขาแนบใบหู กระซิบเสียงต่ำ
“ข้าอยากได้ยินเสียงเจ้า…เรียกข้าซ้ำอีก” และเขาขยับสะโพกหนักลงทันที แรงพอให้เสียงเตียงดัง เอี๊ยด ขึ้นมาอีกครั้ง กลีบเนื้อของเธอกระตุกวูบ ความร้อนจากภายในไหลทะลักขึ้นสู่ยอดอก เธอกรีดร้องเสียงสั่น หายใจแรง
ไป๋หลิน—ลี่เหยา แตกซ่านในอ้อมแขนของเขา ไม่ใช่เพราะเขาบังคับ ไม่ใช่เพราะเธอไม่มีทางเลือก แต่เพราะร่างกายของเธอ… “ยอมรับ” เขาไปหมดแล้ว
เขากระซิบข้างหูอีกครั้ง “ดี… เพราะเจ้าจะไม่มีวันหนีจากข้าไปได้อีก” เสียงเขาแหบพร่า เรียกชื่อเธอซ้ำซ้ำ...
“…ไป๋หลิน ไป๋หลิน ไป๋หลิน…”
แต่เธอรู้ว่าเขากำลังร้องเรียกตัวตนใหม่ของเธอที่ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เธอไม่ได้เสียพรหมจรรย์ให้ตัวละครในนิยาย
แต่เธอ “ถูกเอา” โดยตัวละคร ที่เธอเคยอ่านอยู่บนหน้าจอมือถือสดๆ ร้อนๆ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนและในวินาทีนั้น ลี่เหยาก็รู้ว่า…
นี่ไม่ใช่แค่นิยายอีกต่อไปแล้ว
เขากระแทกเข้าไปลึกสุด แช่ไว้ ขณะที่อวี้หลันร้องลั่น สะโพกกระตุกแตกซ้ำอีกครั้งในอ้อมแขนทั้งสองน้ำรักทะลักล้น จนหยดลงเสื่อเป็นทางเขาถอนตัวช้า ๆ เสียงเนื้อหลุดจากกัน เฉาะ! ดังลั่น แล้วเซี่ยหลินก้าวเข้าต่อทันทีไม่แม้แต่รอให้เธอได้พัก...เสียงใหม่ ฉึก! ก้องกังวานอีกครั้ง ความร้อนระลอกใหม่แทรกเข้ากาย กลีบที่เพิ่งปล่อยแตกกลับต้องรับลำใหม่ที่แข็งขึงไม่แพ้กัน“ข้า… จะขยี้เจ้าอีกครั้ง อวี้หลัน…” เสียงเขากัดฟัน ขณะที่สะโพกเริ่มกระแทกอย่างแรงร่างนางโยนขึ้นลงตามจังหวะตั่บ! ตั่บ! ตั่บ! หน้าอกกระเพื่อม เสียงครางดังต่อเนื่องจากลำคอจนหลุดเสียงพูด“ข้า… ไม่ไหว… ได้โปรด…!”แต่ไม่มีใครหยุด ไม่มีใครใจดี ไม่มีแม้แต่วินาทีให้เธอหายใจความใคร่จากฤทธิ์ยา ผสานแรงกระแทกจากทั้งสองชาย หลอมรวมจนไฟใต้ผิวเธอลุกพรึ่บ ลนจิตไม่เหลือสติเซี่ยหลินเร่งจังหวะสุดแรง กลีบนางตอดรัดแน่น มือของเขาตีสะโพกเธอจนแดงก่อนจะกระแทกครั้งสุดท้าย—แล้วปล่อยน้ำร้อนข้นเข้าโ
“ข้าขออนุญาตนะ… อวี้หลันคนงามเพื่อความสมจริง”อวี้หลันเบิกตานิดหนึ่ง แต่ไม่ขัดขืนใบหน้าแดงซ่านจากสุรา และบางสิ่งที่ไหลอุ่นขึ้นจากในอกมือของเขาลูบผ่านเนินอกแล้ว ปลดสายผ้าแพรฟึบ…ผืนผ้าบางร่วงลงพื้นหน้าอกเปลือยขาวละมุนสั่นระริกอยู่ตรงหน้ายอดอกชูชันจากอากาศเย็นผสมฤทธิ์บางอย่างที่ปะทุจากภายในร่าง อี้หานโน้มตัวลงช้า ๆ ปลายนิ้วลูบผ่านเนินเนื้อ แล้วใช้สันจมูกถูไล้เบา ๆอวี้หลันกลั้นหายใจมือเกาะบ่าชายหนุ่มแน่น… เขาไม่ให้โอกาสนางถอยริมฝีปากเขาบดจูบลงตรงยอดอกดูด… ขบ…ลิ้นเขาตวัด…ลากช้าๆ….นางสะอื้นในลำคอ“อื้อ…!”เสียงผ้าด้านหลังขยับเซี่ยหลินลุกเข้ามาเงียบ ๆ นั่งคุกเข่าด้านหลังนาง มือหนาแตะแผ่นหลังแล้วค่อย ๆ ประคองไหล่เปลือยของนางไว้เสียงเขาแหบแผ่ว“หากเจ้าเล่นละคร… จงเล่นให้เหมือนตายไปแล้วเพื่อมัน”ขณะอี้หานยังคลอเคลียยอดอกเซี่ยหลินก้มลงจูบที่ท้ายทอยนางลมหายใจเขาร้อนผ่าวปลายนิ้วลูบผ่านซี่โครงนางจากด
ข้างเสาไม้ด้านหนึ่ง เด็กสาวชุดเขียวถูกอุ้มขึ้นตักโดยพ่อค้าหนุ่มที่ในยามปกติพูดจาเคร่งเครียด แต่ยามนี้ เขาเลียซอกคอเธอแล้วบีบหน้าอกด้วยสองมือ ราวกับกำลังนวดผลไม้อุ่นจัดตรงซอกม่านด้านใน ขุนนางชราผู้มากบารกาศกำลังกดหญิงสาวต่ำกว่าเขาหลายวัยลงกับเบาะเสียงดูดเนื้อดัง จ๊วบ! จ๊วบ! จนนางครางข้างเตียงเตี้ย พ่อค้าหนุ่มพลิกตัวทับบัณฑิตหนุ่ม ก้นเปลือยกระแทกสะโพกเขารัวไม่หยุดเสียงครางซ้อนกันเป็นบทประสานวาบหวิวจนแม้เหล่าขันทีที่แอบมองอยู่มุมห้องยังต้องกลืนน้ำลายกลิ่นเหงื่อ กลิ่นน้ำสวาท คละคลุ้งในห้อง ไม่ต่างกับควันจากเตาโอสถกลิ่นดอกไม้ยิ่งดึก ทุกคนก็ยิ่งถลำ บางคู่รักกันต่อหน้าทุกคนบางคู่ลากกันไปซอกม่านบางคนแม้ไม่รู้ชื่ออีกฝ่าย ก็พร้อมจะกลืนกินกันให้หมดทั้งร่าง“อื้ออ… นายท่านเจ้าค่ะ…! ตรงนั้น—อ๊าาาา!”เสียงนั้นดังข้ามห้องตามด้วยเสียงเนื้อกระแทกเนื้อตั่บ! ตั่บ! ตั่บ!บนชั้นสาม ราชวงศ์หนุ่มนั่งกอดหญิงในอ้อมแขนมองทุกอย่างเบื้องล่างอย่างสงบแต่ใต้ผ้าคลุม แขน
หอเงาจันทร์ไม่ได้ต้องการแค่หญิงชาวบ้าน มันต้องการ “เลือดบริสุทธิ์ที่มีมูลค่า” เพราะบางขุนนาง ไม่ได้จ่ายเพื่อความใคร่แต่จ่ายเพื่อ “ล้างแค้นตระกูลศัตรู” โดยไม่ต้องลงมือเองและในคืนเดือนนี้…ชื่อของหญิงสาวปริศนาที่ผู้ว่าการแคว้นเพิ่ง “แนะนำ” เข้ามาถูกเขียนไว้ท้ายสุดในรายชื่อ “ผู้ร่วมงานชมจันทร์”** “อวี้หลัน” ใบหน้าสะอาด ดวงตาว่างเปล่า น่าสนใจอย่างประหลาดสันนิษฐานว่าอาจไร้พื้นเพปลอดภัยที่จะลอง”พวกมันไม่รู้เลยว่าหญิงผู้นั้น คือ หัวใจของแม่ทัพชายแดนผู้เหี้ยมที่สุดในแคว้นนี้และเป็น อดีตนางเอกที่ครั้งหนึ่งเคยมีสามีทั้งเจ็ดในโลกที่พวกมันไม่มีวันเข้าใจหญิงงามในเงาโบตั๋นที่ไม่รู้ว่าตนคือดอกไม้พิษ... และชายสองคนที่หลงลมหายใจตนเองไปในคืนที่พระจันทร์สวยเกินกว่าจะไว้ใจคืนนั้น หอเงาจันทร์แต่งแสงแพรจนสว่างไสวโคมแดงแขวนเรียงร้อยตามทางเดินกลีบดอกเหมย ลอยในอ่างทองเหลืองกลิ่นเครื่องหอมจาง ๆ คลุกเคล้าอยู่ในอากาศงานเลี้ยงชมจันทร์หนึ่งคืนในหนึ่งเดือน สำหรับคน ชนชั้น
เบื้องหลังศพที่ไร้ชื่อในหุบเขา... เงามืดของขุนนางชั้นสูง และภารกิจใหม่ที่ลากแม่ทัพเข้าสู่จุดที่แม้แต่เขายังอาจตายได้เช้าวันหนึ่งในต้นฤดูหนาวท้องฟ้าสีเงินหม่นสายหมอกคลุมยอดไม้จนแม้เสียงนกยังเบาบาง แม่ทัพหนุ่มยืนอยู่ริมลำธารท้ายค่ายในมือมีม้วนกระดาษ เอกสารลับจากเมืองหลวงประทับตราด่วนของสำนักองครักษ์ประจำราชสำนัก“...คดีศพไร้ชื่อที่ถูกโยนลงหุบเขาหลายศพในสามเดือนหลังสุดสืบพบว่าเกี่ยวพันกับการลักพาตัวและค้าทาสเถื่อน เบาะแสบางจุดนำไปถึงเขตชายแดนหลางเจา เขาเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้สืบเรื่องนี้ทันที” เขาอ่านเงียบ ๆ มือที่ถือกระดาษแน่นขึ้นเล็กน้อยกลางลานฝึก ค่ายเงียบ เมื่อเขาเรียกหัวหน้าทหารสอดแนมภายใต้บัญชาการของเขา มาประชุมโดยไม่มีพิธีรีตองใด ๆ“จำนวนศพขึ้นเป็นสิบเอ็ดในรอบสิบวันทุกศพถูกโยนริมหุบเขารอยแผลที่คอและหลังบ่งบอกว่า ‘ทรมานก่อนตาย’ ”เขาโยนแผนที่ลงบนโต๊ะปลายนิ้วชี้จุดเส้นทางที่ไม่มีใครกล้าผ่าน เพราะเชื่อว่าเป็นทางผีสิง “ข้าไม่เชื่อผี” เสียงเขานิ่ง “แต่ข้าเชื่อว่าพวกมัน… ซ่อ
ค่ำวันหนึ่ง เมืองท่าใกล้ชายแดนแคว้นหลางเจา ตะเกียงกระดาษแขวนเรียงรายหน้าร้านโรงน้ำชา “ซานเยวี่ย” คลาคล่ำ ไปด้วยลูกค้ากลิ่นชาร้อน ขนมงาทอด และเสียงหัวเราะเจือเบา ในอากาศเย็นหลังฝนแต่ไม่มีใครรู้…ว่าใต้พื้นไม้เก่ากรอบนั้นกลิ่นเลือดสด ซึมลึกอยู่ในร่องไม้ เหมือนมันร้องไห้อยู่ในความเงียบเบื้องล่างของโรงน้ำชาในห้องเก็บของใต้ดินที่ไม่ควรมีใครลงไปมีร่างของหญิงสาววัยสิบห้านอนอยู่ดวงตาค้างนิ่ง ใบหน้าซีดเผือดรอยไหม้จากโซ่กัดลำคอและที่ปลายนิ้ว... เปรอะคราบหมึก หมึกที่ใช้เฉพาะกับตราลับราชสำนักอวี้หลันยืนมอง ไม่ได้เบิกตาตกใจ ไม่ได้หันหน้าหนี เพียงจ้อง เหมือนกำลังพยายามแกะเงาภาพที่ซ้อนทับขึ้นมาในหัว…ภาพที่นางไม่แน่ใจว่าเคยเห็นจริง หรือฝันซ้ำซากมานานนับปีเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง รื่นเริง ผิดแผกจากบรรยากาศทุกสิ่ง “เฮ้อ… เจ้ายังกล้าพา ‘อวี้หลัน’ มาดูของน่าคลื่นไส้แบบนี้ได้ยังไง เซี่ยหลิง”เสียงนั้นฟังแล้วอยากต่อย เจ้าของเสียงคือบุรุษในชุดพ่อค้าผ้าแพรลายไผ่ พัดหยกในมือ และรอยยิ้มประหนึ่งกำลังห






Comments