Share

สกุลเฮ่อ (2/2)

last update Last Updated: 2025-11-08 10:59:17

บทที่สอง สกุลเฮ่อ (1/2)

“สกุลไป๋แห่งตรอกอิ๋นซิ่ง…ตรอกอิ๋นซิ่ง” หวังหย่งพึมพำ ทวนสิ่งที่ได้ยิน “คิดว่าวันมะรืนคนส่งผักน่าจะมาที่จวน บ่าวจะสอบถามให้ท่านขอรับ”

คนฟังพยักหน้า “หาโอกาสให้ดี อย่าให้ผู้อื่นได้ยิน”

เขาไม่ปรารถนาให้ใครยุ่มย่าม

โม่ซือเฉินหยิบเอาเหรียญกลมเจาะรูตรงกลางจากถุงใบเล็กที่ท่านอาเย็บให้เป็นของขวัญ มอบแก่คนสนิทหนึ่งเหรียญและสั่งให้มอบแก่คนส่งผัก “บอกเขาว่าให้คอยส่งข่าวสกุลไป๋แก่เจ้า ปิดปากให้สนิทด้วย ไม่อย่างนั้นงานง่าย ๆ รายได้ดีจะไม่มีให้ทำอีก”

“ขอรับ”

“จำไว้ว่าต่อจากนี้ไม่ต้องเสวนากับคนจากเรือนฟางอี๋เหนียง

หากเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศไม่เป็นไร แต่นอกเหนือจากนั้นให้ตอบว่าไม่รู้

สถานเดียว บอกคนอื่นในเรือนของเราด้วย”

หวังหย่งรับคำแข็งขัน

คืนนั้นก่อนดับไฟเข้านอน คุณชายรองสกุลโม่นำทรัพย์สินของตนออกมานับ พบว่าเงินตราสำหรับซึ่งนำไปจับจ่ายนั้นมีไม่น้อย โดยเงินเก็บส่วนมากเป็นท่านย่ามอบให้ ส่วนของมีค่านอกจากเครื่องประดับหยกและเงินจำพวกปิ่นกับหยกสลักชิ้นเล็กสำหรับห้อยเอวก็ไม่มีอย่างอื่นอีก เครื่องประดับสูงค่าหลายชิ้นท่านอาเป็นผู้เก็บ รอกระทั่งเขาโตกว่านี้ถึงค่อยมอบให้เก็บรักษาด้วยตัวเอง

โม่ซือเฉินรู้ดีว่าวันหน้าตนจะมีทรัพย์สมบัติมากมายซึ่งแลกมาจากหยาดเหงื่อและเลือดเนื้อ นี่ไม่รวมสินสมรสเดิมของท่านแม่ที่แบ่งให้เขากับ

พี่ใหญ่ ไหนจะกิจการซึ่งท่านย่าแบ่งให้หลาน ๆ อีก เรียกว่าเขาและโม่หรงอี้ร่ำรวยไม่น้อยหน้าคุณชายบ้านใดในเมืองหลวง ครั้นคิดถึงสินสอดหลายสิบหีบที่สกุลโม่เคยมอบให้สตรีผู้ครั้งหนึ่งเคยแต่งเป็นภรรยาตนเองแล้ว

ฉับพลันหัวใจบีบรัดรุนแรง เด็กชายเผลอกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วขึ้นริ้วขาว

ไม่เป็นไร

ชีวิตนี้โม่ซือเฉินจะมอบสินสอดให้คนที่ถูกต้อง ทั้งเกียรติยศ ความหรูหรา ความสะดวกสบายจะถูกมอบแด่ผู้ที่คู่ควร

หัวใจของเขาต้องไม่แหลกสลายยับเยินอีก

อีกชีวิตเขาอาจเคยสนใจ ทว่าไม่ได้ให้โอกาส มัวหลงใหลกับรูปโฉมภายนอก ซ้ำยังเคยทำร้ายจิตใจผู้ปรารถนาดีกับตนอย่างไม่น่าให้อภัย

จวบจนช่วงเวลาสุดท้ายถึงตระหนักว่าสตรีจากสกุลไป๋ผู้นั้นคือไข่มุกล้ำค่าที่ตนโยนทิ้งแล้วหยิบเอาก้อนกรวดมาถือ

ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งไว้ให้นางเพียงแหวนหยกดำ ครานี้ทุกสิ่งที่

โม่ซือเฉินมี คุณหนูไป๋จะได้ครอบครองเช่นกัน

           

ช่วงเวลาชื่นมื่นช่วงปีใหม่ผ่านมาได้ระยะหนึ่ง อีกไม่กี่วันคุณชายใหญ่แห่งจวนคังโหวต้องเดินทางกลับไปฝึกที่สกุลเฮ่อ

กริ๊ก!

เสียงถ้วยชากระแทกโต๊ะค่อนข้างดัง หญิงชราซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งกลางโถงชำเลืองมองบุตรชายที่ทำเสียงดังเมื่อครู่ โม่เหล่าฟูเหรินสบตาบุตรสาวเพื่อขอคำอธิบาย โม่กุ้ยหลันกลับส่ายหน้า ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดพี่ชายถึงออกอาการฉุนเฉียวยามโม่หรงอี้ขออนุญาตพาน้องชายติดตามไปฝึกฝนที่สกุลเฮ่อ

“เร็วเกินไป” บิดาให้คำตอบในทันที อารมณ์เบิกบานเริ่มขุ่นมัว “หากทิ้งการเรียนไปตอนช่วงสำคัญเช่นนี้ วันหน้าพื้นฐานจะอ่อนแอ ต่อไปจะศึกษาเล่าเรียนลำบาก”

“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้น ท่านลุงได้เชิญอาจารย์มาสอน

ธรรมเนียม มารยาท จารีต ยังมีปรัชญากับหลักศีลธรรมในการปกครอง อ้อ…การเขียนอ่านยังมีท่านน้าหยางช่วยดูแล”

“ท่านน้าหยาง? เจ้าหมายถึงใต้เท้าหยาง หยางเส้าเฟิน”

โม่เทียนฉินเลิกคิ้วก่อนมีสีหน้าตกใจ คาดไม่ถึงว่าสกุลเฮ่อสามารถเชิญคนผู้นั้นมาอบรมลูกหลาน ครั้นนึกออกว่าอีกฝ่ายเป็นญาติกับภรรยาของผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน ถึงแค่นหัวเราะไม่น่าฟังหนหนึ่ง

บรรดาศักดิ์โหวของตนไม่ยิ่งหย่อน แต่มิอาจเทียบกับคนที่ถวายงานต่อหน้าพระพักตร์เป็นประจำได้ “ใต้เท้าหยางเป็นขุนนางใหญ่ จะมีเวลามาสั่งสอนพวกเจ้าได้อย่างไร คงมาตรวจการคัดอักษรของพวกเจ้าปีละครั้งกระมัง”

การแสดงออกแสนใจแคบของคังโหวเกรงว่าคนนอกคงไม่มีวันล่วงรู้

ความจริงโม่เทียนฉินนั้นเหมือนเสือกระดาษ ต่อให้มีหน้าที่การงานน่านับถือ แต่พอพูดถึงผู้ที่มีอำนาจในมือแท้จริง ความริษยาในอกส่งผลให้ค่อนข้างเก็บอาการไม่อยู่

“ข้าพูดจริง ๆ ขอรับ” โม่หรงอี้สะกดความจริงซึ่งเกือบหลุดพูดไว้ตรงปลายลิ้น ในจวนสกุลเฮ่อมีหลายอย่างสมควรถูกเก็บเป็นความลับ เขาพูดออกมาเท่านี้ก็นับว่าเกินพอ “น้องรองเคยล้มป่วย หากได้ฝึกร่างกายต่อไปจะได้แข็งแรง ยามพบโรคภัยไม่ต้องใช้เวลาฟื้นฟูนาน”

ท่าทีของบิดายังไม่แปรเปลี่ยน เดาว่าสาเหตุอาจมาจากความบาดหมางส่วนตัวระหว่างพี่ภรรยากับน้องเขย

“ไม่ต้องพูดแล้ว น้องเจ้ายังเล็ก ไว้อีกสองปีค่อยมาคุยเรื่องนี้”

โม่เทียนฉินรวบรัดตัดบท เรียกสาวใช้ยกของว่างเข้ามา

โม่หรงอี้เม้มปาก เด็กหนุ่มหันไปสบตาผู้เป็นย่าเพื่อขอความช่วยเหลือ ทว่าผู้อาวุโสไม่ทันออกโรง เสียงดังตึงเบาๆ กลับเรียกความสนใจทุกคนเมื่อโม่ซือเฉินคุกเข่าลงบนพื้นข้างพี่ชาย

“ท่านพ่อ” โม่ซือเฉินเอ่ยด้วยท่าทางสำรวม “ไม่นานมานี้อาจารย์ซ่งได้สอนข้าว่าแนวทางของบัณฑิตหรือนักรบล้วนไหลเวียนอยู่ในโลหิตของลูกหลาน วีรชนสกุลโม่และสกุลเฮ่อสละเลือดเนื้อเพื่อแผ่นดินเทียนเหรินมาหลายชั่วอายุคน ข้าจำได้ว่าท่านปู่เป็นคนพาข้าขึ้นหลังม้า ขี่ชมนอกเมือง สอนให้คุ้นเคยกับการจับดาบ ข้าเชื่อว่าด้วยสายเลือดสกุลโม่ในตัวไม่มีทางสร้างเรื่องขายหน้าให้จวนโหวของเรา”

ดวงตาผู้ฟังภายในห้องปรากฏคลื่นอารมณ์หลากหลายหลังคุณชายรองยกคำสอนของอาจารย์มาพูด

สีหน้าฟูเหรินกับโม่กุ้ยหลันฉายความปลาบปลื้มระคนภูมิใจ ทว่าโม่เทียนฉินกลับวางสีหน้าไม่ถูก กระอักกระอ่วนกับประโยคของบุตรชายคนรอง อาจารย์ซ่งซึ่งถูกอ้างถึงตนเป็นผู้เชิญมาสอนด้วยตนเอง เนื่องจากสกุลโม่ยิ่งใหญ่มาได้เพราะบรรพชนเชี่ยวชาญการทหาร แม้นับย้อนไปสามรุ่นอาจมีบางคนในตระกูลรับราชการฝ่ายปกครอง แต่บิดาของเขาที่จากไปราวสองปีก่อนยังเคยสร้างชื่อในศึกกับพวกคนเถื่อนนอกกำแพง

บรรดาศักดิ์โหวซึ่งตกทอดมาได้รับพระราชทานจากความกล้าหาญในสนามรบ โม่เทียนฉินกลับเป็นแกะดำ ต่อสู้ไม่เอาไหน ลำพังกว่าจะขี่ม้าได้ยังลำบากแทบแย่ เทียบกับน้องสาวไม่ติดด้วยซ้ำ

“ท่านพ่อ” โม่ซือเฉินเห็นว่าสมควรตีเหล็กตอนกำลังร้อน แววตาคิดไม่ตกของบิดาคือสัญญาณให้เขาพูดต่อ แต่แล้วกลับถูกขัดกลางคันโดย

ฟางอี๋เหนียง นางไม่ต้องการเปิดโอกาสให้เด็กชายทำตามปรารถนา

“คุณชายรอง นี่เพราะท่านโหวคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลักถึงได้ไม่

ยอมให้…”

“เงียบ! นี่หาใช่เรื่องที่เจ้าควรสอดปาก” คำพูดของโม่กุ้ยหลันเปลี่ยนบรรยากาศภายในห้องโถงได้อย่างน่าอัศจรรย์

นางเลี้ยงหลานชายคนรองมาตั้งแต่แบเบาะ เห็นความลำเอียงของพี่ชายนับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นใครก็สามารถแสดงตนเป็นผู้อาวุโสต่อหน้าเฉินเกอของนางได้ แต่ต้องไม่ใช่ฟางอี๋เหนียง

“เอาละ ๆ มีแต่คนในครอบครัวทั้งนั้น” โม่เทียนฉินใช้น้ำเย็นเข้าลูบ สำหรับน้องสาวที่เคารพรักพี่สะใภ้ผู้ล่วงลับดุจพี่สาวแท้ ๆ อนุของเขาย่อมเปรียบเสมือนเสี้ยนหนาม เกะกะขวางหูขวางตาเป็นธรรมดา “เจ้าอย่ารุนแรง

นักเลย”

“ขะ ข้าไม่ระวัง เสียมารยาทเองเจ้าค่ะ” ฟางอี๋เหนียงกล่าวเสียงเบาพลางก้มหน้า ลูบหลังโม่เหวินซึ่งขยับมายืนข้างตน กิริยาสองแม่ลูกเจียมเนื้อเจียมตนจนน่าสงสาร “ข้าเพียงอยากให้คุณชายรองเห็นความหวังดีของท่านโหว”

โม่เทียนฉินผงกศีรษะ พอใจกับความเห็นนี้ รู้สึกได้รับความเป็นธรรมเมื่อมีคนเข้าข้าง

ดวงตาคมปลาบของโม่เหล่าฟูเหรินตวัดมองสตรีที่ยืนกุมมือสงบเสงี่ยมอยู่หลังบุตรชายเพียงคนเดียวของตน

“อนาคตหลานข้าไม่ต้องรบกวนเจ้าช่วยคิดแทนหรอกฟางอี๋เหนียง” เสียงหญิงชราติดแหบอยู่บ้าง ทว่าการออกเสียงยังชัดถ้อยชัดคำ ฟังดูมีอำนาจ “ไว้ถึงคราวเหวินเอ๋อร์ค่อยลำบากเจ้าออกความเห็น”

ต่อให้บนศีรษะมีเส้นผมสีดอกเลาแซมอยู่ไม่น้อย ความเฉียบขาดของคนเป็นย่ากลับมิได้ลดลง โม่หรงอี้และโม่ซือเฉินต่างคิดตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“ไม่กล้าเจ้าค่ะ ๆ ”

อนุลำดับที่หนึ่งเม้มปาก รีบออกตัวว่าอนาคตยังต้องฝากฝังบุตรชายเพียงคนเดียวให้เหล่าฟูเหรินอบรมสั่งสอน

เมื่อฟางอี๋เหนียงถูกปรามโดยผู้อาวุโส นอกจากคังโหวไม่ออกหน้าแก้ตัวแทนเหมือนคราวน้องสาว ยังเริ่มนั่งไม่ติดกระสับกระส่ายกว่าเดิม “ท่านแม่ เรื่องนี้…”

“แม่เข้าใจ” โม่เทียนฉินเตรียมคลี่ยิ้มแทบหุบปากไม่ทันเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของมารดา “เจ้างานการรัดตัว หากไม่สะดวกข้าจะไปสกุลเฮ่อเพื่อฝากฝังเฉินเกอแทน”

มารดาร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนเก่า อีกทั้งอากาศเพิ่งอบอุ่นขึ้นเพียงเล็กน้อย หากปล่อยมารดานั่งรถม้าท่ามกลางความเย็นเยี่ยงนั้นไม่เท่าเป็นลูกอกตัญญูหรอกหรือ

“ท่านแม่” คังโหวเอ่ยเสียงเบา

ต่อให้เป็นญาติเกี่ยวดองกันยังต้องคงไว้ซึ่งมารยาท คิดส่งบุตรชายไปกินอยู่หลับนอนเพิ่มอีกคนควรมีคนสกุลโม่เดินทางไปด้วย คราวโม่หรงอี้นั้นเป็นการจัดแจงของภรรยา พอโม่หรงอี้อายุครบเจ็ดปี แม่ทัพเฮ่อหรือเฮ่อเสียนตง

ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงได้เดินทางมาพบโม่เหล่าฟูเหรินและรับหลานชายไปฝึกด้วยตนเอง

สำหรับโม่ซือเฉิน แน่นอนว่าคำสั่งเสียของคนตายไม่อาจไม่ทำตาม

อย่างไรเสียสิ่งที่โม่เทียนฉินคิดเจ็บใจมาตลอดมิใช่เรื่องนี้ แต่เป็นสายตากับท่าทีของเฮ่อเสียนตงต่างหาก เขารู้ว่าคนสกุลเฮ่อดูแคลนว่าตนไม่อาจเอาดีด้านการทหารอย่างบิดา มิหนำซ้ำยังไม่พอใจเรื่องฟางอี๋เหนียง ทว่าโม่เทียนฉินคิดว่าตนให้เกียรติและปฏิบัติต่อภรรยาเอกได้ไม่ขาดตกบกพร่อง อนุคนโปรดของเขาต่างหากต้องรองรับความเกลียดชังอันไม่เป็นธรรม

ความจริงเขามีอนุอีกคนคือซูอี๋เหนียง ผู้อื่นกลับคิดเดียดฉันท์แค่ฟางอี๋เหนียงคนเดียว เพราะรูปลักษณ์งดงามตรึงใจของนางคงทำให้เฮ่อซื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ไม่สบายใจนัก โม่กุ้ยหลันสนิทสนมกับพี่สะใภ้พาลไม่ชอบหน้าอนุผู้นี้ของพี่ชายไปด้วย

โม่ซือเฉินลอบชำเลืองสีหน้าบิดา ครั้นเห็นตอนอีกฝ่ายแลกสายตากับฟางอี๋เหนียงพอดีพลันสะอิดสะเอียน อยากหัวร่อกับ‘รักลึกซึ้ง’ของทั้งคู่ ขณะเดียวกันก็เฝ้ารอวันที่จะคิดบัญชีอย่างใจจดใจจ่อ

“เจ้าไม่สะดวกใจพบหน้าแม่ทัพเฮ่อ? ช่างเถอะ ให้อากาศดีกว่านี้อีก

สักหน่อย ข้ากับกุ้ยหลันจะไปสกุลเฮ่อเอง ทุกอย่างเอาตามนี้ พวกเจ้ามีอะไรก็ไปทำเถอะ ข้าอยากพักแล้ว อี้เกอเฉินเกอมาพาย่ากลับเรือน”

“ขอรับ” สองพี่น้องลุกไปพยุงหญิงชรา ช่วยจัดเสื้อคลุมและประคองนางออกจากห้องโถง

ฝ่ายโม่เทียนฉินมีนัดกับสหายต่อ หลังฟางอี๋เหนียงออกไปส่งขึ้นรถม้าหน้าประตูใหญ่นางจึงกลับเรือนมานั่งพัก

“เหอะ! แก่เทื้อคาเรือนไม่มีผู้ใดมาสู่ขอเพราะความเจ้าอารมณ์”

ใบหน้าหวานก่นด่าผู้ที่หักหน้าตนอย่างโม่กุ้ยหลัน ร่างอ้อนแอ้นส่งของว่างเข้าปาก จากนั้นถึงดื่มชาข่มอารมณ์หงุดหงิด โม่เหวินนั้นได้เวลาเข้าเรียนกับอาจารย์ซ่งเลยไม่ได้อยู่ข้างมารดา

“สกุลเฮ่อยิ่งใหญ่นักหรือไง เทียนเหรินเรามีแม่ทัพนายกองมากมาย เฮ่อเสียนตงก็แค่แม่ทัพผู้หนึ่ง วันหน้าตายไปก็มีคนมาแทนที่”

สาวใช้คนสนิทช่วยบีบนวดขาเพื่อเอาใจนายมีสีหน้าครุ่นคิดขณะฟัง

“อี๋เหนียงเจ้าคะ บ่าวพอจะรู้จักคนในเรือนคุณชายรองเฮ่อ”

ฟางอี๋เหนียงตาลุกวาว เร่งสาวใช้เล่าเกี่ยวกับคนผู้นั้น

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   เหล่าองค์ชาย (2/2)

    บทที่สาม เหล่าองค์ชาย (2/2)โม่หรงอี้เลิกคิ้วสูง “ท่านลุงมาอย่างนั้นหรือ?”บ่าวผู้นั้นตอบรับ สองพี่น้องจึงไม่รอช้า รีบไปพบคนสำคัญทันที“หวังหย่ง จำที่ข้าเคยสั่งเอาไว้ได้หรือไม่” โม่ซือเฉินกวักมือเรียกคนสนิทมากระซิบถาม อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างรู้งานเขาจึงวางใจ เด็กชายก้าวเท้าเร็ว ๆ ตามหลังพี่ชาย ตั้งแต่ได้รับโอกาสใช้ชีวิตใหม่นี่นับเป็นการพบกันหนแรกระหว่างเขากับผู้เป็นลุงเจิ้งเป่าโหวเฮ่อเสียนตงเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของมารดา ท่านลุงมีบุตรชายสองคนสมัยอายุยังน้อยท่านลุงมักถูกบรรดาคุณชายสกุลอื่นดูแคลนว่าเรียนหนังสือเขียนอ่านไม่เอาไหน ทว่าพอได้จับดาบง้างคันธนูกลับราศีจับ สมเป็นทายาทตระกูลทหาร ถึงอย่างนั้นเฮ่อเสียนตงหาใช่พวกใช้หมัดแก้ปัญหา นอกจากจงรักภักดีต่อเหนือหัวอย่างยิ่งยวดแล้ว ยังรู้จักหนักเบา ไม่ชอบข้องแวะกับขั้วอำนาจต่าง ๆ ในราชสำนัก ทำให้แม่ทัพใหญ่ผู้นี้ไม่ค่อยถูกขุนนางวาจาวิพากษ์วิจารณ์ภายในโถงเรือนหน้าซึ่งมีไว้รับแขก ผู้ที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานหาใช่โม่เทียนฉินแต่เป็นโม่เหล่าฟูเหริน โม่ซือเฉินเห็นท่านอาของตนกับสาวใช้รุ่นใหญ่ช่วยประคองหญิงชรานั่งลง ดูเหมือนท่านย่าเองเพิ่งมาถึงก่อนหน้าเขา

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   เหล่าองค์ชาย (1/2)

    บทที่สาม เหล่าองค์ชาย (1/2)หลังโม่เหล่าฟูเหรินลั่นวาจาในโถงจะเป็นผู้พาโม่ซือเฉินไปฝากฝังกับสกุลเฮ่อด้วยตนเอง โม่กุ้ยหลันได้เริ่มตระเตรียมของขวัญสำหรับมอบให้ฝ่ายนั้น ส่วนอาจารย์ซ่งไม่กล่าวคัดค้านอะไร ถึงเสียดายเพราะอยากมีเวลาถ่ายทอดความรู้ให้ศิษย์คนโปรดมากกว่านี้อีกสักนิด ทว่านอกจากยุทธวินัยซึ่งสมควรเรียนรู้เพื่อต่อยอดสู่การศึกษากลยุทธ์การศึก ด้านร่างกายยิ่งต้องรีบฝึกปรือให้คุ้นชินต่อความลำบาก หากฝึกตอนอายุมากแล้วต่อให้พึ่งพาพรสวรรค์อาจส่งผลให้พื้นฐานไม่มั่นคง กลายเป็นปัญหาภายหลังขุนศึกนามระบือหลายคนยังมีจุดอ่อน หาได้เชี่ยวชาญทุกแขนง หากโม่ซือเฉินได้รับโอกาสเพื่อขัดเกลาตนเองเร็วขึ้น นั่นย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี เส้นทางของเด็กชายจะเปิดกว้างขึ้น“อาจารย์ได้ยินว่าเจ้ามีใต้เท้าหยางกับบัณฑิตเก่งกาจหลายคนดูแลเรื่องการปกครองและจารีตธรรมเนียม เท่านี้ก็รู้สึกวางใจ”โม่ซือเฉินประสานมือ ทำความเคารพอีกฝ่ายด้วยความนอบน้อม ไม่ว่าชีวิตไหนล้วนเป็นอาจารย์ซ่งสั่งสอนอบรมจึงมีความรู้กว้างขวาง ไม่อับอายใคร เวลานี้เขาจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางชีวิต ไม่อาจเก็บตัวอยู่ในจวนคังโหวจนอายุสิบห้าถึงเริ่มจับอาวุธ ดังน

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   สกุลเฮ่อ (2/2)

    บทที่สอง สกุลเฮ่อ (1/2)“สกุลไป๋แห่งตรอกอิ๋นซิ่ง…ตรอกอิ๋นซิ่ง” หวังหย่งพึมพำ ทวนสิ่งที่ได้ยิน “คิดว่าวันมะรืนคนส่งผักน่าจะมาที่จวน บ่าวจะสอบถามให้ท่านขอรับ”คนฟังพยักหน้า “หาโอกาสให้ดี อย่าให้ผู้อื่นได้ยิน”เขาไม่ปรารถนาให้ใครยุ่มย่ามโม่ซือเฉินหยิบเอาเหรียญกลมเจาะรูตรงกลางจากถุงใบเล็กที่ท่านอาเย็บให้เป็นของขวัญ มอบแก่คนสนิทหนึ่งเหรียญและสั่งให้มอบแก่คนส่งผัก “บอกเขาว่าให้คอยส่งข่าวสกุลไป๋แก่เจ้า ปิดปากให้สนิทด้วย ไม่อย่างนั้นงานง่าย ๆ รายได้ดีจะไม่มีให้ทำอีก”“ขอรับ”“จำไว้ว่าต่อจากนี้ไม่ต้องเสวนากับคนจากเรือนฟางอี๋เหนียง หากเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศไม่เป็นไร แต่นอกเหนือจากนั้นให้ตอบว่าไม่รู้สถานเดียว บอกคนอื่นในเรือนของเราด้วย”หวังหย่งรับคำแข็งขันคืนนั้นก่อนดับไฟเข้านอน คุณชายรองสกุลโม่นำทรัพย์สินของตนออกมานับ พบว่าเงินตราสำหรับซึ่งนำไปจับจ่ายนั้นมีไม่น้อย โดยเงินเก็บส่วนมากเป็นท่านย่ามอบให้ ส่วนของมีค่านอกจากเครื่องประดับหยกและเงินจำพวกปิ่นกับหยกสลักชิ้นเล็กสำหรับห้อยเอวก็ไม่มีอย่างอื่นอีก เครื่องประดับสูงค่าหลายชิ้นท่านอาเป็นผู้เก็บ รอกระทั่งเขาโตกว่านี้ถึงค่อยมอบให้เก็บรักษาด้วยต

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   สกุลเฮ่อ (1/2)

    บทที่สอง สกุลเฮ่อ (1/2)ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในเขตเรือนของฟางอี๋เหนียง เสียงคร่ำครวญเรียกชื่อพลางปลอบใจบุตรชายเพียงคนเดียวหลังฉากกั้นทำโม่ซือเฉินสะอิดสะเอียน เด็กชายกลอกตา ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ถัดจากหลังพี่ชาย ครั้นนึกได้ว่าท่าทางแบบนี้ไม่สมวัยสักเท่าไรจึงคิดเลื่อนมือมาประสานด้านหน้า ตอนนั้นเองบุรุษในเสื้อคลุมสีอ่อนดูหรูหราพลันก้าวเร็ว ๆ ผ่านพวกเขาไปสมทบกับอนุของตนหลังฉากกั้น ไม่แม้แต่จะหยุดทักทายทายาทจากภรรยาเอกอีกสองคนโม่ซือเฉินยิ้มเยาะในใจช่างเถิด จะระวังกิริยาไปไยในเมื่อมิมีผู้ใดใส่ใจ ขอแค่ระวังคำพูดหรือสีหน้ายามอยู่ต่อหน้าท่านย่ากับท่านอาก็พอ“เหวินเอ๋อร์ท่านพ่อของเจ้ามาแล้ว รีบบอกท่านพ่อเร็วเข้าว่าเจ็บที่ใดบ้าง” อนุคนโปรดสะอื้นกล่าว “โชคร้ายเหลือเกิน ไม่รู้กระทบกระเทือนศีรษะหรือไม่”คังโหวโม่เทียนฉินขมวดคิ้ว ตวาดถามบ่าวชาย “พวกเจ้าตามหมอหรือยัง”เป็นบุตรชายคนโตส่งเสียงตอบแทนว่าส่งคนไปเชิญหมอมาตรวจอาการแล้ว คงอยู่ระหว่างเดินทางม้าแคระตัวไม่สูง ตอนตกลงมาศีรษะมิทันกระแทกพื้นด้วยซ้ำ เนื่องจากคนสนิทเข้าช่วยเหลือทัน เพียงฝ่ามือถลอกเล็กน้อย สาเหตุที่โม่เหวินแหกปากเสียลั่นคงเพราะเสี

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   ไร้เดียงสา (2/2)

    บทที่หนึ่ง ไร้เดียงสา (2/2)ภายใต้แสงจากเชิงเทียนข้างโต๊ะไม้ยาว เด็กชายนั่งหลังเหยียดตรงบนเบาะผ้า ปลายพู่กันขยับลงบนกระดาษ ลากติดต่อกันอย่างรวดเร็ว ตัวอักษรค่อนข้างหวัดแต่น้ำหนักเส้นยังคงสม่ำเสมอโม่ซือเฉินมองดูชื่อของคนทั้งหลายที่เขาคุ้นเคย ไตร่ตรองว่าควรเริ่มขยับหมากตัวใดบนกระดานซึ่งถูกล้างใหม่ หมากตัวใดควรเก็บไว้ หมากตัวไหนควรทำลายตั้งแต่เนิ่น ๆฝันหนึ่งตื่นคือชั่วชีวิตยี่สิบสองปีที่เคยเกิดขึ้นจริงหลังฟื้นจากพิษไข้ คนแรกที่เขาไปคารวะเต็มพิธีคือท่านย่าจากนั้นตามด้วยท่านอา เวลานั้นคลับคล้ายตนเองยังสลัดความรู้สึกโศกเศร้าคับแค้นใจจากอีกชีวิตหนึ่งไม่พ้น เพราะความโง่เขลาถึงทำสกุลโม่เดือดร้อน เขาทราบเพียงว่านหมิงจวินเป็นผู้ลงดาบสังหารตนตามคำสั่งหวงตี้[1] ทว่าตระกูลของตนต้องประสบพบเจอความยากลำบากอะไรหลังความตายของตน เขามิอาจรับรู้ หากให้คาดเดาจากอุปนิสัยผู้ออกคำสั่ง คิดว่าคงรักษาหน้าและแสดงความอาทรเมตตา ลงโทษเด็กกับสตรีสถานเบาถึงเหล่าฟูเหริน[2]และโม่กุ้ยหลันไม่ทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับหลานชาย ความรู้สึกผิดยังคงกัดกินจนยากมองหน้าพวกนาง หลังจากนั้นถึงเข้าไปสงบสติในหอบรรพชน ใครโน้มน้าวเช่นไร

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   ไร้เดียงสา (1/2)

    บทที่หนึ่ง ไร้เดียงสา (1/2)“เฉินเกอ[1]เด็กดี”คนถูกเรียกว่าเด็กดีขมวดคิ้ว ฝืนใจยอมยืนนิ่งให้สาวใช้อีกสองคนช่วยกันเปลี่ยนชุดฤดูหนาวให้ตนเป็นชุดที่หก ทุกชุดล้วนมีขนสัตว์นุ่มนิ่มเย็บติดอยู่ตรงคอเสื้อ เพราะอยู่ในวัยกำลังโตจึงต้องลองสวมเครื่องนุ่งห่มที่ตัดใหม่อยู่บ่อยครั้ง ตรงไหนหลวมหรือคับแน่นจะได้แก้ไข“ดูสิเจ้าคะ ตั้งแต่ล้มป่วยคราวก่อนคุณชายรองซูบลงไม่น้อย”ท่านอาของโม่ซือเฉินมีนามว่าโม่กุ้ยหลัน นางฟังคนสนิทกล่าวก่อนพยักหน้า “อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ เจ้าสั่งห้องครัวให้ทำน้ำแกงบำรุงทุกมื้อ ต้องเร่งบำรุงเฉินเกอให้ดี”ท่านอาเคยหมั้นหมายตอนอายุน้อยสองครั้ง ครั้งแรกกับคนที่รักใคร่ชอบพอทว่าไร้วาสนา คู่หมั้นจากไปก่อนวัยอันควร ครั้งที่สองเป็นสกุลโม่ขอถอนหมั้นเนื่องจากอีกฝ่ายประพฤติตัวลุ่มหลงในกาม เข้าออกหอนางโลมเสเพลเจ้าสำราญตั้งแต่อายุน้อย มองดูไร้อนาคต จากนั้นมาท่านอาก็ไม่สนใจผู้ใดอีก นางมุ่งมั่นทุ่มเทช่วยเลี้ยงดูอบรมบุตรชายสองคนของพี่ชายซึ่งกำพร้ามารดา สกุลโม่ขาดสะใภ้ โม่กุ้ยหลันต้องรับหน้าที่จัดการเรื่องจิปาถะในเรือนแทนมารดาที่แก่ตัวลงและไม่ค่อยแข็งแรง ดังนั้นเรื่องออกเรือนจึงถูกปัดตกในท้

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status