LOGINหลังโม่เหล่าฟูเหรินลั่นวาจาในโถงจะเป็นผู้พาโม่ซือเฉินไปฝากฝังกับสกุลเฮ่อด้วยตนเอง โม่กุ้ยหลันได้เริ่มตระเตรียมของขวัญสำหรับมอบให้ฝ่ายนั้น ส่วนอาจารย์ซ่งไม่กล่าวคัดค้านอะไร ถึงเสียดายเพราะอยากมีเวลาถ่ายทอดความรู้ให้ศิษย์คนโปรดมากกว่านี้อีกสักนิด ทว่านอกจากยุทธวินัยซึ่งสมควรเรียนรู้เพื่อต่อยอดสู่การศึกษากลยุทธ์การศึก ด้านร่างกายยิ่งต้องรีบฝึกปรือให้คุ้นชินต่อความลำบาก หากฝึกตอนอายุมากแล้วต่อให้พึ่งพาพรสวรรค์อาจส่งผลให้พื้นฐานไม่มั่นคง กลายเป็นปัญหาภายหลังขุนศึกนามระบือหลายคนยังมีจุดอ่อน หาได้เชี่ยวชาญทุกแขนง หาก
โม่ซือเฉินได้รับโอกาสเพื่อขัดเกลาตนเองเร็วขึ้น นั่นย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี เส้นทางของเด็กชายจะเปิดกว้างขึ้น“อาจารย์ได้ยินว่าเจ้ามีใต้เท้าหยางกับบัณฑิตเก่งกาจหลายคนดูแลเรื่องการปกครองและจารีตธรรมเนียม เท่านี้ก็รู้สึกวางใจ”
โม่ซือเฉินประสานมือ ทำความเคารพอีกฝ่ายด้วยความนอบน้อม ไม่ว่าชีวิตไหนล้วนเป็นอาจารย์ซ่งสั่งสอนอบรมจึงมีความรู้กว้างขวาง ไม่อับอายใคร เวลานี้เขาจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางชีวิต ไม่อาจเก็บตัวอยู่ในจวนคังโหวจนอายุสิบห้าถึงเริ่มจับอาวุธ ดังนั้นจำต้องบอกลาอาจารย์
“ซือเฉิน อาจารย์อยากตักเตือนเจ้าสักสองประโยค”
“เชิญอาจารย์กล่าว”
ชายวัยกลางคนลูบเคราตนเอง หลุบตาลงมองม้วนตำราอยู่ครู่หนึ่งก่อนเงยมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง “จงพึงระลึกเอาไว้เสมอว่าเวลามีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดบนโลก จงถนอมเวลา ดื่มด่ำกับมันยามเผชิญความทุกข์ เมื่อความสุขมาหาเจ้าจะได้รู้จักรักษา เร็วไปไม่ดี ช้าไปไม่ดี สรรพสิ่งมีจังหวะ จุดเริ่มต้น และจุดจบของมันเอง”
โม่ซือเฉินอึ้งอยู่หลายอึดใจ พอคิดได้ว่านอกอาจารย์แตกฉานเรื่องปรัชญา ยังเลื่อมใสหลักธรรมของศาสนาพุทธซึ่งเผยแพร่คำสอนเข้ามาในดินแดนแถบนี้ได้ราวร้อยกว่าปี จิตใจที่ว้าวุ่นพลันสงบลง เมื่อครู่เพราะนึกว่าอาจารย์ล่วงรู้ถึงความลับของตนเข้าถึงได้ตื่นตระหนก
“ที่สอนไปเข้าใจหรือไม่?”
“ศิษย์จะจดจำไว้คอยเตือนตัวเองขอรับ”
ผู้ฟังพยักหน้าพอใจ จากนั้นถึงเปิดกล่องไม้ขนาดกลางข้างตัว ในนั้นมีกระดาษซึ่งถูกพับไว้วางซ้อนกันเป็นปึก อาจารย์ซ่งสุ่มหยิบออกมาก่อนส่งให้ศิษย์ของตน
“ของเหล่านี้อยู่กับคนแก่ไปก็ไร้ประโยชน์ สหายคนหนึ่งของอาจารย์เป็นยอดนักเดินทาง ซ้ำยังคลั่งไคล้เกี่ยวกับอาวุธต่างๆ เสียดายเขาร่างกายไม่แข็งแรงเท่าไรนัก มักล้มป่วยบ่อยครั้งช่วงฤดูหนาว ก่อนจากไปเขาได้มอบตำรากับบันทึกไว้ให้เมื่อหลายสิบปีก่อน บางม้วนเป็นการจดบันทึกด้วยตนเอง ไม่ได้คัดลอกจากที่ใด ขอมอบให้เจ้าเอาไว้ศึกษา”
ชายวัยกลางคนไปยังหีบขนาดใหญ่ใกล้ชั้นหนังสือ
“แต่ว่านี่…” โม่ซือเฉินคลี่กระดาษสีเหลืองสากออก พบว่าเป็นภาพวาดกระบวนทัพขนาดย่อม สำหรับคุณชายรองโม่ซึ่งผ่านมาหนึ่งชีวิตแล้ว สมควรรู้จักวิธีตั้งค่ายกลหรือจัดกองกำลังแบบต่างๆ มากมาย กลับไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน “สิ่งเหล่านี้ล้ำค่ามากจริง ๆ”
โม่ซือเฉินทั้งประหลาดใจ ทั้งระแวง นั่นเพราะชีวิตก่อนของเหล่านี้อาจารย์ซ่งไม่ได้มอบให้เขา จำได้ว่าตอนอาจารย์หมดหน้าที่และเดินทางกลับบ้านเกิดได้นำหนังสือตำรากลับไปด้วยทั้งหมด
“คุณค่าของมันอยู่ที่ผู้ใช้ หากวันหน้าซือเฉินเติบใหญ่แล้วได้นำมันสร้างประโยชน์ต่อแผ่นดินเทียนเหริน ทั้งอาจารย์และสหายย่อมตายตาหลับ”
“อาจารย์”
“เอาละ ประเดี๋ยวขนของพวกนี้กลับไป วันนี้ไม่ต้องเข้าเรียน”
“ข้าจะกลับมาเยี่ยมอาจารย์บ่อยๆ ขอรับ”
“อืม นอกจากมาเยี่ยมก็ช่วยพูดให้อาเหวินขยันกว่านี้สักหน่อย ทั้งเจ้าและหรงอี้ต่างเป็นตัวอย่างที่ดี ให้เจ้าที่เป็นพี่ชายโน้มน้าวคงพอเชื่อฟังอยู่บ้าง”
โม่ซือเฉินค้อมศีรษะประสานมือเพื่อบอกลาแต่ไม่รับปากเรื่องโม่เหวิน กับน้องชายต่างมารดาผู้นี้เขาไร้ความปรารถนาดีให้อย่างสิ้นเชิง หากวันหน้ามีโอกาสล้างแค้นก็จะไม่ลังเล
หวังหย่งกับบ่าวอีกคนถูกเรียกเข้ามาช่วยยกหีบคนละข้าง ภายในนั้นมีตำราไม้ไผ่กับสมุดจดมากมาย รวมถึงกระดาษอีกหลายร้อยแผ่น ส่วนใหญ่เป็นบันทึกเหตุการณ์จริงในเหตุสู้รบตามชายแดนรวมถึงการแย่งชินพื้นที่ระหว่างเผ่าของชนนอกด่าน นอกจากนั้นยังมีพิชัยสงครามกับตำรากลไก ขณะเดินครุ่นคิดอะไรบางอย่างในใจ ตอนเลี้ยวตรงหัวมุมเรือนรับรองของอาจารย์โม่ซือเฉินกลับพบเข้ากับโม่เหวินซึ่งกำลังเดินมาพอดี
“พี่รอง”
“อาจารย์กำลังรอเจ้าอยู่”
โม่เหวินผงกศีรษะก่อนชะงักเมื่อเห็นหีบไม้ที่ถูกยกตามหลังโม่ซือเฉินมา
“นั่นคืออะไรหรือ?”
“อาจารย์ยกตำราให้ข้านำติดตัวไปอ่านตอนไปสกุลเฮ่อ ดูเหมือนจะเป็นตำราหายากล้ำค่า”
แววตาคุณชายสามสกุลโม่วูบไหวด้วยความริษยาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงรับคำและขอตัว คล้อยหลังอีกฝ่ายโม่ซือเฉินมุมปากกดลึก ส่ายหน้าให้กับการลองใจเล็กน้อยซึ่งได้รับผลดีเกิดคาด
โม่เหวินยังคงเป็นโม่เหวินที่มีจิตใจทะเยอทะยาน ร้อนรุ่มยามเห็นผู้อื่นได้ดีกว่า ไม่เปลี่ยนแปลงจากความทรงจำของตนในอีกชีวิตเลย
“น้องรอง” ตอนเดินผ่านประตูคั่นสวน โม่หรงอี้ส่งเสียงเรียกน้องชายจากศาลาไม้ “มากินของว่างด้วยกันเร็วเข้า”
เดิมทีโม่ซือเฉินคิดกลับไปหมกตัวในเรือนนอนเพื่อรื้ออ่านตำราและบันทึกที่อาจารย์มอบให้ ทว่าพอถูกเรียกตัวทั้งพี่ชายได้ส่งไม้ตายเป็นเด็กหญิงในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนวิ่งมาออดอ้อน โม่ซือเฉินพลันคลี่ยิ้ม ยอมให้น้องสาวต่างมารดาจับจูงโดยดี
“เอาไปเก็บที่เรือนแล้วรีบมา” หวังหย่งรับคำสั่ง ช่วยบ่าวชายยกหีบไป
“พี่ใหญ่กำลังเล่าเรื่องหรูหวัง[1]ก่อตั้ง…ตั้ง” ดวงตากลมโตคู่นั้นราวกับลูกกวาง แก้มแดงระเรื่อเมื่ออยู่ท่ามกลางอากาศเย็น โม่หลิงจูมุ่นคิ้วเมื่อนึกคำไม่ออก
“ตั้งราชวงศ์” โม่ซือเฉินกล่าวแล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายจูงมืออีกฝ่ายแทน
ภายในศาลามีคนอยู่แค่ไม่กี่คน คุณชายใหญ่กับบ่าวคนสนิท คุณชายรอง แม่นมของโม่หลิงจู สาวใช้ยกของว่างจากห้องครัวมาหลังโม่ซือเฉินนั่งลงได้ไม่นาน ครู่หวังหย่งก็ตามมาสมทบ
“จากนั้นเป็นอย่างไรต่อเจ้าคะ”
ความสนุกล่อลวงให้โม่หลิงจูตั้งหน้าตั้งตาฟังเรื่องเล่าของโม่หรงอี้ ไม่วอกแวกไปทางอื่น เมื่อประวัติศาสตร์ถูกนำมาถ่ายทอดคล้ายนิทานเรื่องหนึ่งย่อมถูกใจเด็ก ๆ เป็นธรรมดา
“หลังได้รับความช่วยเหลือจากสกุลหลาน หรูหวังสามารถเอาชนะศัตรูสำเร็จ ทรงก่อตั้งราชวงศ์ แผ่นดินเทียนเหรินได้ถือกำเนิดขึ้น”
โม่ซือเฉินนั่งอยู่ข้างน้องสาว เขายกถ้วยขึ้นเป่าไล่ความร้อน กลิ่นหอมลอยแตะจมูกเล็กน้อยยามส่งช้อนเข้าปาก ความเผ็ดร้อนของน้ำขิงบางเบาพอให้ร่างกายอบอุ่นในช่วงอากาศเย็น ไม่ถึงขั้นลิ้นเด็กชายวัยแปดปีรับไม่ไหว ความจริงห้องครัวทำของว่างสองอย่างตามคำสั่งท่านอา นางอยากเอาใจหลานชาย ห้องครัวจึงทำมันเทศต้มน้ำขิงของโปรดคุณชายใหญ่
โม่ซือเฉินนั้นไม่มีปัญหา ทว่าดูเหมือนมันไม่ค่อยถูกปากโม่หลิงจูสักเท่าไรนัก เด็กหญิงเลยกินขนมแป้งอบไส้ถั่วแทน
“จากนั้นทั้งสองได้ครองคู่กันหรือไม่?”
โม่หรงอี้หัวเราะเบา ๆ “ตัวเท่าต้นถั่วงอกเจ้ารู้จักคำว่าครองคู่เสียด้วย”
เด็กหญิงไม่ยอมแพ้ ทวนคำถามซ้ำ “พี่ใหญ่ คุณหนูหลานได้เป็นหวงโฮ่ว[2]ใช่หรือไม่?”
หนุ่มน้อยส่ายหน้า “คุณหนูหลานแต่งกับแม่ทัพใหญ่”
ความจริงหรูหวังมีชายาเอกคู่ทุกข์คู่ยากอยู่แล้ว เมื่อก่อตั้งราชวงศ์สำเร็จนางจึงถูกอวยยศเป็นมารดาของแผ่นดิน สำหรับคุณหนูหลานที่บังเอิญพบหน้าในงานเทศกาลโคมไฟ ทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับสงครามซึ่งปะทุขึ้นแทบทุกหย่อมหญ้าในเวลานั้นเป็นมิตรภาพเยี่ยงสหาย ทั้งยังเป็นการเกื้อกูลในแง่ผลประโยชน์ของตระกูล ภายหลังคุณหนูหลานได้แต่งให้แม่ทัพคนสนิทของพระองค์แทน
“แม่ทัพผู้นั้นหล่อเหลาคู่ควรกับคุณหนูหลาน? ไหนพี่ใหญ่บอกว่าคุณหนูหลานเป็นโฉมสะคราญ เหตุใดไม่ได้อยู่กับคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดเล่า”
“เรื่องนั้น…” โม่หรงอี้เกิดอึกอักเมื่อน้องสาวมีท่าทางผิดหวัง
ความคิดของเด็กหกขวบแน่นอนว่าหญิงงามต้องคู่กับยอดบุรุษ ไม่ว่านิทานหรือตำนานเรื่องใดสมควรจบลงอย่างมีความสุข โม่ซือเฉินที่รู้เรื่องนี้ทะลุปรุโปร่งดีอยู่แล้วเคี้ยวมันเทศในปาก ชำเลืองมองไปรอบ ๆ พบว่าแม่นม สาวใช้ หรือแม้แต่บ่าวของตนล้วนแต่ตั้งใจฟังพี่ใหญ่เล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาของแผ่นดินเมื่อสองร้อยปีก่อนชนิดตาไม่กะพริบ
“จูจู ความงามขึ้นอยู่กับผู้มอง” โม่ซือเฉินวางถ้วยของว่าง ช่วยเหลือพี่ใหญ่ซึ่งตกที่นั่งลำบาก
เรื่องนี้เขาพูดจากประสบการณ์ตรงของตน แน่นอนว่าไม่ใช่ประสบการณ์โม่ซือเฉินวัยแปดขวบ ทว่าเป็นแม่ทัพโม่ช่วงวัยหนุ่ม ครั้งหนึ่งเคยมองข้ามสตรีแสนดีเพียงเพราะอคติบังตา จนทุกอย่างสายเกินแก้ถึงกล้ายอมรับกับตนเองว่านางนั้นเฉิดฉายเหนือผู้ใด ไม่ว่ารูปลักษณ์หรือจิตใจ
“อยู่ที่ผู้มอง?”
“ใช่” เด็กชายลูบศีรษะทุย อธิบายอย่างใจเย็นชนิดแทบเรียกว่าผิดวิสัย “หากถามผู้อื่นว่าเจ้างดงามหรือไม่ พวกเขาอาจตอบแตกต่างกันไป”
เขาใคร่มอบความรักและเมตตาเพื่อชดเชยแก่น้องสาว เนื่องจากอีกชีวิตของตนตอนเจ้าไข่มุกเม็ดงามเพิ่งปักปิ่น[3]ได้ปีเดียวก็ต้องแต่งเข้าสกุลเสิ่น บิดาเขาสนิทสนมกับใต้เท้าเสิ่นเสียขนาดนั้น ตอนเสิ่นฟูเหรินจับคู่ให้โม่หลิงจูกับคุณชายเสิ่นจึงส่งเสริม ทุกอย่างอาจฟังดูไม่เสียหาย หากมิใช่คุณชายเสิ่นเวลานั้นถูกวางตัวเป็นผู้สืบทอด ยกให้กลายเป็นบุตรของภรรยาเอกเพื่อความเหมาะสม ดังนั้นบุตรสาวอนุเช่นน้องสาวของเขาถึงเป็นได้แค่อนุ
“แล้วพี่ใหญ่กับพี่รองคิดว่าข้างามหรือไม่?”
โม่หรงอี้สบตาโม่ซือเฉิน ขณะคนอื่นในศาลาหัวเราะเบา ๆ กับคำถามชวนเอ็นดูนั่น
“แน่นอนว่าจูจูของพวกเรางดงามไม่แพ้ใคร” โม่หรงอี้ตอบชัดถ้อยชัดคำ
“เอาละ รีบกินของว่างให้เสร็จแล้วรีบกลับเรือน ประเดี๋ยวข้ากับพี่รองของเจ้าต้องไปรับแขก”
“เจ้าค่ะ”
โม่ซือเฉินมองน้องสาวซึ่งตั้งหน้าตั้งตากินแป้งอบก่อนลุกไปหาพี่ชาย “ผู้ใดจะมาเยี่ยมที่จวนหรือ”
ทว่าอีกฝ่ายไม่ทันตอบ บ่าวที่ติดตามบิดากลับวิ่งกระหืดกระหอบมาตามพวกเขาไปยังโถงรับแขกของเรือนชั้นนอก
“ท่านโหวให้มาตามคุณชายทั้งสองไปต้อนรับเจิ้งเป่าโหวขอรับ”
- - - - - - - - - - -
เชิงอรรถ
[1] หวังหรืออ๋องมีความแตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย เช่น ยุคชุนชิว หวังคือผู้ครองแคว้นหรือรัฐ เทียบได้กับกษัตริย์ เช่น ฉู่จวงหวังแห่งรัฐฉู่ ภายหลังในยุคที่ราชวงศ์ต่างๆ ปกครองแผ่นดินจีน ตำแหน่งหวังได้กลายเป็นบรรดาศักดิ์สูงสุดของเชื้อพระวงศ์ฝ่ายชาย เป็นรองเพียงหวงตี้หรือฮ่องเต้ อย่างไรก็ตามผู้นำของประเทศราช เผ่า หรือดินแดนที่อยู่นอกด่านไปถูกเรียกกันว่าหวังเช่นกัน
[2] หวงโฮ่ว หมายถึงฮองเฮา
[3] พิธีปักปิ่นเป็นพิธีที่จัดขึ้นสำหรับหญิงที่มีอายุครบสิบห้าปี แสดงให้รู้ว่าได้ก้าวเข้าสู่วัยสาวเต็มตัว พร้อมออกเรือน
บทที่สาม เหล่าองค์ชาย (2/2)โม่หรงอี้เลิกคิ้วสูง “ท่านลุงมาอย่างนั้นหรือ?”บ่าวผู้นั้นตอบรับ สองพี่น้องจึงไม่รอช้า รีบไปพบคนสำคัญทันที“หวังหย่ง จำที่ข้าเคยสั่งเอาไว้ได้หรือไม่” โม่ซือเฉินกวักมือเรียกคนสนิทมากระซิบถาม อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างรู้งานเขาจึงวางใจ เด็กชายก้าวเท้าเร็ว ๆ ตามหลังพี่ชาย ตั้งแต่ได้รับโอกาสใช้ชีวิตใหม่นี่นับเป็นการพบกันหนแรกระหว่างเขากับผู้เป็นลุงเจิ้งเป่าโหวเฮ่อเสียนตงเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของมารดา ท่านลุงมีบุตรชายสองคนสมัยอายุยังน้อยท่านลุงมักถูกบรรดาคุณชายสกุลอื่นดูแคลนว่าเรียนหนังสือเขียนอ่านไม่เอาไหน ทว่าพอได้จับดาบง้างคันธนูกลับราศีจับ สมเป็นทายาทตระกูลทหาร ถึงอย่างนั้นเฮ่อเสียนตงหาใช่พวกใช้หมัดแก้ปัญหา นอกจากจงรักภักดีต่อเหนือหัวอย่างยิ่งยวดแล้ว ยังรู้จักหนักเบา ไม่ชอบข้องแวะกับขั้วอำนาจต่าง ๆ ในราชสำนัก ทำให้แม่ทัพใหญ่ผู้นี้ไม่ค่อยถูกขุนนางวาจาวิพากษ์วิจารณ์ภายในโถงเรือนหน้าซึ่งมีไว้รับแขก ผู้ที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานหาใช่โม่เทียนฉินแต่เป็นโม่เหล่าฟูเหริน โม่ซือเฉินเห็นท่านอาของตนกับสาวใช้รุ่นใหญ่ช่วยประคองหญิงชรานั่งลง ดูเหมือนท่านย่าเองเพิ่งมาถึงก่อนหน้าเขา
บทที่สาม เหล่าองค์ชาย (1/2)หลังโม่เหล่าฟูเหรินลั่นวาจาในโถงจะเป็นผู้พาโม่ซือเฉินไปฝากฝังกับสกุลเฮ่อด้วยตนเอง โม่กุ้ยหลันได้เริ่มตระเตรียมของขวัญสำหรับมอบให้ฝ่ายนั้น ส่วนอาจารย์ซ่งไม่กล่าวคัดค้านอะไร ถึงเสียดายเพราะอยากมีเวลาถ่ายทอดความรู้ให้ศิษย์คนโปรดมากกว่านี้อีกสักนิด ทว่านอกจากยุทธวินัยซึ่งสมควรเรียนรู้เพื่อต่อยอดสู่การศึกษากลยุทธ์การศึก ด้านร่างกายยิ่งต้องรีบฝึกปรือให้คุ้นชินต่อความลำบาก หากฝึกตอนอายุมากแล้วต่อให้พึ่งพาพรสวรรค์อาจส่งผลให้พื้นฐานไม่มั่นคง กลายเป็นปัญหาภายหลังขุนศึกนามระบือหลายคนยังมีจุดอ่อน หาได้เชี่ยวชาญทุกแขนง หากโม่ซือเฉินได้รับโอกาสเพื่อขัดเกลาตนเองเร็วขึ้น นั่นย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี เส้นทางของเด็กชายจะเปิดกว้างขึ้น“อาจารย์ได้ยินว่าเจ้ามีใต้เท้าหยางกับบัณฑิตเก่งกาจหลายคนดูแลเรื่องการปกครองและจารีตธรรมเนียม เท่านี้ก็รู้สึกวางใจ”โม่ซือเฉินประสานมือ ทำความเคารพอีกฝ่ายด้วยความนอบน้อม ไม่ว่าชีวิตไหนล้วนเป็นอาจารย์ซ่งสั่งสอนอบรมจึงมีความรู้กว้างขวาง ไม่อับอายใคร เวลานี้เขาจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางชีวิต ไม่อาจเก็บตัวอยู่ในจวนคังโหวจนอายุสิบห้าถึงเริ่มจับอาวุธ ดังน
บทที่สอง สกุลเฮ่อ (1/2)“สกุลไป๋แห่งตรอกอิ๋นซิ่ง…ตรอกอิ๋นซิ่ง” หวังหย่งพึมพำ ทวนสิ่งที่ได้ยิน “คิดว่าวันมะรืนคนส่งผักน่าจะมาที่จวน บ่าวจะสอบถามให้ท่านขอรับ”คนฟังพยักหน้า “หาโอกาสให้ดี อย่าให้ผู้อื่นได้ยิน”เขาไม่ปรารถนาให้ใครยุ่มย่ามโม่ซือเฉินหยิบเอาเหรียญกลมเจาะรูตรงกลางจากถุงใบเล็กที่ท่านอาเย็บให้เป็นของขวัญ มอบแก่คนสนิทหนึ่งเหรียญและสั่งให้มอบแก่คนส่งผัก “บอกเขาว่าให้คอยส่งข่าวสกุลไป๋แก่เจ้า ปิดปากให้สนิทด้วย ไม่อย่างนั้นงานง่าย ๆ รายได้ดีจะไม่มีให้ทำอีก”“ขอรับ”“จำไว้ว่าต่อจากนี้ไม่ต้องเสวนากับคนจากเรือนฟางอี๋เหนียง หากเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศไม่เป็นไร แต่นอกเหนือจากนั้นให้ตอบว่าไม่รู้สถานเดียว บอกคนอื่นในเรือนของเราด้วย”หวังหย่งรับคำแข็งขันคืนนั้นก่อนดับไฟเข้านอน คุณชายรองสกุลโม่นำทรัพย์สินของตนออกมานับ พบว่าเงินตราสำหรับซึ่งนำไปจับจ่ายนั้นมีไม่น้อย โดยเงินเก็บส่วนมากเป็นท่านย่ามอบให้ ส่วนของมีค่านอกจากเครื่องประดับหยกและเงินจำพวกปิ่นกับหยกสลักชิ้นเล็กสำหรับห้อยเอวก็ไม่มีอย่างอื่นอีก เครื่องประดับสูงค่าหลายชิ้นท่านอาเป็นผู้เก็บ รอกระทั่งเขาโตกว่านี้ถึงค่อยมอบให้เก็บรักษาด้วยต
บทที่สอง สกุลเฮ่อ (1/2)ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในเขตเรือนของฟางอี๋เหนียง เสียงคร่ำครวญเรียกชื่อพลางปลอบใจบุตรชายเพียงคนเดียวหลังฉากกั้นทำโม่ซือเฉินสะอิดสะเอียน เด็กชายกลอกตา ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ถัดจากหลังพี่ชาย ครั้นนึกได้ว่าท่าทางแบบนี้ไม่สมวัยสักเท่าไรจึงคิดเลื่อนมือมาประสานด้านหน้า ตอนนั้นเองบุรุษในเสื้อคลุมสีอ่อนดูหรูหราพลันก้าวเร็ว ๆ ผ่านพวกเขาไปสมทบกับอนุของตนหลังฉากกั้น ไม่แม้แต่จะหยุดทักทายทายาทจากภรรยาเอกอีกสองคนโม่ซือเฉินยิ้มเยาะในใจช่างเถิด จะระวังกิริยาไปไยในเมื่อมิมีผู้ใดใส่ใจ ขอแค่ระวังคำพูดหรือสีหน้ายามอยู่ต่อหน้าท่านย่ากับท่านอาก็พอ“เหวินเอ๋อร์ท่านพ่อของเจ้ามาแล้ว รีบบอกท่านพ่อเร็วเข้าว่าเจ็บที่ใดบ้าง” อนุคนโปรดสะอื้นกล่าว “โชคร้ายเหลือเกิน ไม่รู้กระทบกระเทือนศีรษะหรือไม่”คังโหวโม่เทียนฉินขมวดคิ้ว ตวาดถามบ่าวชาย “พวกเจ้าตามหมอหรือยัง”เป็นบุตรชายคนโตส่งเสียงตอบแทนว่าส่งคนไปเชิญหมอมาตรวจอาการแล้ว คงอยู่ระหว่างเดินทางม้าแคระตัวไม่สูง ตอนตกลงมาศีรษะมิทันกระแทกพื้นด้วยซ้ำ เนื่องจากคนสนิทเข้าช่วยเหลือทัน เพียงฝ่ามือถลอกเล็กน้อย สาเหตุที่โม่เหวินแหกปากเสียลั่นคงเพราะเสี
บทที่หนึ่ง ไร้เดียงสา (2/2)ภายใต้แสงจากเชิงเทียนข้างโต๊ะไม้ยาว เด็กชายนั่งหลังเหยียดตรงบนเบาะผ้า ปลายพู่กันขยับลงบนกระดาษ ลากติดต่อกันอย่างรวดเร็ว ตัวอักษรค่อนข้างหวัดแต่น้ำหนักเส้นยังคงสม่ำเสมอโม่ซือเฉินมองดูชื่อของคนทั้งหลายที่เขาคุ้นเคย ไตร่ตรองว่าควรเริ่มขยับหมากตัวใดบนกระดานซึ่งถูกล้างใหม่ หมากตัวใดควรเก็บไว้ หมากตัวไหนควรทำลายตั้งแต่เนิ่น ๆฝันหนึ่งตื่นคือชั่วชีวิตยี่สิบสองปีที่เคยเกิดขึ้นจริงหลังฟื้นจากพิษไข้ คนแรกที่เขาไปคารวะเต็มพิธีคือท่านย่าจากนั้นตามด้วยท่านอา เวลานั้นคลับคล้ายตนเองยังสลัดความรู้สึกโศกเศร้าคับแค้นใจจากอีกชีวิตหนึ่งไม่พ้น เพราะความโง่เขลาถึงทำสกุลโม่เดือดร้อน เขาทราบเพียงว่านหมิงจวินเป็นผู้ลงดาบสังหารตนตามคำสั่งหวงตี้[1] ทว่าตระกูลของตนต้องประสบพบเจอความยากลำบากอะไรหลังความตายของตน เขามิอาจรับรู้ หากให้คาดเดาจากอุปนิสัยผู้ออกคำสั่ง คิดว่าคงรักษาหน้าและแสดงความอาทรเมตตา ลงโทษเด็กกับสตรีสถานเบาถึงเหล่าฟูเหริน[2]และโม่กุ้ยหลันไม่ทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับหลานชาย ความรู้สึกผิดยังคงกัดกินจนยากมองหน้าพวกนาง หลังจากนั้นถึงเข้าไปสงบสติในหอบรรพชน ใครโน้มน้าวเช่นไร
บทที่หนึ่ง ไร้เดียงสา (1/2)“เฉินเกอ[1]เด็กดี”คนถูกเรียกว่าเด็กดีขมวดคิ้ว ฝืนใจยอมยืนนิ่งให้สาวใช้อีกสองคนช่วยกันเปลี่ยนชุดฤดูหนาวให้ตนเป็นชุดที่หก ทุกชุดล้วนมีขนสัตว์นุ่มนิ่มเย็บติดอยู่ตรงคอเสื้อ เพราะอยู่ในวัยกำลังโตจึงต้องลองสวมเครื่องนุ่งห่มที่ตัดใหม่อยู่บ่อยครั้ง ตรงไหนหลวมหรือคับแน่นจะได้แก้ไข“ดูสิเจ้าคะ ตั้งแต่ล้มป่วยคราวก่อนคุณชายรองซูบลงไม่น้อย”ท่านอาของโม่ซือเฉินมีนามว่าโม่กุ้ยหลัน นางฟังคนสนิทกล่าวก่อนพยักหน้า “อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ เจ้าสั่งห้องครัวให้ทำน้ำแกงบำรุงทุกมื้อ ต้องเร่งบำรุงเฉินเกอให้ดี”ท่านอาเคยหมั้นหมายตอนอายุน้อยสองครั้ง ครั้งแรกกับคนที่รักใคร่ชอบพอทว่าไร้วาสนา คู่หมั้นจากไปก่อนวัยอันควร ครั้งที่สองเป็นสกุลโม่ขอถอนหมั้นเนื่องจากอีกฝ่ายประพฤติตัวลุ่มหลงในกาม เข้าออกหอนางโลมเสเพลเจ้าสำราญตั้งแต่อายุน้อย มองดูไร้อนาคต จากนั้นมาท่านอาก็ไม่สนใจผู้ใดอีก นางมุ่งมั่นทุ่มเทช่วยเลี้ยงดูอบรมบุตรชายสองคนของพี่ชายซึ่งกำพร้ามารดา สกุลโม่ขาดสะใภ้ โม่กุ้ยหลันต้องรับหน้าที่จัดการเรื่องจิปาถะในเรือนแทนมารดาที่แก่ตัวลงและไม่ค่อยแข็งแรง ดังนั้นเรื่องออกเรือนจึงถูกปัดตกในท้







