LOGINบทที่หนึ่ง ไร้เดียงสา (2/2)
ภายใต้แสงจากเชิงเทียนข้างโต๊ะไม้ยาว เด็กชายนั่งหลังเหยียดตรงบนเบาะผ้า ปลายพู่กันขยับลงบนกระดาษ ลากติดต่อกันอย่างรวดเร็ว ตัวอักษรค่อนข้างหวัดแต่น้ำหนักเส้นยังคงสม่ำเสมอ
โม่ซือเฉินมองดูชื่อของคนทั้งหลายที่เขาคุ้นเคย ไตร่ตรองว่าควรเริ่มขยับหมากตัวใดบนกระดานซึ่งถูกล้างใหม่ หมากตัวใดควรเก็บไว้ หมากตัวไหนควรทำลายตั้งแต่เนิ่น ๆ
ฝันหนึ่งตื่นคือชั่วชีวิตยี่สิบสองปีที่เคยเกิดขึ้นจริง
หลังฟื้นจากพิษไข้ คนแรกที่เขาไปคารวะเต็มพิธีคือท่านย่าจากนั้นตามด้วยท่านอา เวลานั้นคลับคล้ายตนเองยังสลัดความรู้สึกโศกเศร้าคับแค้นใจจากอีกชีวิตหนึ่งไม่พ้น เพราะความโง่เขลาถึงทำสกุลโม่เดือดร้อน เขาทราบเพียงว่านหมิงจวินเป็นผู้ลงดาบสังหารตนตามคำสั่งหวงตี้[1] ทว่าตระกูลของตนต้องประสบพบเจอความยากลำบากอะไรหลังความตายของตน เขามิอาจรับรู้ หากให้คาดเดาจากอุปนิสัยผู้ออกคำสั่ง คิดว่าคงรักษาหน้าและแสดงความอาทรเมตตา ลงโทษเด็กกับสตรีสถานเบา
ถึงเหล่าฟูเหริน[2]และโม่กุ้ยหลันไม่ทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับหลานชาย ความรู้สึกผิดยังคงกัดกินจนยากมองหน้าพวกนาง หลังจากนั้นถึงเข้าไปสงบสติในหอบรรพชน ใครโน้มน้าวเช่นไรไม่เป็นผล โม่ซือเฉินเพียงอยากใช้เวลากับตนเองเพื่อทบทวนทุกสิ่งให้ถี่ถ้วน กระทั่งบิดามาตามด้วยตัวเองถึงยอมเปิดประตูพบหน้า ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวแต่หวั่นว่าพฤติกรรมอาจผิดสังเกต
โม่ซือเฉินยกยิ้มเย็น อักษรคังบนกระดาษถูกลากยาวไปยังอักษรฟางและเหวิน
บิดาของโม่ซือเฉินหรือหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันของสกุลโม่มีนามว่าโม่เทียนฉิน สืบทอดบรรดาศักดิ์คังโหวจากบิดา ส่วนอักษรฟางหมายถึงฟางอี๋เหนียง[3] มารดาของน้องสามโม่เหวิน ผู้ที่มาด้อมๆ มองๆ แอบดูเขากับพี่ใหญ่เมื่อตอนกลางวัน ฟางอี๋เหนียงผู้นี้อย่าได้ดูแคลนว่าเป็นแค่สตรีในห้องหอ รู้จักแค่เอาใจบุรุษและทำงานฝีมือ อสรพิษนางนี้นับว่าร้ายกาจทีเดียว อีกชีวิตหนึ่งของโม่ซือเฉินอนุของบิดาผู้นี้ค่อย ๆ ชักจูงเขาในช่วงเติบใหญ่ให้แตกคอกับโม่หรงอี้ ภายหลังโม่หรงอี้พลัดตกจากหลังม้าจนพิการ ใช้ขาไม่ได้ เป็นนางที่คอยเป่าหูพี่น้องให้หวาดระแวงกันและกัน
โม่หรงอี้ต่างจากน้องชายตรงที่ได้มีเวลาอยู่กับมารดาแท้ ๆ พอจะจดจำถึงความไม่เท่าเทียมของบิดาที่ปฏิบัติต่อมารดาได้ ดังนั้นจึงไม่ค่อยชอบตัวต้นเหตุเช่นฟางอี๋เหนียง
อย่างไรก็ตามยังมีน้ำใจต่อโม่เหวิน หาได้แสดงท่าทีรังเกียจ ต่างกับเขาที่ขาดความอบอุ่นจากมารดา ต่อให้ท่านอาดีเพียงไรยังคงมีเรื่องมากมายทั้งในและนอกเรือนต้องจัดการ ฟางอี๋เหนียงอาศัยช่องว่างตรงนี้ทำดีให้เขาตายใจ
โง่เขลา
เขาช่างโง่เขลาจนน่าขัน โม่ซือเฉินถอนหายใจให้แก่ความเบาปัญญาของตน ถือเสียว่านั่นเป็นอดีตที่ผ่านมาแล้ว จำได้ว่าหลังพี่ใหญ่กลับจากจวนท่านลุงช่วงฤดูหนาว บิดาให้พวกเขา
ติดตามไปร่วมงานเลี้ยงอายุครบหนึ่งเดือนของบุตรชายสหายนามเสิ่นเหยา
ใต้เท้าเสิ่นผู้นี้นับเป็นสหายรักของโม่เทียนฉิน สนิทสนมกันตั้งแต่อายุยังน้อย ใต้เท้าเสิ่นแต่งภรรยาหนึ่งอนุสาม ภรรยาเอกมีบุตรสาวหนึ่งคน บุตรชายคนแรกเกิดจากอนุคนที่สอง เมื่ออนุสามซึ่งแต่งเข้ามาเมื่อปีก่อนให้กำเนิดทายาทชายอีกคนจึงจัดงานยิ่งใหญ่ สั่งอาหารจากหอสุราชื่อดังของเมืองหลวงมารับรองแขกรวมถึงจ้างคณะนางรำจากต่างเมืองมาทำการแสดงไม่ทราบว่าฟางอี๋เหนียงเป่าลมข้างหมอนเช่นไร พอถึงวันจริงบิดาถึงให้โม่เหวินติดตามไปด้วยอีกคน
การพบกันระหว่างบุตรอนุจากสกุลโม่และสกุลเสิ่นดูไม่น่าสร้างปัญหา ทว่านั่นนับเป็นหนึ่งในหายนะที่ไม่สมควรปล่อยให้เกิดขึ้น หลายปีให้หลังโม่เหวินกับคุณชายเสิ่นผู้นี้คือผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์พลัดตกม้าของพี่ใหญ่ เสียดายปราศจากหลักฐานเอาผิด ข้อกล่าวหาถูกปัดตก ยังไม่นับอีกหลายเรื่องซึ่งทั้งสองมีส่วนเกี่ยวข้อง
เด็กชายหยิบมีดเล่มเล็กจากลิ้นชักของชั้นไม้ด้านหลัง บรรจงกรีดกระดาษแล้วนำส่วนที่มีอักษรเหวินยื่นไปเหนือเทียน เปลวสีส้มสว่างวาบเมื่อเจอเชื้อเพลิงชั้นดี เขาทิ้งให้มันมอดไหม้ในกระถางกำยานอันว่างเปล่า
*********
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังกินมื้อเช้าเรียบร้อย โม่หรงอี้เตรียมตัวพาน้องชายไปฝึกขี่ม้าตามสัญญา ขณะตรงไปยังคอกม้ากลับพบโม่เหวินซึ่งออกมาชะเง้อคอมองพร้อมบ่าวคนสนิท
เหตุการณ์เหมือนที่เคยเกิดขึ้นทุกประการ
“พี่ใหญ่ พี่รอง” เสียงเรียกค่อนข้างนอบน้อม เด็กชายตรงหน้าอายุ
น้อยกว่าโม่ซือเฉินเพียงสองเดือน “พวกท่านจะไปคอกม้าใช่หรือไม่ ขอข้าไปด้วยคนเถอะ”
“เจ้าไม่ต้องท่องตำราไว้ตอบคำถามท่านพ่อหรือ” โม่ซือเฉินกล่าว คนฟังพลันเม้มริมฝีปากก้มหน้า
การเรียนของโม่เหวินค่อนข้างอ่อนด้อยเมื่อเทียบกับเขาและพี่ใหญ่ จุดเด่นคือไหวพริบดี รู้จักอ่านสีหน้าคน คนประเภทนี้เมื่อรู้จักประจบสอพลอก็สามารถเอาตัวรอดได้ไม่ยาก เขายังจำได้อีกว่าน้องสามของตนเจ้าคิดเจ้าแค้นทว่ารู้จักเก็บงำข่มใจ รอเวลาเหมาะสมถึงลงมือ ตอนนี้อีกฝ่ายอายุน้อย
ไร้ประสบการณ์ แผนร้ายส่วนใหญ่จึงเกิดจากฝีมือมารดาอย่างฟางอี๋เหนียง“ช่างเถอะ ๆ อยากมาก็มา”
“พี่รอง ท่านพูดจริงหรือ”
โม่ซือเฉินหันไปพูดกับพี่ชาย ด้านเด็กหนุ่มผงกศีรษะ ถึงไม่ชอบอนุของบิดาแต่ไม่เคยคิดร้ายต่อโม่เหวิน “เจ้าบอกฟางอี๋เหนียงแล้ว?”
คนถูกถามพยักหน้ารัวเร็ว “เมื่อเช้าข้าได้ยินพวกบ่าวพูดกันว่าพี่ใหญ่กับพี่รองจะไปขี่ม้า ข้าเลยขอท่านแม่แล้วขอรับ”
“เช่นนั้นตามมา”
ตลอดเวลาที่อยู่คอกม้า โม่ซือเฉินไม่ได้สร้างความลำบากใดแก่โม่เหวิน แม้ถูกจับจ้องด้วยสายตาริษยาอยู่เป็นระยะทว่าเขาคร้านกวนอารมณ์ผู้ใด แค่ต้องฝึกขี่กับม้าแคระอายุมากซึ่งแทบไม่ยอมเดินก็น่าเวทนาพอแล้ว พอเจ้าตัวเรียกร้องอยากฝึกกับม้าตัวอื่นเหมือนเขาบ้าง โม่หรงอี้กลับไม่อนุญาต อ้างว่าน้องสามยังขี่ไม่คล่องพร้อมปลอบใจว่าสมัยก่อนตนเองเคยผ่านการฝึกกับม้าตัวเล็กเช่นกัน
ม้ารูปร่างเล็กในจวนท่านลุงดีร้ายยังเป็นม้าศึก สูงท่วมศีรษะบางคนด้วยซ้ำ จะเทียบกับม้าแคระได้อย่างไร
“พี่ใหญ่ ข้าอยากไปจวนท่านลุง ฝึกดาบฝึกธนูเช่นท่านบ้าง” โม่ซือเฉินจงใจพูดเสียงดัง
ดวงตาคนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังเด็กชายกลับปรากฏความยินดี
“เอาสิ หลังปีใหม่เจ้าลองขอท่านพ่อดู ข้าจะช่วยพูดอีกแรง”
“ขอบคุณพี่ใหญ่ที่สนับสนุน”
ชีวิตก่อนกว่าจะได้เริ่มฝึกการทหารกับตระกูลฝั่งมารดาเขาก็อายุย่าง
สิบห้าปีแล้ว คิดว่าหลังจากนั้นตนขยับไปจนถึงตำแหน่งแม่ทัพสำเร็จเพราะพึ่งพาพรสวรรค์ถึงเจ็ดส่วน ที่เหลือคือชะตาฟ้าลิขิต
ครานี้มีโอกาสจึงอยากไขว่คว้าให้เร็วหน่อยเพื่อเตรียมตัว
สำหรับเหตุผลที่การฝึกฝนล่าช้าส่วนหนึ่งเป็นเพราะบิดาไม่คิดสนับสนุน โม่เทียนฉินเห็นบุตรคนรองเล่าเรียนเขียนอ่านได้เยี่ยมยอดจึงใคร่ให้ดำเนินรอยตามตนเอง ภายหน้าเป็นขุนนางฝ่ายปกครอง เขาเชิญอาจารย์มาสอนโม่ซือเฉินกับโม่เหวินที่จวน ส่วนบุตรคนโตได้ฝึกกับตระกูลฝั่งภรรยาเพราะทางนั้นส่งผู้อาวุโสมาเจรจากับมารดาของเขา โม่หรงอี้แตกฉานทั้งบุ๋นและบู๊ตั้งแต่เยาว์วัย โม่เหล่าฟูเหรินย่อมอยากส่งเสริมหลานคนโต ตอบตกลงทันที
ถึงโม่เทียนฉินไม่สบอารมณ์ตอนมารดาตัดสินใจแทนกลับไม่คิดโต้แย้ง เรื่องใดไม่หนักหนามักปล่อยผ่าน บิดาเขานิยมชมชอบความสงบมากกว่าการทุ่มเถียง
“เหวอ!” เสียงร้องโวยวายกระตุ้นให้ผู้ที่ตกอยู่ในภวังค์หันมอง สายตาทุกคู่หันไปยังเจ้าม้าแคระพร้อมเสียงเอะอะ
“น้องสาม” โม่หรงอี้รีบเหวี่ยงขาลงจากหลังม้าก่อนเรียกคนงานดูแลคอกเข้ามาจูงชั่วคราว “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
“ข้าเจ็บ เจ็บไปหมดเลย ละ เลือดออก…โฮ”
โม่ซือเฉินเลิกคิ้ว มองสองนายบ่าวบนพื้น
โม่เหวินตกจากหลังม้าแคระ โดยมีบ่าวรับไว้ทัน นอกจากเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนเลอะดินก็ดูไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอะไร อย่างดีมีรอยถลอกแถวมือเล็กน้อย มิรู้ไยถึงอ้าปากกว้างร้องเสียงดังราวกับโดนผู้อื่นเฆี่ยนตี
บ่าวคนอื่นกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง กระนั้นยังกุลีกุจอเข้าไปช่วยประคองคุณชายสามกลับเรือน
น่าแปลกนัก
โม่ซือเฉินจำได้ว่าไม่เคยมีเหตุการณ์โม่เหวินตกม้า ที่ผ่านมาทุกสิ่งล้วนเหมือนชีวิตเก่า ไม่เคยเกิดเรื่องไม่คาดฝันเหนือการควบคุมหรือนี่เป็นเพราะเขาคิดไปฝึกที่จวนท่านลุงเร็วขึ้น ถึงเกิดบางอย่างผิดแผกจากเดิม?
- - - - - - - - - - -
เชิงอรรถ
[1] หวงตี้ หมายถึงฮ่องเต้
[2] ฟูเหริน คือคำเรียกภรรยาเอกขุนนางอย่างให้เกียรติ โดยคำที่คนไทยคุ้นเคยกันคือฮูหยิน เหล่าฟูเหรินหมายถึงนายหญิงผู้สูงวัย
[3] อี๋เหนียง คือคำเรียกอนุภรรยา
บทที่สาม เหล่าองค์ชาย (2/2)โม่หรงอี้เลิกคิ้วสูง “ท่านลุงมาอย่างนั้นหรือ?”บ่าวผู้นั้นตอบรับ สองพี่น้องจึงไม่รอช้า รีบไปพบคนสำคัญทันที“หวังหย่ง จำที่ข้าเคยสั่งเอาไว้ได้หรือไม่” โม่ซือเฉินกวักมือเรียกคนสนิทมากระซิบถาม อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างรู้งานเขาจึงวางใจ เด็กชายก้าวเท้าเร็ว ๆ ตามหลังพี่ชาย ตั้งแต่ได้รับโอกาสใช้ชีวิตใหม่นี่นับเป็นการพบกันหนแรกระหว่างเขากับผู้เป็นลุงเจิ้งเป่าโหวเฮ่อเสียนตงเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของมารดา ท่านลุงมีบุตรชายสองคนสมัยอายุยังน้อยท่านลุงมักถูกบรรดาคุณชายสกุลอื่นดูแคลนว่าเรียนหนังสือเขียนอ่านไม่เอาไหน ทว่าพอได้จับดาบง้างคันธนูกลับราศีจับ สมเป็นทายาทตระกูลทหาร ถึงอย่างนั้นเฮ่อเสียนตงหาใช่พวกใช้หมัดแก้ปัญหา นอกจากจงรักภักดีต่อเหนือหัวอย่างยิ่งยวดแล้ว ยังรู้จักหนักเบา ไม่ชอบข้องแวะกับขั้วอำนาจต่าง ๆ ในราชสำนัก ทำให้แม่ทัพใหญ่ผู้นี้ไม่ค่อยถูกขุนนางวาจาวิพากษ์วิจารณ์ภายในโถงเรือนหน้าซึ่งมีไว้รับแขก ผู้ที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานหาใช่โม่เทียนฉินแต่เป็นโม่เหล่าฟูเหริน โม่ซือเฉินเห็นท่านอาของตนกับสาวใช้รุ่นใหญ่ช่วยประคองหญิงชรานั่งลง ดูเหมือนท่านย่าเองเพิ่งมาถึงก่อนหน้าเขา
บทที่สาม เหล่าองค์ชาย (1/2)หลังโม่เหล่าฟูเหรินลั่นวาจาในโถงจะเป็นผู้พาโม่ซือเฉินไปฝากฝังกับสกุลเฮ่อด้วยตนเอง โม่กุ้ยหลันได้เริ่มตระเตรียมของขวัญสำหรับมอบให้ฝ่ายนั้น ส่วนอาจารย์ซ่งไม่กล่าวคัดค้านอะไร ถึงเสียดายเพราะอยากมีเวลาถ่ายทอดความรู้ให้ศิษย์คนโปรดมากกว่านี้อีกสักนิด ทว่านอกจากยุทธวินัยซึ่งสมควรเรียนรู้เพื่อต่อยอดสู่การศึกษากลยุทธ์การศึก ด้านร่างกายยิ่งต้องรีบฝึกปรือให้คุ้นชินต่อความลำบาก หากฝึกตอนอายุมากแล้วต่อให้พึ่งพาพรสวรรค์อาจส่งผลให้พื้นฐานไม่มั่นคง กลายเป็นปัญหาภายหลังขุนศึกนามระบือหลายคนยังมีจุดอ่อน หาได้เชี่ยวชาญทุกแขนง หากโม่ซือเฉินได้รับโอกาสเพื่อขัดเกลาตนเองเร็วขึ้น นั่นย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี เส้นทางของเด็กชายจะเปิดกว้างขึ้น“อาจารย์ได้ยินว่าเจ้ามีใต้เท้าหยางกับบัณฑิตเก่งกาจหลายคนดูแลเรื่องการปกครองและจารีตธรรมเนียม เท่านี้ก็รู้สึกวางใจ”โม่ซือเฉินประสานมือ ทำความเคารพอีกฝ่ายด้วยความนอบน้อม ไม่ว่าชีวิตไหนล้วนเป็นอาจารย์ซ่งสั่งสอนอบรมจึงมีความรู้กว้างขวาง ไม่อับอายใคร เวลานี้เขาจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางชีวิต ไม่อาจเก็บตัวอยู่ในจวนคังโหวจนอายุสิบห้าถึงเริ่มจับอาวุธ ดังน
บทที่สอง สกุลเฮ่อ (1/2)“สกุลไป๋แห่งตรอกอิ๋นซิ่ง…ตรอกอิ๋นซิ่ง” หวังหย่งพึมพำ ทวนสิ่งที่ได้ยิน “คิดว่าวันมะรืนคนส่งผักน่าจะมาที่จวน บ่าวจะสอบถามให้ท่านขอรับ”คนฟังพยักหน้า “หาโอกาสให้ดี อย่าให้ผู้อื่นได้ยิน”เขาไม่ปรารถนาให้ใครยุ่มย่ามโม่ซือเฉินหยิบเอาเหรียญกลมเจาะรูตรงกลางจากถุงใบเล็กที่ท่านอาเย็บให้เป็นของขวัญ มอบแก่คนสนิทหนึ่งเหรียญและสั่งให้มอบแก่คนส่งผัก “บอกเขาว่าให้คอยส่งข่าวสกุลไป๋แก่เจ้า ปิดปากให้สนิทด้วย ไม่อย่างนั้นงานง่าย ๆ รายได้ดีจะไม่มีให้ทำอีก”“ขอรับ”“จำไว้ว่าต่อจากนี้ไม่ต้องเสวนากับคนจากเรือนฟางอี๋เหนียง หากเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศไม่เป็นไร แต่นอกเหนือจากนั้นให้ตอบว่าไม่รู้สถานเดียว บอกคนอื่นในเรือนของเราด้วย”หวังหย่งรับคำแข็งขันคืนนั้นก่อนดับไฟเข้านอน คุณชายรองสกุลโม่นำทรัพย์สินของตนออกมานับ พบว่าเงินตราสำหรับซึ่งนำไปจับจ่ายนั้นมีไม่น้อย โดยเงินเก็บส่วนมากเป็นท่านย่ามอบให้ ส่วนของมีค่านอกจากเครื่องประดับหยกและเงินจำพวกปิ่นกับหยกสลักชิ้นเล็กสำหรับห้อยเอวก็ไม่มีอย่างอื่นอีก เครื่องประดับสูงค่าหลายชิ้นท่านอาเป็นผู้เก็บ รอกระทั่งเขาโตกว่านี้ถึงค่อยมอบให้เก็บรักษาด้วยต
บทที่สอง สกุลเฮ่อ (1/2)ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในเขตเรือนของฟางอี๋เหนียง เสียงคร่ำครวญเรียกชื่อพลางปลอบใจบุตรชายเพียงคนเดียวหลังฉากกั้นทำโม่ซือเฉินสะอิดสะเอียน เด็กชายกลอกตา ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ถัดจากหลังพี่ชาย ครั้นนึกได้ว่าท่าทางแบบนี้ไม่สมวัยสักเท่าไรจึงคิดเลื่อนมือมาประสานด้านหน้า ตอนนั้นเองบุรุษในเสื้อคลุมสีอ่อนดูหรูหราพลันก้าวเร็ว ๆ ผ่านพวกเขาไปสมทบกับอนุของตนหลังฉากกั้น ไม่แม้แต่จะหยุดทักทายทายาทจากภรรยาเอกอีกสองคนโม่ซือเฉินยิ้มเยาะในใจช่างเถิด จะระวังกิริยาไปไยในเมื่อมิมีผู้ใดใส่ใจ ขอแค่ระวังคำพูดหรือสีหน้ายามอยู่ต่อหน้าท่านย่ากับท่านอาก็พอ“เหวินเอ๋อร์ท่านพ่อของเจ้ามาแล้ว รีบบอกท่านพ่อเร็วเข้าว่าเจ็บที่ใดบ้าง” อนุคนโปรดสะอื้นกล่าว “โชคร้ายเหลือเกิน ไม่รู้กระทบกระเทือนศีรษะหรือไม่”คังโหวโม่เทียนฉินขมวดคิ้ว ตวาดถามบ่าวชาย “พวกเจ้าตามหมอหรือยัง”เป็นบุตรชายคนโตส่งเสียงตอบแทนว่าส่งคนไปเชิญหมอมาตรวจอาการแล้ว คงอยู่ระหว่างเดินทางม้าแคระตัวไม่สูง ตอนตกลงมาศีรษะมิทันกระแทกพื้นด้วยซ้ำ เนื่องจากคนสนิทเข้าช่วยเหลือทัน เพียงฝ่ามือถลอกเล็กน้อย สาเหตุที่โม่เหวินแหกปากเสียลั่นคงเพราะเสี
บทที่หนึ่ง ไร้เดียงสา (2/2)ภายใต้แสงจากเชิงเทียนข้างโต๊ะไม้ยาว เด็กชายนั่งหลังเหยียดตรงบนเบาะผ้า ปลายพู่กันขยับลงบนกระดาษ ลากติดต่อกันอย่างรวดเร็ว ตัวอักษรค่อนข้างหวัดแต่น้ำหนักเส้นยังคงสม่ำเสมอโม่ซือเฉินมองดูชื่อของคนทั้งหลายที่เขาคุ้นเคย ไตร่ตรองว่าควรเริ่มขยับหมากตัวใดบนกระดานซึ่งถูกล้างใหม่ หมากตัวใดควรเก็บไว้ หมากตัวไหนควรทำลายตั้งแต่เนิ่น ๆฝันหนึ่งตื่นคือชั่วชีวิตยี่สิบสองปีที่เคยเกิดขึ้นจริงหลังฟื้นจากพิษไข้ คนแรกที่เขาไปคารวะเต็มพิธีคือท่านย่าจากนั้นตามด้วยท่านอา เวลานั้นคลับคล้ายตนเองยังสลัดความรู้สึกโศกเศร้าคับแค้นใจจากอีกชีวิตหนึ่งไม่พ้น เพราะความโง่เขลาถึงทำสกุลโม่เดือดร้อน เขาทราบเพียงว่านหมิงจวินเป็นผู้ลงดาบสังหารตนตามคำสั่งหวงตี้[1] ทว่าตระกูลของตนต้องประสบพบเจอความยากลำบากอะไรหลังความตายของตน เขามิอาจรับรู้ หากให้คาดเดาจากอุปนิสัยผู้ออกคำสั่ง คิดว่าคงรักษาหน้าและแสดงความอาทรเมตตา ลงโทษเด็กกับสตรีสถานเบาถึงเหล่าฟูเหริน[2]และโม่กุ้ยหลันไม่ทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับหลานชาย ความรู้สึกผิดยังคงกัดกินจนยากมองหน้าพวกนาง หลังจากนั้นถึงเข้าไปสงบสติในหอบรรพชน ใครโน้มน้าวเช่นไร
บทที่หนึ่ง ไร้เดียงสา (1/2)“เฉินเกอ[1]เด็กดี”คนถูกเรียกว่าเด็กดีขมวดคิ้ว ฝืนใจยอมยืนนิ่งให้สาวใช้อีกสองคนช่วยกันเปลี่ยนชุดฤดูหนาวให้ตนเป็นชุดที่หก ทุกชุดล้วนมีขนสัตว์นุ่มนิ่มเย็บติดอยู่ตรงคอเสื้อ เพราะอยู่ในวัยกำลังโตจึงต้องลองสวมเครื่องนุ่งห่มที่ตัดใหม่อยู่บ่อยครั้ง ตรงไหนหลวมหรือคับแน่นจะได้แก้ไข“ดูสิเจ้าคะ ตั้งแต่ล้มป่วยคราวก่อนคุณชายรองซูบลงไม่น้อย”ท่านอาของโม่ซือเฉินมีนามว่าโม่กุ้ยหลัน นางฟังคนสนิทกล่าวก่อนพยักหน้า “อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ เจ้าสั่งห้องครัวให้ทำน้ำแกงบำรุงทุกมื้อ ต้องเร่งบำรุงเฉินเกอให้ดี”ท่านอาเคยหมั้นหมายตอนอายุน้อยสองครั้ง ครั้งแรกกับคนที่รักใคร่ชอบพอทว่าไร้วาสนา คู่หมั้นจากไปก่อนวัยอันควร ครั้งที่สองเป็นสกุลโม่ขอถอนหมั้นเนื่องจากอีกฝ่ายประพฤติตัวลุ่มหลงในกาม เข้าออกหอนางโลมเสเพลเจ้าสำราญตั้งแต่อายุน้อย มองดูไร้อนาคต จากนั้นมาท่านอาก็ไม่สนใจผู้ใดอีก นางมุ่งมั่นทุ่มเทช่วยเลี้ยงดูอบรมบุตรชายสองคนของพี่ชายซึ่งกำพร้ามารดา สกุลโม่ขาดสะใภ้ โม่กุ้ยหลันต้องรับหน้าที่จัดการเรื่องจิปาถะในเรือนแทนมารดาที่แก่ตัวลงและไม่ค่อยแข็งแรง ดังนั้นเรื่องออกเรือนจึงถูกปัดตกในท้







