หลังจากคบกันมาหลายปี เขาไม่เคยได้แตะต้องเธอเลย แต่เธอกลับนอนกับผู้ชายอีกคนหลังจากเลิกรากันไปได้ไม่นานงั้นเหรอนั่นถือเป็นการดูถูก ฮัน อี้เฉิน มันเป็นการดูถูดความเป็นชายของเขาสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที เขาปล่อยมือของ หยาง เฉียนเฉียน และรีบวิ่งเข้าไปดึงคอเสื้อของ ซอง อันยี ลง และเผยให้เห็นรอยหลายรอยที่ทิ้งไว้ข้างใน“ฮัน อี้เฉิน คุณทำอะไรของคุณ?” ซอง อันยี กรีดร้องเสียงดังและปัดมือของเขาออกไป เธอถอยไปข้างหลัง และคว้าคอเสื้อด้วยความประหม่า เธอจ้องมองเขาด้วยสายตาหวาดผวาเธอรู้สึกหวาดกลัวกับการกระทำที่มาอย่างกะทันหันของเขาหยาง เฉียนเฉียน ก็ประหลาดใจเช่นกัน เธอเบิกตากว้างและจ้องมองเขาด้วยความไม่เชื่อ “อี้เฉิน คุณทำอะไรน่ะ?”คำพูดของเธอดังเข้าหูของ ฮัน อี้เฉิน ที่เอาแต่จ้องมอง ซอง อันยี ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธและไม่พอใจ"ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?" เขาถาม ซอง อันยี ไม่รู้ว่าเขาถามถึงใคร แต่สีหน้าโกรธของเขาทำให้เธอรู้สึกขบขัน “ฮัน อี้เฉิน คุณเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาถามฉันแบบนั้น”เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังล้อเลียนเขา“เขาเป็นใครกันแน่?” ฮัน อี้เฉิน ถามอีกครั้ง ดวงตาของเขามืดมนกว่าเดิม ซึ่ง
"อี้เฉินและคุณยังไม่ได้แต่งงานกันนี่ เขาสามารถเลือกคู่ที่ดีกว่าได้ เรารักกัน ฉันไม่ใช่มือที่สามซักหน่อย"หยาง เฉียนเฉียน ดูเหมือนจะไม่กระวนกระวายกับคำพูดของเธอ ในขณะที่เธอปกป้องตัวเองอย่างใจเย็น"ใช่ คุณรักกัน ฉันอวยพรให้นะ แต่ไปรักกันไกล ๆ เถอะ"ซอง อันยี รู้สึกหงุดหงิดสุด ๆ เธอรู้สึกวาบหวามอย่างมากเนื่องจากเธอเพิ่งมีเรื่องกับผู้ชายมา และเมื่อได้พบกับพวกเขาแล้ว เธอก็รู้สึกว่าหัวใจของเธอเหมือนลูกบอลขนสัตว์ที่ยุ่งเหยิงเธอแค่ต้องการให้พวกเขาหลีกทางให้เธอ เพื่อที่เธอจะได้จากไปในขณะเดียวกัน ทัง โรลชูว และ หยิง เสี่ยวเซียว กำลังยุ่งอยู่กับการช็อปปิ้ง โดยที่พวกเธอไม่เห็นว่า ซอง อันยี ไม่ได้ตามมา"อันยี แกว่าเตียงอันยี้เป็นยังไง"“อันยี โต๊ะอาหารอันนี้ดีไหม?”“อันยี...”ทัง โรลชูว ถามคำถามมากมาย แต่เธอไม่ได้รับคำตอบใด ๆ เธอกำลังจะหันกลับมาถาม ซอง อันยี ว่าทำไมเธอถึงเงียบ แต่เมื่อหันกลับไป เธอก็ไม่เห็น ซอง อันยี อยู่ด้านหลังแล้ว“อันยีอยู่ไหน” ทัง โรลชูว เอื้มมือไปดึง หยิง เสี่ยวเซียว ที่เดินอยู่ข้างหน้า“นั่นเธอไม่ใช่เหรอ…?”“ข้างหลัง?”ขณะที่ หยิง เสี่ยวเซียว หันกลับมา ดวงตาขอ
หยิง เสี่ยวเซียว เป็นดั่งเหยี่ยวที่คอยปกป้อง อันยี ใต้ปีกของเธอ เผชิญหน้ากับ ฮัน ยีเฉิน ด้วยท่าทีดุดันฮัน ยีเฉิน เข้าใจนิสัยของเพื่อนทั้งสองของ ซอง อันยีหยิง เสี่ยวเซียว ที่มาจากครอบครัวผู้ดี เป็นคนหัวร้อน เธอเป็นคนเปิดเผยตรง ๆ ว่าชอบ หรือไม่ชอบใคร ไม่ใช่คนที่จะเข้าไปแหย่ได้เลยส่วน ทัง โรลชูว อ่อนโยนกว่า แต่หลังจากที่ได้รับบทเรียนจากชายหนุ่มรอบ ๆ ตัวเธอแล้ว เขาก็ได้รู้ว่าเธอก็ไม่ใช่คนที่จะไปแตะต้องได้ง่าย ๆ เช่นกัน ดังนั้น ฮัน ยีเฉิน จึงไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม เขาจ้อง ซอง อันยี ด้วยสายตาเย็นชา และดูหมิ่น “ซอง อันยี เธอทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยง”คนที่ยืนยันหนักหนาว่าเธอจะถือไม่ชิงสุกก่อนห่ามจนกว่าจะแต่งงาน แต่กลับไปนอนกับผู้ชายคนอื่นหลังจากพวกเขาเลิกกันหลังจากพูดจบ เขาลาก หยาง เฉียนเฉียน เพื่อที่จะเดินออกไป แต่ หยิง เสี่ยวเซียว ไม่ปล่อยให้เขาไปง่าย ๆ เธอพุ่งตัวเข้าไปหาเขา “แกไอ้คนชั่ว! แกกล้าดียังไงมาว่าอันยีน่าขยะแขยง!” ใบหน้าของ ฮัน ยีเฉิน ถมึงทึง “ไปถามเธอเองเถอะ”จากนั้นเขาก็ผลักเธอออก ก่อนจะจากไปกับ หยาง เฉียนเฉียน หยิง เสี่ยวเซียว ไม่ทันตั้งตัว เมื่อเธอได้สติกลับมาคนนอกใจทั้
หยิง เสี่ยวเซียว ไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสองคนถึงคิดว่าเรื่องนี่มันเป็นปัญหาที่ซับซ้อนนัก หรือเป็นเพราะตระกูล เซิน? หรือพวกเขาจะคิดว่า อันยี ดีไม่พอสำหรับ โมเฟย?ไร้สาระสิ้นดี! นี่มันยุคไหนกันแล้ว การจับคู่ให้เหมาะสมกับฐานะทางตระกูลน่ะมันล้าสมัยไปแล้วยุคนี้ ต้องรักเท่านั้นที่ครองโลก เรื่องอื่น ๆ ก็ไม่ได้สำคัญอะไรเดี๋ยวก็สลายหายไปราวกับปุยเมฆเท่านั้นแหละ! “มันไม่ใช่แค่นั้น…”ทัง โรลชูว อธิบายเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ และด้วยเหตุผล หยิง เสี่ยวเซียว นิ่งฟังเธออยากเงียบเงียบ ยิ่งได้ฟังเรื่องราวมากขึ้นเท่าไหร่สีหน้าของเธอก็เหยเกมากขึ้นเท่านั้น แต่ทาง ซอง อันยี เองนั้นกลับนิ่งเงียบ ไม่สะทกสะท้านกับสิ่งใดทั้งสิ้น“บ้าเอ้ย!” เมื่อเธอได้ฟังเรื่องทั้งหมดจาก ทัง โรลชูว หยิง เสี่ยวเซียว ตบโต๊ะพร้อมกับลุกพรวดขึ้น “ฉันต้องไปหา เซิน โมเฟย และจัดการเรื่องนี้กับเขาให้ได้!”“เสี่ยวเซียว เธออย่าใจร้อนไปหน่อยไหม? ทัง โรลชูว คิ้วขมวดปม น้ำเสียงแสดงออดถึงความไม่พอใจหยิง เสี่ยวเซียว เดือดดาลเป็นอย่างมากเธอถึงกับหัวเราะออกมา “ชูวชูว อันยีถูกทำขนาดนี้ เธอจะยังนิ่งเฉยได้อีกหรอ? เธอจะปล่อยเรื่องนี
ทัง โรลชูว กลับไปที่บ้าน และหลังจากพูดคุยกับ ป้าวูสองสามคำ เธอก็วิ่งขึ้นบันไดไปเธอหยุดชะงักเมื่อเธอเดินผ่านห้องทำงาน ค่อย ๆ แง้มประตูและชะโงกหัวเข้าไป เธอเจอชินจินนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ไฟสีส้มสะท้อนกับผมดำขลับของเขา ส่องประกายระยิบระยับ ยิ่งมองเขาก็ยิ่งดูหล่อเหลา ล้ำลึกภายใต้แสงดวงอาทิตย์เธอไม่สามารถที่จะหยุดจ้องมองเขาได้เลยลู ชินจิน รู้สึกตัวว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ สายตาที่แผดเผาร้อนแรงเสียจนไม่มีใครกล้าจะสบตาคู่นั้นเขาค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ใบหน้าจิ้มลิ้มปรากฎสู่สายตาของเขา ริมฝีปากบางค่อย ๆ หยักขึ้นเขาวางหนังสือในมือลง และเงยหน้าขึ้นจ้องไปที่เธออย่างสงบนิ่ง และไม่รีบร้อนอะไร เขาเรียกชื่อเธอเบา ๆ “ชูวชูว”เมื่อ ทัง โรลชูว ได้ยินเสียงของเขา สติเธอก็กลับมา จ้องมองไปที่สายตาห่วงใยของเขา เธอจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่เธอถูกร่ายมนต์แห่งความใคร่ เพียงแค่จ้องมองเขาเธอก็ราวกับตกอยู่ในภวังค์!!!เธอลูบผม และถัดผมที่หูของเธออย่างกระสับกระส่าย ก่อนจะถามออกไป “คุณทานข้าวเย็นหรือยังคะ?”ในขณะที่เธอ, เสี่ยวเซียว และอันยี กำลังกินอาหารอยู่ เขาโทรเข้ามาบอกว่าอยากจะม
“ให้ตายสิ!” เสียงของเขามันช่างมีเสน่ห์จริง ๆ จนเธออยากจะขย้ำเขาให้รู้แล้วรู้รอด แต่ด้วยภาพลักษณ์ความเป็นผู้หญิงเรียบร้อยของเธอมันจึงทำให้เธอได้แต่คิดเท่านั้นผ่านไปสักพักใหญ่ ลู ชินจิน จึงถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นกับ อันยี วันนี้เหรอ?”เมื่อเขาพูดถึงเพื่อนสนิทของเธอ ทัง โรลชูว ครุ่นคิดไปถึงเรื่องนั้นวนอยู่ในหัวของเธอก่อนจะถอนหายใจออกมา “ทั้งหมดเป็นความผิดของ โมเฟย”ลู ชินจิน เลิกคิ้วเรียวของเขาขึ้นเล็กน้อย “เขาทำอะไรงั้นเหรอ?”“ก็ในเมื่อเขาไม่สามารถให้ในสิ่งที่ อันยี ต้องการได้ เขาก็ควรจะปล่อยเธอไป และตอนนี้ อันยี ก็ตกหลุมรักเขาเข้าแล้ว และเพื่อที่จะขีดเส้นกั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาให้ชัดเจน เธอจึงจำเป็นต้องหักดิบด้วยการเลิกกับเขา”ในขณะที่พูด ทัง โรลชูว รู้สึกได้ถึงความเศร้าในใจของเธอ “อันยี เพิ่งจะถูกไอ้คนเลว ฮัน ยีเฉิน นั่นทำร้ายมา แล้วเธอยังต้องมาทนทุกข์กับเรื่องนี้อีก ฉันรู้สึกแย่แทนเธอมาก ๆ”เมื่อเธอนึกไปถึงว่า อันยี จะรู้สึกหดหู่และเดียวดายแค่ไหน หัวใจของเธอก็ราวกับถูกบีบเค้นเป็นก้อนกลม มันเจ็บปวดเหลือเกิน“ผมเสียใจด้วยนะ” ลู ชินจินกอดเอวเธอแน่นขึ้น หัวของพวกเขาสัมผัสกัน ใบหน้
ทัง โรลชูว พักผ่อนอยู่ที่บ้าน 2-3 วัน ถ้าไม่ดูละครโชว์ไร้สาระ เธอก็เรียนทำอาหารกับป้าวู เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและน่าเบื่อวันนี้ ป้าวูจะสอนเธอทำจานโปรดของ ชินจิน นั่นก็คือ กระดูกหมูเปรี้ยวหวานเธอรีบกุลีกุจอเข้ามาที่ห้องครัวพร้อมกับสมุดจดของเธอในครัวเต้าหู้กำลังล้างกระดูกหมู เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาเธอยิ้มและพูดหยอกล้อขึ้นว่า “คุณผู้หญิง ทำไมคุณถึงรีบวิ่งมาที่นี่ทันทีตอนที่ฉันบอกว่านี่เป็นอาหารจานโปรดของนายน้อยคะ?” ทัง โรลชูว รู้ว่าเธอกำลังพูดหยอกล้อ แต่เธอก็ไม่ได้โกรธอะไร เธอกลับทำตัวปกติราวกับไม่มีอะไร “เค้าว่ากันว่าถ้าอยากจะมัดหัวใจผู้ชายให้อยู่มัดได้ ก็ต้องเริ่มที่เรื่องปากท้องของเขา เมื่อฉันได้เรียนรู้การทำอาหารจานโปรดของเขาแล้ว ฉันเชื่อว่าเขาจะไม่มีทางหนีฉันไปไหนได้”เมื่อพูดเช่นนั้นไป ภาพก็ลอยเข้ามาในหัว ชินจิน ที่น้ำตาคลอกำลังอ้อนวอนให้เธอทำกระดูกหมูเปรี้ยวหวานให้ เขาร้องไห้อย่างน่าสงสาร และน่าเห็นใจ“ฮ่าฮ่า…” เธอขำคิกคักออกมาป้าวู ผู้ที่ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเห็นว่าเธอกำลังหัวเราะคิกคักกับตัวเองราวกับคนบ้า เธอจึงถามขึ้นอย่างสงสัย “คุณกำลังคิดอะไรอยู่คะ?
“ป้าวูคะ ป้าเห็นหนูเป็นใครคนอื่นอยู่หรือเปล่า?”ป้าวู หยุดชะงักฝีเท้า และบรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดในฉับพลันผ่านไปสักพัก ป้าวู จึงพูดขึ้นเบา ๆ โดยไม่หันหน้ากลับมา “เปล่าค่ะ คุณผู้หญิงคิดมากไปแล้ว”ทัง โรลชูว มองเธอที่รีบเดินเข้าไปในครัว ดวงตาของเธอครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง เย็นวันนั้น ทัง โรลชูว อุ่นกระดูกหมูเปรี้ยวหวาน ที่ป้าวู สอนเธอทำ ในไมโครเวฟ ก่อนจะยกไปวางที่โต๊ะอาหารเมื่อ ลู ชินจิน เห็นอาหารที่วางอยู่ คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อยจนแทบจะไม่สังเกตเห็นได้“นี่ป้าวูเป็นคนทำอย่างนั้นเหรอ?” เขาถาม“เปล่าค่ะ” ทัง โรลชูว เลื่อนเก้าอี้ออกมาก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามเขา เธอเท้าแขนลงบนโต๊ะก่อนจะส่งยิ้มเปล่งประกายให้กับเขา “ป้าวู สอนฉันทำอาหารจานนี้ เธอบอกว่ามันเป็นของโปรดของคุณ”ดวงตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับ และริมฝีปากของเขาก็เผยรอยยิ้มออกมา “มันกินได้จริงใช่ไหม?”“แน่นอนสิคะ! คุณไม่ชอบอาหารที่ฉันทำขนาดนั้นเลยเหรอ?” ทัง โรลชูว จ้องเขาเขม็งด้วยความโกรธ เธอหยิบจะเป็นขึ้นมาคีบกระดูกหมูแล้ววางลงที่ชามของเขา “เร็วเข้า ลองชิมดูสิ”ลู ชินจิน เหลือบมองเธอ ก่อนจะหยิบกระดูกหมูขึ้นมาแล้วกั