ทัง โรลชูว กลับไปที่บ้าน และหลังจากพูดคุยกับ ป้าวูสองสามคำ เธอก็วิ่งขึ้นบันไดไปเธอหยุดชะงักเมื่อเธอเดินผ่านห้องทำงาน ค่อย ๆ แง้มประตูและชะโงกหัวเข้าไป เธอเจอชินจินนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ไฟสีส้มสะท้อนกับผมดำขลับของเขา ส่องประกายระยิบระยับ ยิ่งมองเขาก็ยิ่งดูหล่อเหลา ล้ำลึกภายใต้แสงดวงอาทิตย์เธอไม่สามารถที่จะหยุดจ้องมองเขาได้เลยลู ชินจิน รู้สึกตัวว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ สายตาที่แผดเผาร้อนแรงเสียจนไม่มีใครกล้าจะสบตาคู่นั้นเขาค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ใบหน้าจิ้มลิ้มปรากฎสู่สายตาของเขา ริมฝีปากบางค่อย ๆ หยักขึ้นเขาวางหนังสือในมือลง และเงยหน้าขึ้นจ้องไปที่เธออย่างสงบนิ่ง และไม่รีบร้อนอะไร เขาเรียกชื่อเธอเบา ๆ “ชูวชูว”เมื่อ ทัง โรลชูว ได้ยินเสียงของเขา สติเธอก็กลับมา จ้องมองไปที่สายตาห่วงใยของเขา เธอจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่เธอถูกร่ายมนต์แห่งความใคร่ เพียงแค่จ้องมองเขาเธอก็ราวกับตกอยู่ในภวังค์!!!เธอลูบผม และถัดผมที่หูของเธออย่างกระสับกระส่าย ก่อนจะถามออกไป “คุณทานข้าวเย็นหรือยังคะ?”ในขณะที่เธอ, เสี่ยวเซียว และอันยี กำลังกินอาหารอยู่ เขาโทรเข้ามาบอกว่าอยากจะม
“ให้ตายสิ!” เสียงของเขามันช่างมีเสน่ห์จริง ๆ จนเธออยากจะขย้ำเขาให้รู้แล้วรู้รอด แต่ด้วยภาพลักษณ์ความเป็นผู้หญิงเรียบร้อยของเธอมันจึงทำให้เธอได้แต่คิดเท่านั้นผ่านไปสักพักใหญ่ ลู ชินจิน จึงถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นกับ อันยี วันนี้เหรอ?”เมื่อเขาพูดถึงเพื่อนสนิทของเธอ ทัง โรลชูว ครุ่นคิดไปถึงเรื่องนั้นวนอยู่ในหัวของเธอก่อนจะถอนหายใจออกมา “ทั้งหมดเป็นความผิดของ โมเฟย”ลู ชินจิน เลิกคิ้วเรียวของเขาขึ้นเล็กน้อย “เขาทำอะไรงั้นเหรอ?”“ก็ในเมื่อเขาไม่สามารถให้ในสิ่งที่ อันยี ต้องการได้ เขาก็ควรจะปล่อยเธอไป และตอนนี้ อันยี ก็ตกหลุมรักเขาเข้าแล้ว และเพื่อที่จะขีดเส้นกั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาให้ชัดเจน เธอจึงจำเป็นต้องหักดิบด้วยการเลิกกับเขา”ในขณะที่พูด ทัง โรลชูว รู้สึกได้ถึงความเศร้าในใจของเธอ “อันยี เพิ่งจะถูกไอ้คนเลว ฮัน ยีเฉิน นั่นทำร้ายมา แล้วเธอยังต้องมาทนทุกข์กับเรื่องนี้อีก ฉันรู้สึกแย่แทนเธอมาก ๆ”เมื่อเธอนึกไปถึงว่า อันยี จะรู้สึกหดหู่และเดียวดายแค่ไหน หัวใจของเธอก็ราวกับถูกบีบเค้นเป็นก้อนกลม มันเจ็บปวดเหลือเกิน“ผมเสียใจด้วยนะ” ลู ชินจินกอดเอวเธอแน่นขึ้น หัวของพวกเขาสัมผัสกัน ใบหน้
ทัง โรลชูว พักผ่อนอยู่ที่บ้าน 2-3 วัน ถ้าไม่ดูละครโชว์ไร้สาระ เธอก็เรียนทำอาหารกับป้าวู เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและน่าเบื่อวันนี้ ป้าวูจะสอนเธอทำจานโปรดของ ชินจิน นั่นก็คือ กระดูกหมูเปรี้ยวหวานเธอรีบกุลีกุจอเข้ามาที่ห้องครัวพร้อมกับสมุดจดของเธอในครัวเต้าหู้กำลังล้างกระดูกหมู เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาเธอยิ้มและพูดหยอกล้อขึ้นว่า “คุณผู้หญิง ทำไมคุณถึงรีบวิ่งมาที่นี่ทันทีตอนที่ฉันบอกว่านี่เป็นอาหารจานโปรดของนายน้อยคะ?” ทัง โรลชูว รู้ว่าเธอกำลังพูดหยอกล้อ แต่เธอก็ไม่ได้โกรธอะไร เธอกลับทำตัวปกติราวกับไม่มีอะไร “เค้าว่ากันว่าถ้าอยากจะมัดหัวใจผู้ชายให้อยู่มัดได้ ก็ต้องเริ่มที่เรื่องปากท้องของเขา เมื่อฉันได้เรียนรู้การทำอาหารจานโปรดของเขาแล้ว ฉันเชื่อว่าเขาจะไม่มีทางหนีฉันไปไหนได้”เมื่อพูดเช่นนั้นไป ภาพก็ลอยเข้ามาในหัว ชินจิน ที่น้ำตาคลอกำลังอ้อนวอนให้เธอทำกระดูกหมูเปรี้ยวหวานให้ เขาร้องไห้อย่างน่าสงสาร และน่าเห็นใจ“ฮ่าฮ่า…” เธอขำคิกคักออกมาป้าวู ผู้ที่ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเห็นว่าเธอกำลังหัวเราะคิกคักกับตัวเองราวกับคนบ้า เธอจึงถามขึ้นอย่างสงสัย “คุณกำลังคิดอะไรอยู่คะ?
“ป้าวูคะ ป้าเห็นหนูเป็นใครคนอื่นอยู่หรือเปล่า?”ป้าวู หยุดชะงักฝีเท้า และบรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดในฉับพลันผ่านไปสักพัก ป้าวู จึงพูดขึ้นเบา ๆ โดยไม่หันหน้ากลับมา “เปล่าค่ะ คุณผู้หญิงคิดมากไปแล้ว”ทัง โรลชูว มองเธอที่รีบเดินเข้าไปในครัว ดวงตาของเธอครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง เย็นวันนั้น ทัง โรลชูว อุ่นกระดูกหมูเปรี้ยวหวาน ที่ป้าวู สอนเธอทำ ในไมโครเวฟ ก่อนจะยกไปวางที่โต๊ะอาหารเมื่อ ลู ชินจิน เห็นอาหารที่วางอยู่ คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อยจนแทบจะไม่สังเกตเห็นได้“นี่ป้าวูเป็นคนทำอย่างนั้นเหรอ?” เขาถาม“เปล่าค่ะ” ทัง โรลชูว เลื่อนเก้าอี้ออกมาก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามเขา เธอเท้าแขนลงบนโต๊ะก่อนจะส่งยิ้มเปล่งประกายให้กับเขา “ป้าวู สอนฉันทำอาหารจานนี้ เธอบอกว่ามันเป็นของโปรดของคุณ”ดวงตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับ และริมฝีปากของเขาก็เผยรอยยิ้มออกมา “มันกินได้จริงใช่ไหม?”“แน่นอนสิคะ! คุณไม่ชอบอาหารที่ฉันทำขนาดนั้นเลยเหรอ?” ทัง โรลชูว จ้องเขาเขม็งด้วยความโกรธ เธอหยิบจะเป็นขึ้นมาคีบกระดูกหมูแล้ววางลงที่ชามของเขา “เร็วเข้า ลองชิมดูสิ”ลู ชินจิน เหลือบมองเธอ ก่อนจะหยิบกระดูกหมูขึ้นมาแล้วกั
“รสชาติบางอย่างจะต่างกันไป ถึงแม้มันจะคล้าย ๆ หรืออาจจะอร่อย แต่ถ้าไม่ใช่คนเดียวกันทำแล้วละก็ รสชาติมันก็กลายเป็นไม่น่าสน จืดชืดไปเสียอย่างนั้น”นั่นคือคำอธิบายที่ ลู ชินจิน บอกเพื่อคลายความสงสัยให้กับเธอ“แต่มันก็แตกต่างออกไปเมื่อคุณเป็นคนทำนะ”ในขณะเดียวกัน เขาก็ยอมรับว่าเธอคือคนพิเศษสำหรับเขาเพระาเขารักเธอ เขาจึงรักทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเธอไม่นานมานี้ มีข่าวลือหน้าหูไปทั่วเกี่ยวกับเรื่องของ ทังกรุ๊ป เหล่าพนักงานต่างพูดคุยกันว่าใครจะได้ขึ้นเป็นประธานบริษัทคนใหม่ของ ทัง กรุ๊ปบ้างก็ว่า กู โรลโรล น่าจะได้ขึ้นเป็นประธานบริษัทคนใหม่ เพราะเธอถือมีหุ้นส่วนในมือมากที่สุดบางก็ว่า ทัง โรลชูว แอบกว้านซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นคนอื่น ๆ อย่างเงียบ ๆ และพยายามที่จะกลับเข้ามายิ่งใหญ่อีกครั้งในการประชุมผู้ถือหุ้นแต่พนักงานส่วนใหญ่ก็เทใจให้กับ ทัง โรลชูว ให้ขึ้นเป็นทายาทของตระกูลทังคนต่อไปเมื่อครั้งท่านประธานคนก่อนล้มป่วยลงจนต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะหัวใจล้มเหลว ภรรยาของเขาและ กู โรลโรล ก็รีบเข้ามาแทรกแซงกิจการอย่างออกนอกหน้าทันที พวกเขาอยากจะครอบครอง ทัง กรุ๊ป จนตัวสั่น!ความพยามที่จะแอบหุบกิจก
ด้านในบ้าน ชายและหญิงสองสามคนยืนอยู่ในห้องรับแขก ชายคนหนึ่งอายุใกล้จะ 70 นั่งอยู่บนโซฟา ใบหน้าที่เหี่ยวหย่นนั้นตึงเครียด สายตาพร่ามัวฉายแววเย็นชาออกมา “คุณพ่อ” ชายวัยกลางคนที่เพิ่งจะเดินไปเปิดประตูเดินเข้ามานั่งตรงโซฟาตรงข้ามกับชายแก่ เขาพูดต่อ “ถ้าพ่อสนับสนุน กู โรลโรล ในการประชุมผู้ถือหุ้นที่จะถึง เธอสัญญาว่าจะแบ่งหุ้นให้กับพวกเรา 5% และเมื่อเธอได้รับโหวตให้เป็นประธานผู้บริหารคนใหม่ เธอยังจะให้เงินสดพวกเราอีก 3,000,000 หยวน นั่นมันเป็นข้อเสนอที่ดีมาก ถ้าเราปฏิเสธเธอ เราก็คงจะโง่มาก?” “ใช่แล้ว พ่อลองคิดดูสิว่า พ่อได้ส่วนแบ่งจากหุ้นสักเท่าไหร่กันเชียวในปีหนึ่งไม่พอที่จะเลี้ยงปากท้องพวกเราด้วยซ้ำ” ข้าง ๆ เขามีชายหนุ่มอีกคนคอยพูดเสริม“ดังนั้น พ่อครับ ยอมตกลงเถอะนะ”“พ่อ เสี่ยวเจี่ย ต้องเข้ามหาลัยในเร็ววันนี้แล้ว พวกเราต้องการใช้เงินนะ”“พ่อ ยอมตกลงเพื่อพวกเราเถอะนะ”“พ่อ…”ผู้อาวุโสเฉิน มีท่าทีหมางเมินต่อสิ่งที่ลูกชายทั้งสอง และลูกสะใภ้ของเขาพยามโน้มหนาว เมื่อเห็นใบหน้าอันละโมบของพวกลูก ๆ มันทำให้เขารู้สึกว่าเขาล้มเหลวในการเป็นพ่อคนถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาดันมีหุ้นของ ทัง กรุ๊ป อ
เมื่อสิ้นสุดเสียงของเธอ ทัง โรลชูว หน้าซีดเผือดลง “เธอก็ไปพบผู้อาวุโสเฉินมางั้นเหรอ?”“แน่นอน” กู โรลโรล ไม่ได้พยายามซ่อนความทะเยอทะยานของเธอในครั้งนี้ ก็ในเมื่อฉันต้องการที่จะเป็นผู้บริหารของ ทังอกรุ๊ป คนต่อไป ฉันก็ต้องสู้ทุกวิถีทางเพื่อประโยชน์ของฉันสิ”เป็นตามที่คาดไว้ เธอช้าไปก้าวหนึ่งทัง โรลชูว สูดลมหายใจเข้าลึก ผู้อาวุโสเฉิน บอกว่าเขาจะไม่สนับสนุนเราทั้งคู่ เขาโกหกฉันอย่างนั้นเหรอ?” เธอแค่ต้องการจะแกล้งพูดแหย่โดยใช้คำพูดของผู้อาวุโสเฉินเท่านั้น ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รู้ความจริงจากสิ่งนี้เมื่อ กู โรลโรล ได้ยินเธอพูด ความรู้สึกผิดแล่นผ่านขึ้นมายังใบหน้าของเธออย่างรวดเร็ว แต่ ทัง โรลชูว ก็สังเกตเห็นได้ทันความกังวลที่อยู่ในใจได้คลายลง ทัง โรลชูว หยักริมฝีปากขึ้น “ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสเชิญก็จะไม่สนับสนุนเธอเหมือนกันนะ”“สนับสนุนสิ เขาจะสนับสนุนฉัน” กู โรลโรล ที่พยายามแกล้งทำเป็นมั่นใจแต่ก็ไม่เป็นผล เธอในตอนนี้นั้นเริ่มกระวนกระวายใจและวิตกกังวล ผลโหวตของผู้อาวุโสเฉิน มีผลอย่างมากต่อทั้งเธอ และ ทัง โรลชูว เธอจะแพ้ให้กับ ทัง โรลชูว ไม่ได้ทัง โรลชูว ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ถ้าอย่างนั
“ก็ไม่แย่นัก” ทัง โรลชูว ตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้น น้ำเสียงของเธอเฉยชา ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเธอเสียใจหรือเศร้าใจอยู่“เธอหมายความว่ายังไงที่ว่า ‘ก็ไม่แย่’?” ถ้าเป็นคำตอบที่คลุมเครือเสียเหลือเกิน ไม่ต้องตอบเลยยังจะดีเสียกว่า“ฉันหมายความว่าสถานการณ์ค่อนข้างที่จะ เป็นไปได้ทางที่ดี” ทัง โรลชูว วางช้อนลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เธอ “ผู้ถือหุ้นเหล่านั้นเป็นเพื่อนเก่าของพ่อฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องร้องขออะไร พวกเขาก็เต็มใจที่จะช่วย” “จริงเหรอ? อย่างนั้นก็หมายความว่าเราจะชนะน่ะสิ?” หยิง เสี่ยวเซียว มองไปที่เธอด้วยความคาดหวัง“ไม่” คำพูดที่ห่างเหินนี้ทำลายจิตวิญญาณอันสูงสุดของหญิงเสี่ยวเซียว ลง “ทำไมล่ะ?” ในเมื่อผู้ถือหุ้นเหล่านั้นตัดสินใจที่จะช่วยเธอแล้วทำไมพวกเขาถึงจะยังไม่ชนะ?ทัง โรลชูว ซดน้ำซุปหนึ่งคำก่อนจะตอบ “มีผู้ถือหุ้นรายหนึ่งที่มีท่าทีไม่แน่นอน ถึงแม้เขาจะบอกว่าเขาจะไม่สนับสนุนเราทั้งคู่ แต่ฉันมีกลัวว่าเขาจะถูกดึงตัวไปเข้ากับฝ่าย กู โรลโรล”หยิง เสี่ยวเซียว ได้ยินดังนั้นก็ให้รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้นก็รีบคิดหาวิธีกันเถอะ”เธอนิ่งคิดไปสักพักก่อนจะพูดขึ้น “เร