มือเรียวสะบัดไปมา พลางมองไปยังเซา เสี่ยวหวันที่ตัวงอเพราะจุก “เซา เสี่ยวหวัน คิดจริง ๆ เหรอว่าเธอจะทำอะไรฉันได้? ฉันก็แค่เล่นตามน้ำไปงั้นแหละ”เสี่ยวหวันขบริมฝีปากแน่น นัยน์ตาของเธอลุกวาวไปด้วยความโกรธ เสียงค่อนแคะสบถออกมาสามคำรวด “ทัง โรลชูว!”ส่วนคนถูกเรียกก็ยิ้มอ่อน “ก็ยืนอยู่นี่ไง จะพูดอะไรก็รีบพูดเถอะ อย่าเสียเวลาไปมากกว่านี้เลย”เสี่ยวหวันจ้องไปที่มีดปอกผลไม้ใต้ฝ่าเท้าโรลชูวแวบหนึ่ง พลันพุ่งเข้าไปผลักโรลชูวออกอีกทางร่างของเธอกระแทกเข้าชนกับรั้วเหล็กด้านข้างเข้าอย่างจังเพราะโดนผลักทีเผลอ หลังบางร้าวเสียดไปทั่วกว่าจะตั้งสติได้ก็ต้องรีบหมุนตัวหลบจาก เซา เสี่ยวหวันที่วิ่งเข้ามาพร้อมกำมีดจะแทงเธอ ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความกลัวอีกครั้งและเมื่อเห็นว่าอีกคนหลบคมมีดได้ เสี่ยวหวันใส่แรงเข้ามาอีกรอบจนครั้งนี้โรลชูวต้องจับตรึงข้อมือของเสี่ยวหวันไว้ตรง ๆ ซึ่ง ๆ หน้า แล้วดันบีบให้ทิศทางของมีดหันไปทางอื่น ทว่าแรงแค้นของเสี่ยวหวันนั้นมีมากจนยากเกินกว่าจะปัดมีดทิ้งได้ แต่เมื่อคมมีดจ่อเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้น โรลชูวออกแรงยกเขากระแทกหน้าท้องของเสี่ยวหวันด้วยพลังทั้งหมดที่มี ร่างของเสี่ยวหวั
เซา เสี่ยวหวันตายแล้วทัง โรลชูวนั่งอยู่ด้านนอกห้องฉุกเฉิน ด้วยมือและร่างกายที่สั่นเทาไม่หยุดเธอพึ่งผ่านเหตุการณ์ที่เห็น เซา เสี่ยวหวันร่วงหล่นลงไปตายต่อหน้าต่อตา ยิ่งหลับตาภาพเหล่านี้ก็ยิ่งวนเวียนอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าโรลชูวไม่เคยคิดเลยว่าศัตรูตัวฉกาจอย่างเสี่ยวหวันจะมีจุดจบแบบนี้แม้ว่าเธอจะเกลียดหล่อนแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยสาปให้อีกฝ่ายต้องจบชีวิตเช่นนั้นเสียงร่ำไห้ขาดใจของ กู โรลโรลยังคงดังลั่นออกมาจากห้องฉุกเฉิน ความเจ็บปวดในน้ำเสียงดังจี้จุดกระแทกหัวของโรลชูวจนปวดหนึบไปหมด ด้านซิง ฉี ที่เดินออกมาจากห้องฉุกเฉินแล้วเห็นอาการสั่นเทาของหญิงสาวหน้าห้องก็ขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไปถาม“คุณทัง คุณโอเคไหม?” เขาย้ำเพื่อความแน่ใจ พอได้ยินเสียงบุคคลที่สาม โรลชูวก็เงยหน้าขึ้น ส่งยิ้มฝืนพลางเอ่ยเสียงเบา “ฉันโอเคค่ะ”คิ้วเข้มของเจ้าหน้าที่ขมวดเข้าหากันกว่าเดิม “คุณทัง หลังจากนี้รบกวนคุณไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจกับผมด้วยครับ ผมมีเรื่องการตายของคุณเซา เสี่ยวหวันอยากจะถามคุณหน่อย”“ฉันเข้าใจค่ะ” ร่างเล็กพยักหน้าตอบ เธอเป็นหนึ่งในพยานที่อยู่อยู่ในเหตุการณ์ตอนเสี่ยวหวันผลัดตกลงไป ไม่แปลกที่เจ้าหน
แค่เห็นรอยคล้ำใต้ตาเพื่อน สองสาวก็เชื่อว่าเพื่อนรักคนนี้นอนไม่หลับมาหลายวัน และนั่นทำให้พวกเธอรู้สึกแน่กว่าเดิมซอง อันยีเดิมเข้าไปนั่งลงข้างโรลชูวช้า ๆ พร้อมลูบไหล่เพื่อนเอ่ยเสียงนุ่ม “งั้นให้เราพาเธอออกไปเดินเล่น สูดอากาศด้านนอกหน่อยไหม? ฉันว่าอยู่แต่ในบ้านจะทำให้หงอยเหงากว่าเดิมนะ”“ใช่แล้ว งั้นไปช้อปปิ้งกันดีกว่า” เสี่ยวเซียวเสนอความคิดหลายวันก่อนชินจินที่ยุ่งเรื่องงานก็ยอมหอบเอกสารทั้งหมดกลับบ้าน เพื่อมาดูแลแฟนสาวอย่างใกล้ชิด แต่โรลชูวกลับไม่สบายใจ เพราะไม่อยากสร้างภาระให้แฟนหนุ่ม จึงเอ่ยปฏิเสธให้ชินจินกลับไปทำงานที่บริษัทเหมือนเดิม แต่ชายหนุ่มยังเป็นห่วงหากทิ้งเธอไว้ที่บ้านคนเดียว เขาเลยขอให้เสี่ยวเซียวกับอันยีช่วยเข้าไปดูแลเธอแทนตัวเองโรลชูวรู้ว่าคนรอบข้างเป็นห่วงตน สายตาเป็นกังวลของพวกเขาทำให้เธอต้องสร้างแรงใจ รีบปรับสภาพจิตใจให้ดีขึ้น เพื่อไม่ให้คนรอบตัวต้องมารู้สึกแย่กับสิ่งที่เธอเผชิญอยู่เมื่อคนเราจากไปแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปตั้งแง่กับเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ชีวิตยังต้องเดินหน้าต่อไปโรลชูวพยักหน้ายิ้มรับ “โอเค ไปกันเลย”พอได้ยินเสียงตอบรับของเพื่อน อันยีและเ
เพราะเมื่อก่อนเคยสัญญาไว้ว่าจะเลี้ยงข้าว เซิน โมเฟยจึงต้องหาเวลาพา ซู เหวินจิงออกไปทานข้าว แต่พอทานเสร็จ หญิงสาวกลับต้องการให้เขาไปเดินซื้อของเป็นเพื่อนอีกพูดตามตรง เขากับอันยีก็คบกันมาได้สักพักแล้ว แต่เขายังไม่เคยออกไปช้อปปิ้งกับแฟนสาวเลยสักครั้งโมเฟยไม่อยากไปต่อ แต่ก็เบื่อหน่ายกับการรบเร้าของเธอ สุดท้ายจึงต้องตกปากกรับคำไปเปรียบเทียบกับซู เหวินจิง ที่ดี้ด้ามีความสุขแล้ว ช่างแตกต่างกับใบหน้าหล่อของเซิน โมเฟย ที่เรียบตึงปนไม่พอใจนิด ๆความตั้งใจแรกหลังทานข้าวเสร็จคือ ส่งเหวินจิงกลับแล้วเดินไปหาอันยี แต่พอโดนตื้อให้เดินซื้อของด้วยแบบนี้ เขาก็ไม่รู้ว่ากว่าหล่อนจะซื้อของเสร็จมันจะกินเวลาไปเท่าไหร่ มือหนายกขึ้นดูนาฬิกาของตนแล้วต้องขมวดคิ้วกว่าเดิม “พี่สาวคะ ร้านนี้เสื้อผ้าน่ารักมากเลย เราเข้าไปดูกันดีกว่า” แต่เสียงที่เต็มไปด้วยความสุขของซู เหวินจิง ก็ยังพูดไม่หยุดราวกับไม่สนใจใบหน้าหล่อที่กำลังหยิกงอเธอคว้ามือเขาไว้ “ไปกันเถอะ พี่สาม”ดวงตาคมเหลือบมองมือของตนที่ถูกอีกฝ่ายจับไว้ พลันดึงมืออกพร้อมยิ้มบาง “ฉันไม่เข้าไปด้วยหรอก”เสียงเข้มพูด โมเฟยหยิบกระเป๋าเงินออกมายื่นเครดิตการ์
เธอว่าแผนเดินเข้ามาหาเราตรง ๆ ทว่ารอยยิ้มหวานบนใบหน้าของเธอนั่นดีเป็นมิตรราวกับไม่ใช่คนร้ายกาจแต่อย่างใด“ซู เหวินจิง ฉันคิดว่าเราไม่ได้สนิทกันจนต้องเดินเข้ามาทักทายกันหรอกนะ” หยิง เสี่ยวเซียวค่อนแคะ ด้วยสายตาไม่พอใจความอับอายฉายวาบบนใบหน้าสวยของหล่อน ก่อนที่ ซู เหวินจิงจะยิ้มเอียงอาย “เราก็ไม่ได้สนิทกันจริง ๆ นั่นแหละ”ตอนที่เห็น ซู เหวินจิงเดินอยู่กับเซิน โมเฟย จิตใจของซอง อันยีสั่นไหวด้วยความกลัว แต่เพราะไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง เธอจึงทำทีนิ่งสงบราวกับไม่รู้สึกอะไรมือบางยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอีกครั้ง ทั้งยังไม่มองไปทางหญิงสาวผู้มาใหม่แต่เพื่อนสนิทอย่าง ทัง โรลชูวย่อมอ่านความคิดของเพื่อนตัวเองออก อันยีกำลังเจ็บปวด แต่แสร้งทำเป็นไหวมุมปากของโรลชูวกระตุกยิ้ม พลางแกล้งถามซู เหวินจิง “คุณซู เซิน โมเฟยกลับไปแล้วเหรอคะ? แล้วเขาไปไหนต่อเหรอ?”“ใช่ค่ะ เขากลับไปแล้ว” เหวินจิงยิ้มตอบ “ฉันขอให้เขาออกมาเดินซื้อของด้วยกัน แต่ผู้ชายตัวโตอย่างเขาไม่ชอบอะไรแบบนี้ เลยขอกลับบ้านไปก่อน”ซู เหวินจิงพูดไปตอบไปพร้อมรอยยิ้มที่ยังคงอยู่บนหน้า ทำให้เธอดูอ่อนหวาน“อ๋อ แสดงว่าเขากลับไปแล้วสินะ?” ทัง
“ชูวชูว…”โรลชูวหันกลับไปหาหยิง เสี่ยวเซียว ที่เรียกเธอเมื่อครู่ เพื่อนรักเอนตัวเข้ามากระซิบใกล้ “ฉันคิดว่ายัยนี่โกหก หล่อนต้องวางแผนอะไรอยู่แน่ ๆ”คิ้งเรียวเลิกขึ้นข้างหนึ่ง แล้วเบนสายตากลับไปยังเหวินจิงที่ยังทำหน้าตาจริงจังยืนยันคำพูดของตนริมฝีปากบางเม้มแน่น พลางเหลือบมองอันยีอีกครั้ง พลันความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวไม่นานโรลชูวก็หันกลับไปมอง ซู เหวินจิงที่ยังคงใบหน้ายิ้มไว้แบบเดิม พร้อมริมฝีปากที่ยกยิ้มเล็กน้อย “คุณซู นี่คือสิ่งที่คุณอยากบอกเราทั้งหมดใช่ไหมคะ?”เหวินจิงนั่งตัวตรง “ใช่ค่ะ”โรลยิ้มยิ้มตอบแล้วเอ่ยอย่างสุภาพ “พอดีว่าเราสามคนมีเรื่องที่ต้องปรึกษากันนิด จะเป็นไปได้ไหมคะ ที่คุณพอจะให้เวลาส่วนตัวกับเราได้คุยกันแค่สามคน?” โรลชูวกำลังเอ่ยปากไล่อีกฝ่ายกลาย ๆ ซึ่งคนถูกไล่ก็ยิ้มอ่อน “ได้สิค่ะ เชิญคุณสามคนคุยกันต่อเลยค่ะ ไว้ครั้งหน้าค่อยหาโอกาสทาคุยกันใหม่นะคะ”พูดจบร่างบางของเธอก็โค้งตัวลงให้สามสาว และหมุนตัวเดินออกไปทันที เมื่อออกจากร้านกาแฟมาได้สักพัก ใบหน้าสวยที่เคยยิ้มแย้มก็แปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงไม่สบอารมณ์ คล้อยหลังร่างเพรียวของซู เหวินจิง, ทัง โรลชูวก็หันมามอ
ไม่กี่วินาทีต่อมา ผลของการค้นหาเกี่ยวกับข่าวของหนิง เฉียวเฉียว ก็โผล่ขึ้นเต็มหน้าจอสี่เหลี่ยมโรลชูวกดเข้าไปอ่านหัวข้อข่าวและเนื้อหาด้านในอย่างละเอียด สรุปที่จำความได้ก็มีเพียงดาราสาวหายตัวไปขณะเดินทางกลับเมืองเป่ยหนิงเท่านั้น ยังไม่มีความคืบหน้าอันใดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ“พี่โรลชูว พี่คิดว่าเธอจะหายไปแบบไม่มีสาเหตุเหรอพี่?” เสี่ยวซูที่ยืนอยู่ข้างกันเอ่ยถามใบหน้าสวยส่ายปฏิเสธ ร่างบางเอนกายพิงเก้าอี้หนังขบกัดเล็บนิ้วโป้งอย่างใช้ความคิด ราวกลับว่าลึก ๆ แล้ว โรลชูวจะมีคำตอบของเรื่องนี้อยู่ในใจ “พี่โรลชูว…” เด็กน้อยเรียกชื่อเธออีกครั้ง เมื่อเห็นผู้เป็นพี่สาวจมอยู่ในความคิดนานเกินไปโรลชูวสะดุ้งตกใจหันไปยิ้มให้คนเรียก “มีอะไรเหรอ?”ตาเรียวของเด็กชายลอกแลกซ้ายขวา ก่อนจะขยับเข้าไปกระซิบเสียงเบา “พี่โรลชูว หรือว่ามีใครลักพาตัวหนิง เฉียวเฉียวไป?”หญิงสาวกระพริบตาปริบ “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”เสี่ยวซูนิ่งคิดไปพักหนึ่ง พลันเอ่ย “ก็ถ้าไม่ใช่การลักพาตัว เธอจะหายไปเฉย ๆ แบบนั้นได้ยังไงละครับ?”“หึ หึ อาจจะเป็นสิ่งลี้ลับก็เป็นได้นะ” โรลชูวตอบติดตลก“สิ่งลี้ลับเหรอ?” เสี่ยวซูขมวดคิ้ว “ยังงั้น
“แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่มีส่วนผิดหรอกนะ”นั่นคือประโยคสุดท้ายก่อนที่ จี ยินเฟงจะวางสาย และโรลชูวเองก็กดวางสายเช่นกัน เพราะไม่ต้องการต่อความยาวอะไรอีกความจริงแล้ว ตอนที่ได้ยินว่า หนิง เฉียวเฉียวหายตัวไป ความคิดแรกที่แวบเข้ามาให้หัวก็คือเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับ กู โรลโรลเป็นแน่ และตอนนี้เธอก็ยิ่งมั่นใจว่าเป็นอย่างที่ตนคิดไว้จริง ๆ และมันหมายความว่า กู โรลโรลลักพาตัวหนิง เฉียวเฉียว แล้วโยนความผิดทั้งหมดให้เธอ เพื่อให้ จี ยินเฟงกับตระกูลของเขาเพ่งเล็งมาที่เธอด้วยยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวสินะ กู โรลโรลแต่ดูเหมือนว่า กู โรลโรลจะคำนวณพลาดไปนิด ทัง โรลชูวไม่ใช่คนโง่ คิดว่าเธอจะมองละครปาหี่นี่ไม่ออกเหรอ?ถ้าให้พูดตรง ๆ การหายตัวไปของหนิง เฉียวเฉียว แทบจะไม่ใช่ธุระกงการอะไรของโรลชูวเลยสักนิด แต่พอมารู้ว่าตัวบงการเป็นกู โรลโรล จะไม่ให้ยุ่งคงไม่ได้เสียแล้วโรลชูวถอยหายใจเหนื่อยหน่าย ว่าง ๆ คงต้องไปบอกหลวงพ่อที่วัดพรมน้ำมนต์ไล่ผีออกให้บ้างแล้วล่ะ…พอตกเย็น ในระหว่างที่ ทัง โรลชูวกำลังทานข้าวเย็นกับลู ชินจิน ป้าวูก็วิ่งพุ่งเข้ามาในห้องทานข้าวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก“นายน้อย นาย