หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง ลุงซองก็พูดขึ้นในท้ายที่สุด“โมเฟย อันยียังคงเด็กนัก”เซิน โมเฟยเข้าใจในทันทีกับคำพูดของลุงซองว่าหมายว่าอะไร ลุงซองไม่เต็มใจที่จะมอบลูกสาวของเขาไปดังนั้น เขาจึงตบหน้าอกตัวเองเพื่อให้เขาวางใจ “คุณลุงครับ คุณวางใจกับผมได้ว่าผมจะดูแลอันยีเป็นอย่างดีไปตลอดชีวิตของเรา”“ทุกคนรู้ว่าควรพูดวิ่งที่ดีกันอย่างไร” ลุงซองมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา “ฮัน อี้เฉินได้พูดแบบนั้นมาก่อนหน้านี้ด้วยเช่นกัน แต่ท้ายที่สุด เขาก็ยังทำร้ายอันยี การไว้วางใจตั้งมากมายไม่มีค่าอะไรเลย”เซิน โมเฟยพูดไม่ออกลุงซองถอนหายใจและพูดต่อว่า “เวลายังคงดำเนินต่อไป ฉันยังจำได้ย้อนกลับไปตอนที่อันยีเกิดมา เธอตัวเล็กกะจ้อยร่อยและตอนนี้ เธอกำลังจะเป็นแม่คนหนึ่ง การเป็นพ่อคนหนึ่ง ฉันจึงไม่เต็มใจที่จะปล่อยเธอไป”น้ำเสียงของลุงซองเต็มไปด้วยความกล้ำกลืน และรักในตัวลูกสาวของเขาเซิน โมเฟยขยับตัว และพูดพลางกระซิบว่า “คุณลุงครับ ผมจะรักอันยีเท่าที่คุณรักเธอ และผมจะไม่ปล่อยให้เธอถูกทำร้าย”ท่าทีที่จริงใจของเขาทำให้ลุงซองหัวเราะ “โมเฟย ลุงเชื่อว่าเธอทำได้อย่างที่พูด เพราะงั้น…”เขาหยุดไปชั่วครู่ “ความปรารถนาที
เธอมองอย่างเงียบ ๆ ไปที่เขา ขณะที่เขาฟังเสียงในสาย แต่เขาไม่พูดสักคำ เธอไม่รู้เลยว่ามันถูกพูดว่าอะไรจากปลายสาย แต่ท่าทีจากสีหน้าของเขาดูหวาดกลัว อัตราการเต้นของหัวใจของเธอสูงขึ้นอย่างช้า ๆ เธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกเซิน โมเฟยวางสายและลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะหันมาหาซอง อันยีและพูดว่า “ปู่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล”ซอง อันยีผงะ “มันเกิดขึ้นได้ไงคะ?”“เขาเล่าว่า ปู่หมดสติไปจากความโกรธหลังจากที่เขาได้ยินว่าผมจะแต่งงาน”“อะไรนะ? เป็นไปได้ไง?” ซอง อันยีเริ่มกังวล ถ้าคนแก่หมดสติด้วยความโกรธเพราะพวกเขาและเกิดอะไรขึ้นกับเขา เธอคงอยู่อย่างไม่สงบไปชั่วชีวิตเซิน โมเฟยใจลอยในตอนนี้ เขาต้องการที่จะแต่งงาน ดังนั้นเขาจึงใส่ใจกับความรู้สึกของตระกูลของเขา แต่ก่อนหน้านี้ พี่ใหญ่ด่าเขาทางโทรศัพท์เป็นเวลานาน เขายังกล่าวอีกว่าสถานการณ์ของปู่ไม่ค่อยสู้ดีนักนี่คือบทลงโทษของพระเจ้าต่อการกระทำโดยเจตนาของเขางั้นหรือ?“ฉันจะไปกับคุณที่โรงพยาบาลด้วย” ซอง อันยีเห็นถึงตราบาปของเขา และพูดขณะที่เธอจับมือเขาอย่างอ่อนโยนเซิน โมเฟยมองไปที่เธอ ขณะที่เม้มริมฝีปากอย่างช่วยไม่ได้ “อันยี ผมขอโทษ ผมวางแผนแต่แรกที่จะ
ทัง โรลชูวพร้อมกับหยิง เสี่ยวเซียวรีบมายังโรงพยาบาลและได้เห็น ซอง อันยีกำลังนั่งอยู่ด้านนอกห้องผู้ป่วย เธอทั้งสองมองหน้ากันก่อนที่จะเดินเข้าไปหาในทันที“อันยี…” ทัง โรลชูวกระซิบเมื่อซอง อันยีได้ยินเสียงเรียก เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นว่านั่นคือพวกหล่อน เธอพูดอย่างเศร้าสร้อยว่า “พวกเธอสองคนก็มา”หยิง เสี่ยวเซียวที่เห็นแววตาของเธอแดงก่ำขมวดคิ้ว “แกกำลังร้องไห้งั้นเหรอ?”มุมปากของอันยีบูดบึ้ง แต่ก็ยังไม่พูดอะไรทัง โรลชูวเงยหน้ามองไปที่ประตูห้องผู้ป่วยที่ปิดอยู่และขมวดคิ้ว จากนั้นเธอหันกลับมามองที่ซอง อันยี “อันยี ทำไมตาแก่ถึงถูกส่งเข้าโรงพยาบาลอย่างกะทันหันกันล่ะ?”“โมเฟยกับฉันจดทะเบียนสมรสกันแล้ว”“จดทะเบียนสมรสกันแล้วงั้นเหรอ?!” หยิง เสี่ยวเซียวอุทาน ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าอยู่ที่โรงพยาบาลและเธอค่อย ๆ ลดเสียงลงขณะที่ถามว่า “ทำไมถึงกะทันหันนักล่ะ?”จากนั้นเธอหันไปมองที่ท้องของซอง อันยี “เพราะว่าเธอท้อง ถึงทำให้เธอเร่งรีบในเรื่องนี้ใช่ไหม?”ซอง อันยีตอบกลับว่า “อ่าฮะ” “แต่พูดตามตรงนะ มันไม่ได้เร่งรีบนะ โมเฟยได้บอกเรื่องนี้ก่อนหน้าแล้ว แต่เราก็แค่ยื้อมันไว้”“เพราะงั้นตาแก่ถึงโกรธมาก
หยิง เสี่ยวเซียวกังวล “เอาเป็นว่าเราไปแอบฟังพวกเขากันไหม?”“แอบฟังงั้นเหรอ?” ทัง โรลชูวกัดริมฝีปากและรู้สึกกังวล “ไม่ดีหรอกมั้ง?”“ไม่เห็นเป็นไรซะหน่อย ถ้าเธอกล้าจะพูดอะไรออกมา ทำไมเธอจะต้องกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินด้วยล่ะ?” หยิง เสี่ยวเซียวกล่าวอย่างไม่สนใจมากเท่าไหร่ทัง โรลชูวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า “ก็ได้ งั้นเธอไปละกัน ฉันจะดูต้นทางที่นี่ให้”หยิง เสี่ยวเซียวพูดไม่ออกท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาทั้งคู่ได้ไปแอบฟังซอง อันยี และซ่ง ชิงเฟย…ซอง อันยีตามซ่ง ชิงเฟยไปที่บันใดในตอนแรก ซ่ง ชิงเฟยมองเธออย่างเงียบ ๆ แววตาของเธอมืดมนและซ่อนเร้น ไม่ปล่อยให้ใครได้เห็นว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ อีกทั้งในขณะเดียวกัน เธอได้แผ่ออร่ากดดันจนทำให้อีกคนหายใจไม่ออกด้วยที่อีกฝ่ายไม่พูดอะไร ซอง อันยีจึงไม่กล้าเปิดปากพูดด้วยเช่นกัน และพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบหลังจากครู่หนึ่ง ซ่ง ชิงเฟยค่อย ๆ อ้าปากพูดช้า ๆ ว่า “คุณซอง เธอคบกับโมเฟยมานานแค่ไหนแล้ว?”“เกือบครึ่งปีแล้วค่ะ”“เธอท้องในตอนที่คบกันไม่ถึงครึ่งปีเนี่ยนะ? มันไม่เร็วไปหน่อยรึ?”ซอง อันยีหุบริมฝีปากแน่น ขณะที่เธ
“ทิ้งโมเฟยไป และเธอก็คลอดเด็กออกมาได้ เมื่อถึงเวลา พาเด็กคนนั้นกลับมาที่ตระกูลเซิน แล้วเราจะทำเพื่อเธอ”นั่นเป็นตัวเลือกเดียวที่ซ่ง ชิงเฟย และตระกูลเซินให้กับเธอ“และถ้าฉันไม่ทำล่ะ?” ซอง อันยีถามซ่ง ชิงเฟยยิ้ม “งั้นตระกูลเซิน คงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไว้แน่”การต่อกรกับตระกูลเซิน เหมือนกับการทุบก้อนหินด้วยไข่ เธอและครอบครัวคงเป็นฝ่ายเดียวที่ลำบากดังนั้นทำไมเธอถึงเลือกทางที่ตัวเองพ่ายแพ้กันล่ะ?ซอง อันยีสูดหายใจเข้าลึก ๆ “ฉันจะไม่มอบลูกของฉันให้กับตระกูลเซินแน่ ฉันจะเลี้ยงเขาด้วยตัวของฉันเอง”“คุณซอง เธอคิดว่าเธอจะมอบชีวิตที่ดีให้กับลูกได้งั้นเหรอ?” ซ่ง ชิงเฟยกอดอก และมองไปที่เธออย่างสงบ“ไม่ แต่ฉันคือแม่ของลูกฉัน เด็กจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีแม่”“ไม่ต้องห่วง เหวินจิงจะเป็นแม่ของเด็กเอง และเธอจะดูแลเด็กเหมือนเป็นลูกของตัวเอง”ดูเหมือนว่าพวกเขาได้วางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้ว และเธอไม่มีตัวเลือกอีกต่อไปซอง อันยีพูดอย่างประชดประชันว่า “พวกคุณคงแน่ใจว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างที่คิดไว้สินะ”หลังจากนั้น ท่าทีของเธอแข็งกร้าวขณะที่น้ำเสียงของเธอแน่วแน่ “แม่ของเด็กคนนี้คือ ฉันคนนี้เท่านั้น”ซ่ง ชิ
หยิง เสี่ยวเซียวจ้องเธอด้วยสายตาที่เกรี้ยวกราด ก่อนที่จะหันไปหาซองอันยี “อันยี อย่าไปฟังเธอ เธอกับโมเฟย มีลูกแล้วนะ แล้วไงล่ะ ถ้าเขาต้องทิ้งทุกอย่างจากตระกูลเซินของเขาเพื่อเธองั้นเหรอ? อย่าลืมว่าท่านประธานลูยังอยู่ใกล้ ๆ เขาจะปล่อยให้เธอกลายเป็นฝ่ายผิดได้ยังไง?”ขณะที่เธอเอ่ยถึง “ประธานลู” มีประกายแสงในแววตาของซ่ง ชิงเฟย และเธอจ้องไปยังพวกเขาอย่างลึกซึ้งหยิง เสี่ยวเซียวกลัวว่า ซอง อันยีจะเชื่อฟังตระกูลเซินโดยไม่ไตร่ตรองให้มากพอและทำท่าทีส่งสายตาไปยัง ทัง โรลชูวในทันที “ชูวชูว ฉันพูดถูกไหม? เราทั้งคู่จะไม่ปล่อยให้อันยีต้องเป็นฝ่ายผิดใช่ไหม?”ทัง โรลชูวยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่จะพูดอย่างอ่อนโยนว่า “อันยี เสี่ยวเซียวพูดถูกนะ ชินจินจะช่วยโมเฟยเอง อีกอย่างทำอย่างกับเธอไม่รู้ความสามารถของโมเฟย เลย เธอไม่เชื่อเขาแล้วงั้นเหรอ?”ชินจินงั้นเหรอ? ซ่ง ชิงเฟยเลิกคิ้วขึ้น ขณะที่มองไปยัง ทัง โรลชูวอย่างสอดรู้สอดเห็น เธอเรียกชื่อลูกพี่ลูกน้อง ชินจินตรง ๆ ได้อย่างไร? เธอกับเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน?คำพูดของทัง โรลชูว ค่อย ๆ ทำให้ความคิดที่ว้าวุ่นของซอง อันยีสงบลง และเธอยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ไ
“ชินจิน” ทัง โรลชูวเดินเข้ามาหาลู ชินจิน และมองไปที่เขา “คุยกันเสร็จแล้วเหรอคะ?”ลู ชินจินมองไปที่ หยิง เสี่ยวเซียว และ ซอง อันยีก่อนที่เขาพยักหน้า “ใช่ เราคุยกันเสร็จแล้วครับ”“แล้วโมเฟยล่ะคะ?” เธอมองดูห้องผู้ป่วยด้านหลังเขา และขมวดคิ้วเล็ก ๆ ของตัวเอง“ปู่ยังคุยกับเขาอยู่” ลู เซียวเหยาตอบกลับ อีกด้านหนึ่ง เขามองไปที่ซอง อันยี และมีร่องรอยของความเห็นใจปรากฎขึ้นในแววตาของเขา “หลาย ๆ อย่างไม่ดีเอามาก เตรียมใจไว้นะ”“คุณหมายความว่าไงที่ว่าหลาย ๆ อย่างไม่ดีเอามาก?”หยิง เสี่ยวเซียวหยิกอย่างไม่พอใจไปที่แขนของเขา และความเจ็บปวดทำให้เขาร้องออกมาพร้อมกับรีบอธิบายว่า “หมอบอกว่าอาการของปู่ไม่สู้ดีนัก และเวลาของปู่อาจจะหมดลงเร็ว ๆ นี้”“พูดจริงเหรอ?” หยิง เสี่ยวเซียวถามไม่มีใครในหมู่พวกเขาคิดเลยว่าหลายสิ่งจะร้ายแรงขนาดนี้ทัง โรลชูวมองไปที่อันยี ที่เงียบอยู่อย่างกังวลและถามว่า “ปู่พูดอะไรบ้างไหม?”“เรื่องนั้น…” ลู เซียวเหยาชำเลืองมองไปที่ซอง อันยี ก่อนจะพูดบางอย่างอย่างลังเลว่า “ความปรารถนาของปู่คือ…”หยิง เสี่ยวเซียวที่เห็นความลังเลของเขา รู้สึกโกรธ “พูดออกมาสิ จะอ้ำอึ้งไปเพื่ออะไร?”
หลังจากที่ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนของเขา จมูกของเธอเริ่มเจ็บแสบ เธอเงียบปากเอาไว้ เธอเงยหน้าขึ้นและยิ้มซึ่งทำให้หน้าของเธอน่าเกลียดกว่าตอนน้ำตาไหล “ฉันอยู่นี่ค่ะ”“บอสครับ พี่ ผมจะพาอันยีกลับบ้านก่อน” เซิน โมเฟยหันหน้าเข้าหาลู ชินจิน เมื่อรู้ว่าพวกเขาจะพูดคุยกันแล้ว ทัง โรลชูวพยักหน้าและพูดว่า “งั้นกลับบ้านก่อนเถอะ เราก็จะกลับแล้วเหมือนกัน”เซิน โมเฟยประคองซอง อันยี ด้วยแขนและพาเธอไปที่ลิฟท์“โมเฟย!” ทัง โรลชูวตะโกนหาเขาอย่างกะทันหันเซิน โมเฟย และ ซอง อันยีหยุดและหันหลังกลับ ได้ยินแค่ที่เธอพูดเสริมว่า “โมเฟยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จำไว้นะว่าเธอยังมีพวกเราอยู่นะ”โมเฟยอ้าปากอย่างช้า ๆ และยิ้มโง่ ๆ ออกมา แววตาของเขาเป็นประกายด้วยความขอบคุณ หลังจากนั้นเขาจับมือของอันยีและเดินต่อไปข้างหน้า ขณะที่ยิ้มจาง ๆ ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาในท้ายที่สุดคำพูดของพี่สะใภ้ของเขาเป็นเหมือนลมในฤดูใบไม้ผลิที่แสนอบอุ่นที่พัดผ่านหัวใจที่มืดมนของเขา ขณะที่ความมืดมิดหายไปอย่างรวดเร็ว เขารู้แล้วว่าตอนนี้เขาต้องทำอะไร…เมื่อเห็นว่าโมเฟยและอันยีเดินเข้าไปในลิฟท์ ทัง โรลชูว เงียบก่อนที่จะมองไปที่