แต่ทว่าเขากลับไม่เคยเห็นชื่อ 'ชอว์น ชาร์ริงตัน' ในรายชื่อของแขกเลย ขณะที่เขากำลังคิดเรื่องนี้อยู่ สีหน้าของเลียมก็ดูหม่นหมองลง“ผมไม่เคยเห็นชื่อนี้ผ่านตามาก่อนเลย”เมื่อเขาพูดคำจบ คุณนายอัลฟูธก็ถึงกับตกใจ“มันจะเป็นไปได้ยังไง…”ตอนนี้ดูเหมือนว่าลุงเอียน จะคิดอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา เขาพูดออกมาว่า “ถ้าคุณไม่พูดถึงเรื่องนี้ ฉันก็คงจะไม่ทันได้สังเกต ตอนนี้ฉันนึกขึ้นได้แล้วว่า วันนี้ฉันยังไม่เห็นชอว์นเลย”เมื่อถึงจุดนี้ความจริงก็เริ่มชัดเจนมากขึ้นเกรกอรีพูดออกมาอย่างเคร่งขรึมว่า “ผมเกรงว่าผมคงจะต้องรบกวนคุณนายอัลฟูธให้ติดต่อหลานชายของคุณแล้วล่ะครับ”คุณนายอัลฟูธพยักหน้าทันที“ได้ค่ะ ฉันจะโทรหาเขาเดี๋ยวนี้เลย”ขณะที่เธอพูด เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาชอว์นแต่เมื่อกดโทรออกก็มีเสียงแจ้งเข้ามาว่า โทรศัพท์ที่อยู่ปลายสายนั้นกำลังปิดเครื่องอยู่ทั้งคู่ต่างก็ตกตะลึงในทันที“เขาปิดโทรศัพท์ได้ยังไง? ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันจะลองโทรไปอีกครั้งหนึ่ง”ขณะที่พูดให้ความมั่นใจกับพวกเขา คุณนายอัลฟูธก็ได้โทรหาชอว์นอีกหลายครั้งแต่ไม่ว่าเธอจะกดโทรออกไปหาเขากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ปลายสายก็ยังปิดเครื่องอยู
แม้ว่าเขาจะทำงานหนักขนาดนั้น แต่ก็ไม่เคยนำเงินกลับมาที่บ้านเลยทั้งคุณนายอัลฟูธและลุงเอียนต่างก็ไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องนี้คงเป็นเพราะว่าเขาโตแล้ว และเขาก็มีความคิดเป็นของตัวเอง เขาคงอยากจะเก็บเงินไว้ใช้เอง พวกเขาจึงไม่ได้คัดค้านการตัดสินใจนั้นดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยถามไถ่ เกี่ยวกับสถานะทางการเงินของเขาในช่วงสองปีที่ผ่านมาเมื่อไม่นานมานี้ ชอว์นเชื่อในคำมั่นสัญญาของพวกเพื่อน ๆ และลงทุนในโครงการผลิตภาพยนตร์ขนาดใหญ่หลายเรื่องในคราวเดียวไม่มีใครคาดคิดว่าภาพยนตร์เหล่านั้นจะขาดทุนหลายต่อหลายครั้ง จนเขาเสียเงินมากมายในการลงทุนไป เพราะมันแทบจะไม่สร้างกำไรกลับมาเลยบริษัทของเขาเพิ่งจะก่อตั้งได้เพียงไม่นาน แล้วมันจะทนต่อสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร?เขาสร้างหนี้อีกหลายสิบล้านดอลลาร์ในระยะเวลาอันสั้น เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเองต่อหน้าครอบครัว และป้องกันไม่ให้พวกเขารู้ถึงสถานะทางการเงินที่แท้จริงในปัจจุบันของเขา เขาจึงเลือกที่จะไม่กู้เงินจากธนาคาร และไปกู้เงินที่มีดอกเบี้ยสูง จากบริษัทเอกชนแทนเงินที่กู้ยืมมานั้น มาพร้อมกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงมากในช่วงเริ่มต้น ชอว์นยังคงสามารถประหยัดอ
เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีอคติกับแฟนสาวของเขาเป็นอย่างมากไม่ว่ายังไงก็ตาม มันก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดี ที่ชารอนได้รับการช่วยเหลือกิดเดียนและคนอื่น ๆ จึงไม่มีความจำเป็น ที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป เมื่อพวกเขากล่าวคำขอบคุณกับลุงเอียนแล้ว พวกเขาก็จากไปพร้อมกับหยกอาถรรพ์หลังจากปัญหาทั้งหมดผ่านไป เมื่อพวกเขากลับมาที่บ้านกริฟฟิน เวลาก็ได้ล่วงเลยมาถึงตีสองแล้ว เดิมทีวิกกี้และเกรกอรี ตั้งใจจะไม่ไปที่บ้านพักของกริฟฟิน แต่เนื่องจากพวกเขามาถึงที่นี่แล้ว มันคงจะดูเป็นการไร้มารยาทเกินไป ถ้าหากว่าพวกเขากลับไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้อวยพรวันเกิดให้ท่านผู้หญิงกริฟฟินพวกเขาจึงไปที่นั่น เพื่อกล่าวคำทักทายกับเธอด้วยเหตุผลนั้น พวกเขาจึงตามคนอื่น ๆ กลับไปที่บ้านกริฟฟินณ เวลานี้ ท่านผู้หญิงกริฟฟินก็ยังไม่ได้นอนถ้ามันเป็นวันธรรมมาดาทั่วไป เธอก็คงจะอยู่บนเตียงไปแล้วแต่ว่าวันนี้มีแขกมาที่นี่มากหน้าหลายตา แม้ว่าจัสติน และคนอื่น ๆ จะต้อนรับ และสร้างความบันเทิง กับฝูงชนที่อยู่ข้างนอกเพื่อเธอแล้ว แต่เธอก็ยังต้องพบปะกับแขกบางคนด้วยตนเองอยู่ดียิ่งไปกว่านั้น เธอรู้ว่าพวกเด็ก ๆ ออกไปข้างนอก แล้วยังไม่ได้กลับมา เธอ
บริเวณโดยรอบเป็นทะเลทรายรกร้างทุกพื้นที่ดูเป็นสีเหลือง และความเขียวขจีแทบจะไม่มีให้เห็น แม้ว่าจะมีความเขียวขจีอยู่บ้าง แต่ก็มีแค่ไม่กี่ที่เท่านั้น แทบจะต้องมองเข้าไปใกล้ ๆ ถึงจะเห็นเนลล์ถอนหายใจออกมา กับความจริงที่ว่าแม่ของเธอได้อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้มาหลายปีแล้วเธอไม่ได้คิดว่ามันเป็นสถานที่ที่แย่ไปซะทีเดียว แต่ลึก ๆ แล้ว เธอก็เข้าใจว่าแม่ของเธอเติบโตขึ้นมาโดยได้รับการเอาใจใส่ ในฐานะของลูกสาวคนโตของครอบครัวมอร์ริสันแม้ว่าเธอจะแต่งงานกับฌอร์น เจนนิงส์ คนที่นอกใจเธอ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะละเลยเธออย่างน้อยที่สุด ในชีวิตของเธอก็ไม่เคยต้องลำบากอะไรแต่ทว่าในทะเลทรายนี้ ไม่ว่าเราจะมีเงินมากแค่ไหน แต่ก็มีทรัพยากรบางอย่างที่ยากจะหามาได้ทันเวลาแม่ของเธอคงจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก ในการทำความคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ ในช่วงสองสามปีแรกขณะที่เธอกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนลล์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อยราวกับว่ากิดเดียนอ่านใจเธอได้ เขาจับมือเธอเอาไว้ พลางพูดออกมาเบา ๆ ว่า “อย่าคิดมากไปเลยได้ไหม?”เนลล์หันไปมองหน้าเขา และพยักหน้าหลังจากนั้นครู่หนึ่งเมื่อเวลาผ่านไป เ
สิ้นเสียงนั้น ก็มีรูปร่างผอมเพรียวของเคธี่ปรากฏขึ้นมาแม้ว่าจะตกใจไปบ้าง แต่คลื่นแห่งความสุขก็ได้ไหลผ่านเข้ามาที่ใบหน้าของเนลล์"คุณแม่คะ!"เคธี่รู้สึกมีความสุขมากที่ได้เห็นพวกเขาเช่นกันเธอเมินใส่คนใช้ที่กำลังพยุงแขนของเธอเอาไว้ ก่อนจะสะบัดมันออก และรีบวิ่งเข้าไปหาพวกเขา“เนลลี่!”แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เจอกันแค่สองสามเดือน แต่พวกเขาก็ยังมีความสุขมากที่ได้พบกันอีก พวกเขาจึงโอบกอดกันเอาไว้จนแน่นเนลล์โอบกอดเธอไว้อยู่นาน ก่อนจะยอมปล่อยมือออกในเวลานี้ เด็ก ๆ ตัวน้อยทั้งสองก็ตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของกิดเดียนเด็ก ๆ ขยี้ตาเพื่อดูสิ่งรอบกายในต่างประเทศที่พวกเขากำลังมาถึง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสับสน ขณะที่มองดูคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขาน่าแปลกที่เคธี่ไม่รู้สึกถึงความตื่นกลัว ที่เธอมักจะเป็นเวลาที่ต้องเจอกับผู้คนใหม่ ๆ ซึ่งนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าเธอค่อนข้างสบายใจ กับสภาพแวดล้อมปัจจุบันของเธอก็เป็นได้เมื่อเห็นเด็ก ๆ ทั้งสองคนเธอก็ยิ้มออกมา เธออาจจะไม่ได้ดูอบอุ่นเหมือนกับปู่ย่าตายายทั่วไป แต่ถึงอย่างนั้น เนลล์ก็ยังสังเกตเห็นร่องรอยของความไม่เป็นมิตรได้จากสายตาของเคธี่เ
ในขณะที่เธอกำลังเดินตามเคธี่ไป ความรู้สึกหมดหนทางก็ได้เข้าครอบงำเนลล์ก่อนจะออกไป เธอได้เหลือบมองกิดเดียน เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาควรจะดูแลลูก ๆ ให้ดี และอย่าคิดมากกับสิ่งที่แม่ของเธอพูดแน่นอนว่าเขาเข้าใจความหมายที่เธอพยายามจะสื่อนั้นได้ เพราะว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันมานานมากจนรู้ใจกันและกันเป็นอย่างดีเขาพยักหน้าตอบเธอโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยจากนั้นเนลล์ก็ตามเคธี่เข้าไปในที่สวนข้างหลังบ้านเรือนกระจกตั้งตระหง่านอยู่เหนือสวน เพื่อปกป้องพวกต้นไม้จากความร้อนที่มากเกินไปด้วยหลังคาโปร่งแสงเมื่อเปิดเครื่องปรับอากาศตลอดเวลา ต้นไม้ก็จะเติบโตได้เป็นอย่างดี และอุณหภูมิในเรือนกระจกก็สบายพอสมควรเช่นกันพวกเขาเดินผ่านสวนไป และเมื่อพวกเขาเข้าไปในอีกห้องหนึ่ง เคธี่ก็หันไปหาลูกสาวของเธอ ก่อนจะถามว่า “เธอเจอกับกิดเดียนได้ยังไง? ทำไมเธอไม่บอกฉันว่าเขาเคยหย่าและมีลูกแล้ว?”เนลล์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เมื่อเห็นว่าแม่ของเธอกำลังโมโห เธอตอบว่า “แม่คะ มันไม่ใช่อย่างที่แม่คิดหรอกนะคะ นั่งลงและฟังฉันก่อนนะคะ”เธอค่อย ๆ ดึงแขนแม่ของเธอไปที่โซฟา พลางอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับกิดเดี
เคธี่ลุกขึ้นยืน “ไปเถอะ กลับไปที่ห้องโถงหน้าบ้านกันได้แล้ว เราไม่ควรปล่อยให้คุณลีย์รอนานเกินไป เพราะถึงยังไงเขาก็เป็นคนที่มีเสน่ห์ ที่ทำให้เธอหลงหัวปลักหัวปำขนาดนี้”เมื่อพิจารณาจากน้ำเสียงประชดประชันของเคธี่แล้ว เนลล์ก็สามารถบอกได้เลย ว่าแม่ของเธอยังคงติดใจกับเรื่องของกิดเดียนอยู่แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไป ตามคำกล่าวที่ว่า เวลาจะบอกความจริงทุกอย่างให้เห็นเองเป็นเรื่องปกติ ที่แม่ของเธอจะรู้สึกแบบนั้นกับกิดเดียน เพราะพวกเขายังไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเธอจะค่อย ๆ เริ่มเข้าใจมันสักวันหนึ่งอย่างแน่นอนเมื่อเธอคิดได้แบบนี้เธอจึงลุกขึ้น และพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนใบหน้าของเธอทั้งสองเดินไปที่ห้องโถงหน้าบ้านด้วยกันในห้องโถง กิดเดียนกำลังเล่นเกมกับลิซซี่และวิมอนด์น้อยอยู่เป็นความจริงที่ว่าเมื่อใดก็ตามที่มีพวกเด็ก ๆ อยู่รอบ ๆ ตัวมันจะไม่มีช่วงเวลาที่น่าเบื่ออีกเลยเนลล์เดินเข้าไปด้วยท่าทางเงอะงะ กิดเดียนดูไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย เขาเหลือบมองเธอพลางเอ่ยถามว่า “คุนกันเสร็จแล้วเหรอ?”เนลล์พยักหน้าตอบเคธี่ยิ้มออกมา “พวกเธอหิวกันรึยัง? ถ้าหิวแล้ว ฉันจะให้เชฟไ
เนลล์และกิดเดียนใช้เวลาสองชั่วโมงเต็ม เพื่อเดินดูคฤหาสน์ขณะที่พวกเขากำลังเดินดูตรงนู้นตรงนี้อย่างเรื่อยเปื่อย พวกเขาก็สังเกตเห็นว่ามีคนรับใช้จำนวนมากทำงานอยู่ที่นี่พวกเขาทุกคนพูดภาษาท้องถิ่น แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจสิ่งที่เนลล์พยายามจะพูด แต่พวกเขาก็ใจดี และเป็นมิตรกับเธอคฤหาสน์หลังนี้ใหญ่มาก จนทำให้ทั้งคู่หลงทาง แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็พบว่าตัวเองได้กลับมาที่ห้องโถงด้านหน้าของคฤหาสน์แล้วกว่าพวกเขาจะมาถึง เวลาก็ได้ล่วงเลยมาถึงหกโมงเย็นแล้วฌอนกลับมาจากห้องแล็บแล้ว เมื่อเห็นพวกเขา เขาก็บอกให้คนใช้รีบไปแจ้งเคธี่และเด็ก ๆ ให้มาทานอาหารเย็นเนลล์ถามฌอนเกี่ยวกับวันของเขาด้วยรอยยิ้ม ไม่น่าแปลกใจเลยที่วิธีที่เขาใช้พูดกับพวกเขาในตอนนี้ดูอ่อนโยนกว่าเมื่อก่อนมากอาหารเย็นประกอบไปด้วยอาหารท้องถิ่นเป็นหลักลิซซี่และวีมอนด์น้อย อยู่เล่นกับเคธี่มาได้ระยะหนึ่งแล้ว เธอจึงเริ่มสนิทกับพวกเขาระหว่างทานอาหารเย็น ฌอนได้สังเกตเห็นว่าใบหน้าของเคธี่ดูสดใสขึ้นมาก เมื่อลูก ๆ ทั้งสองคนของเนลล์ เรียกเคธี่ว่าคุณยายเมื่อเห็นว่าเธอร่าเริงขึ้น มันก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขไปด้วยแม้แต่วิธีที่เธอมอง