จินนี่จอมเจ้าเล่ห์ เธอรู้ดีว่าโจเซฟต้องการอะไรจากเธอการยั่วยวนนี้อาจจะทำให้เธอรังเกียจตัวเองเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ถึงตายหนิ อีกทั้งมันอาจทำให้โจเซฟอารมณ์ดีขึ้นได้ด้วย"โอปป้าขา... " เธอยังคงออดอ้อน จินนี่ดูเหมือนเธอจะคิดผิดที่บอกเรื่องทุกอย่างออกไป เธอบีบน้ำตา พรางเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น โดยที่เธอเล่าเรื่องระหว่างเธอกับเจนทุกอย่างเกินกวึความจริงไปมาก ๆ “โอปป้า รู้ไหมว่าออกัสตินอายุเท่าไหร่?”“เขายังเด็กอยู่มาก ๆ ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย”“แต่ว่าลูกสาวของคุณพยายามที่จะใช้ประโยชน์จากเขา เธอยังขอให้ออกัสตินบริจาคไขกระดูกของเขาให้กับพี่ชายของเธออีกด้วย”“ไม่ใช่ว่าฉันไม่ต้องการที่จะช่วยเจสันนะคะ แต่ออกัสตินอายุแค่สิบขวบเอง”“เขาจะมีชีวิตอย่างไรหลังจากนี้ ถ้าเขาบริจาค? ถ้าเขาเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ โตกว่านี้ ฉันก็คงพาออกัสตินไปตรวจและบริจาคที่โรงพยาบาลด้วยตัวของฉันเอง โดยที่ไม่ต้องมีใครมาร้องขอหรอกค่ะ“แต่ว่าตอนนี้ออกัสตินยังเด็กมาก ๆ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่ามันจะส่งผลต่อออกัสตินอย่างไรหากเขาบริจาคไป "เธออ้างเหตุผลสารพัดอย่าง แต่ไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ ว่า "ปฏิเสธที่จะบริจาค" สักครั้
หลังจากนั้นจินนี่ไปหาเจนอีกครั้ง เธอเดินตรงไปที่อาคารของ ดันน์ กรุ๊ปเจนนั้นค่อนข้างตะลึง เมื่อเธอได้รับโทรศัพท์จากพนักงานต้อนรับเร็วขนาดนั้นเลยหรอ?จินนี่ ... ซื่อตรงรักษาคำพูดขนาดนั้นเลยหรือ?เธอตอบให้พนักงานต้อนรับ ให้พาจินนี่ขึ้นมาพบเธอเมื่อผลการทดสอบของออกัสตินวางอยู่บนโต๊ะทำงานของเจน เธอก็เงียบไปสักพักจินนี่ไปที่โรงพยาบาลจริง ๆ เจนเงยหน้าขึ้น "ไปทำการทดสอบอีกครั้ง" เธอไม่ไว้ใจจินนี่มากนัก หากไม่มีพยานแสดงตัว เธออาจแกล้งทำแบบทดสอบปลอมขึ้นมาสีหน้าของจินนี่เริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย โชคดีที่เธอยังมีสติ และตอบกลับอย่างรวดเร็ว "โอเค" หลังจากที่คิดแล้ว เธอก็พูดว่า "ฉันรู้ ว่าคุณมีข้อสงสัยดังนั้นเรามาลองดูกันใหม่แล้วกัน“ในความเป็นจริง ฉันก็เข้าใจได้ว่า ทำไมคุณถึงสงสัยในเรื่องนี้นัก”"คุณต้องเชื่อฉันบ้าง ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นคนเห็นแก่ตัวนิดหน่อย แต่ฉันก็ยังมีความเป็นแม่คน ฉันเห็นแก่ตัวเพียงเพราะฉันเป็นแม่ของออกัสติน ความเห็นแก่ตัวของฉันนั้น มันเกิดจากการที่ฉันกังวลเรื่องสุขภาพของออกัสตินมาก ๆ “แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ที่จริงแล้วออกัสตินและเจสันเป็นพี่น้องทางชีววิทยาเท่านั้น ถ้าออกั
ในฝั่งที่นั่งของคนขับ วิเวียนพยายามที่จะเอ่ยปากเสนอคำแนะนำให้เจน แต่พบว่าเธอไม่สามารถหาคำพูดที่จะปลอบใจเจนได้เลย เป็นเพราะว่าเธอนั้ยเข้าใจดี ว่าเธอไม่สามารถจะไปแนะนำอะไรกับเจนได้ เทียบกับสิ่งที่เจนเคยประสบพบเจอมาอย่างไรก็ตาม เธอนั้นก็สัมผัสได้ว่าผู้หญิงที่ดูมีท่าทีที่ไม่แยแสอะไรในที่นั่งผู้โดยสารเบาะหลัง เธอคนนั้นยังคงรู้สึกหนักอกหนักใจหลังจากที่เธอตัดสินใจกลับมาที่เมืองเอสนี้ และจากความเงียบสงบที่เอ๋อไห่มามีปัญหามากมายใน ดันน์ กรุ๊ป อย่างไรก็ตามมันยากที่จะบอกได้ว่าประธานคนก่อนปิดหูปิดตาของเขากับปัญหาเหล่านั้นหรือไม่ หรืออาจจะเป็นเพราะว่า โจเซฟ ดันน์ ไม่คิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาร้ายแรงวิเวียนรู้สึกใจสลายแทนผู้หญิงที่เบาะหลัง เมื่อใดก็ตามที่ เจน ดันน์ เริ่มลงทุนในงานของเธอ นั่นมันแปลว่าเธอได้เกือบที่จะฆ่าตัวตาย หรือก้าวขาข้างหนึ่งเข้าหาความตายแล้วเธอควรจะเกลียดฌอน เพราะในท้ายที่สุดก็คือผู้ชายคนนั้นเอง ที่บังคับผู้หญิงที่ยังมีชีวิตจิตใจคนนี้ให้ให้ก้าวไปทีละก้าว ทีละก้าวในเมืองเอสนี้ ฌอนเป็นคนเดียวที่สามารถผลักดันเจนให้จนมุมได้อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอก็รู้สึกอยากขอบคุณเขาเล็กน
เมืองเอสเป็นย่านที่เฟื่องฟูที่สุด ณ ห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ที่มีแบรนด์ดัง ๆ แพง ๆ มากมาย ผู้หญิงคนหนึ่ง เธอพูดขึ้นว่า "ฉันมาที่นี่เพื่อเลือกชุด"พนักงานที่ดูแลสินค้าแบรนด์เนมส่วนมากมักจะชอบตัดสินรูปลักษณ์ของผู้อื่นจากภายนอก ในสายตาของพวกเขาผู้หญิงที่กำลังเดินเข้ามานั้นคือคนพิการ อย่างไรก็ตามหญิงพิการคนนี้ยืนยันที่จะยืดหลังของเธอให้ตรง มันทำให้เธอดูน่าอึดอัดยิ่งขึ้นในภาพรวมเธอไม่ได้สวมใส่สินค้าแบรนเนมด์ใด ๆ เลย บนร่างกายของเธอ ทุกสิ่งที่เธอใช้หรือสวมใส่เป็นเพียงสิ่งของธรรมดา ๆ ที่คนทั่ว ๆ ไปสวมใส่พนักงานขายตัวสูงไม่ยอมขยับเขยื้อน นิ้วเรียวของเธอชี้ไปที่ตรงมุม ๆ หนึ่ง "ทุกอย่างมีส่วนลด 30% ตรงนั้น"เธอไม่แม้แต่จะขยับตัวแม้แต่น้อยอย่างไรก็ตามในเสี้ยววินาทีต่อมาใบหน้าของเธอก็บึ้งตึง หญิงพิการกำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยดวงตาที่เยือกเย็นเจนมองไปที่พนักงานขายที่ประตูด้วยความเงียบ ไม่มีการติอว่าและไม่มีร่องรอยของความโกรธเลยหัวใจของเธอตอนนี้เป็นรูพรุน แต่ไม่มีสิ่งใดใส่เข้าไปได้ และไม่มีสิ่งใดรั่วไหลออกมา"ฉันมาที่นี่เพื่อเลือกของขวัญ" เธอจ้องมองไปที่พนักงานขายอย่างใจเย็น แววตาท
ทันทีที่ประตูเปิดออก ความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของเจนก็ถูกเช็ดทำความสะอาด สิ่งที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของเธอคือรอยยิ้มที่สดใสและแพรวพราวแทนเอลิออร์ยืนพิงหน้าต่าง เขาหันศีรษะไปด้านข้างเมื่อประตูเปิดออก สิ่งที่เขาเห็นคือเจนยิ้มแพรวพราว เขาถึงกับผงะ ความโกรธพุ่งผ่านเขา อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาถัดมาความโกรธในใจของเขาก็หายไป"เข้ามาสิ" เขาถอนหายใจในใจ เธอไม่รู้แน่นอนว่าในแวบแรกรอยยิ้มบนใบหน้าของเธออาจดูสดใส แต่เมื่อมองในครั้งที่สองมันดูลังเล เมื่อมองแวบที่สามมีความเจ็บปวดอย่างมากในนั้นผู้หญิงคนนั้นยังคงยืนอยู่ข้างประตูไม่ขยับเอลิออร์หันกลับและเดินไปหาเธอ ทันใดนั้นเขาก็เหยียดแขนยาว ๆ ของเขาออก และจับเธอไว้โดยดึงเธอเข้าไปข้างใน "หยุดยิ้มเขาจะไม่เห็นมัน"รอยยิ้มของหญิงสาวยังคงอยู่บนใบหน้าของเธอ"กระสุนยิงเข้าที่หัวใจ ห่างจากหัวใจของเขาไม่ถึงสองเซนติเมตรเอง”“หลังเกิดเหตุ เขาถูกส่งตัวไปมาโรงพยาบาลทันทีเพื่อรับการช่วยเหลือฉุกเฉิน”“หลังจากแปดชั่วโมงของการช่วยเหลือฉุกเฉิน เขาถูกพาออกจากห้องผ่าตัดและส่งตรงไปยังห้องผู้ป่วยหนัก”“เราสามารถรักษาเขาได้ แต่สภาพของเขาก็ไม่ได้ดูดีมากนัก”“อาการของเขาดู
เอลิออร์ และเรย์ไม่รู้ว่าเจนรู้สึกอย่างไร ตลอดเวลาที่เธออยู่ลำพังกับฌอนเมื่อประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง ฌอนอาการโคม่าต้องการความช่วยเหลือด่วนมีเสียงฝีเท้าที่รีบเร่งตรงทางเดิน ทุกคนต่างตื่นตระหนกไม่มีใครพูดคุยอะไรกัน และ ในที่สุดแพทย์ก็ประกาศว่าวิกฤตได้รับการแก้ไขแล้วหลังจากนั้นไม่นานอย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่จุดจบ ในช่วงเวลาห้าวันห้าคืนที่เธออยู่กับเขา วิกฤตใกล้ตายนี้ยังคงอยู่รอบ ๆ ตัวเขาห้าวันห้าคืนอาการทรุดถึง 11 ครั้งเธอนับและ ทุก ๆ การช่วยเหลือเร่งด่วนทุกครั้งมันจะทิ้งตัวเลขไว้ในใจของเธอเธอไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้เธอไม่รู้ว่าเธอมีพลังที่จะรู้สึกต่อต้านเขาในใจหรือไม่เธอไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำ แล้วเธอจะไปเข้าใจฌอนได้อย่างไร?ในเช้าวันหนึ่งพวกเขามีความหวังเธออยู่ข้างเตียงของเขา เธอเคยชินกับการจ้องมองใบหน้าที่ซีดเซียวและไร้ชีวิตชีวาของเขาตลอดทั้งคืน เธอมักจะจ้องดูเขาเงียบ ๆ เธอจะไม่กล้าหลับ แม้ว่าเธอจะไม่สามารถจัดการกับความเหนื่อยล้าได้ก็ตามในความกลางดึกของคืนนั้นเธอนั่งข้างเตียงของเขา และมองไปที่ใบหน้าที่คุ้นเคยซึ่งเธอจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต บางครั้งมันก็เหมือนกับว่าเ
"ฌอนทำไมนายถึง ... " เอลิออร์เอ่ยขึ้นในทันที เขาเอื้อมมือไปหาผู้ชายบนเตียง“อย่าแตะต้องฉัน!” คนบนเตียงพยายามถอยห่างออกไป เรย์เดินเข้ามาหาเขา กลัวว่าบาดแผลจะเปิดออก“ฌอน อย่าขยับเยอะสิ! ระวังบาดแผลของนายหน่อย”คราวนี้ชายคนนั้นมีปฏิกิริยาดุเดือดมากขึ้น เขายังโบกมือของเขาที่มีสายน้ำเกลือติดอยู่ให้กับเรย์ที่พยายามจะเข้ามาใกล้เขา“ฌอน เกิดอะไรขึ้น? ฉันเอง! ฉันไง! เรย์!”เอลิออร์คว้าเรย์ที่พยายามเข้าใกล้ฌอน "ใจเย็น ๆ มีบางอย่างผิดปกติกับฌอน”"คุณคือใคร? ออกไป! ออกไป!" เขาพูดเหมือนเด็ก ๆ เขามองไปที่ผู้คนรอบ ๆ เตียงของเขาด้วยความกลัวและสยองขวัญ ทันใดนั้น เมื่อเขามองไปที่ผู้หญิงคนเดียวในห้องเขาก็ชะงักในวินาทีต่อมาเขาไม่สนใจท่อและสายระโยงระเยงทั้งหมดที่อยู่บนตัวของเขา เขาโผเข้ากอดเจนต่อหน้าทุกคน และพูดด้วยน้ำเสียงที่เสียใจอย่างยิ่ง“ พี่สาว ผมกลัว”เจนตัวแข็งทื่อ เธอรู้สึกตึงเครียดมาก เมื่อก้มศีรษะลงและมองไปที่ชายที่ขอความช่วยเหลือในอ้อมแขนของเธอไม่ใช่เพียงแค่เธอ ทุกคนในห้องก็งุนงงด้วยเช่นกัน พวกเขายืนนิ่งขณะดูฉากแปลก ๆ นี้“นั่นคือ…ฌอนหรอ?” เรย์ถามคำถามที่ทุกคนสงสัย ด้วยน้ำเสียงที่งุ
ฌอนกลับมาที่เมืองเอสหลังจากที่อาการของเขานั้นดีขึ้นอย่างไรก็ตาม…เมื่อเธอมองไปที่นิ้วที่กำเสื้อของเธอแน่น เจนก็ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดีเธอมองไปที่ดวงตาของเขาที่ดูระแวดระวังราวกับเด็ก ๆ ทันใดนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไปไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องนี้นอกจากเอลิออร์ เรย์ และบอดี้การ์ดที่ทำงานให้ฌอนมาตั้งแต่เขายังเด็กอูโน่ ดอส จะไม่มีข้อมูลใด ๆ รั่วไหลออกไปแน่ ๆ แน่นอนว่าเอลิออร์และเรย์ก็คงไม่ทำเช่นนั้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามบุคคลนี้ได้เปลี่ยนไปตอนที่เขาอยู่ในอิตาลีเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้เขากลับมาที่เมืองเอสนี้แล้ว มันยากกว่าสำหรับพวกเขาที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้ได้พวกเขาไม่สามารถคิดวิธีแก้ปัญหานี้ได้ในขณะนี้เอลิออร์พูดขึ้นอย่างมีเหตุผล “สิ่งเดียวที่เราทำได้ในตอนนี้ ก็คือให้ฌอนมี ‘วันหยุดพักร้อน’”เรย์พยักหน้ารัว ๆ “นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เราทำได้ในตอนนี้ หวังว่าฌอนจะดีขึ้นเร็ว ๆ นี้”แม้จะพูดอย่างนั้น แต่ทุกคนก็รู้ดีว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย“เราไม่สามารถบอกให้คนนอกรู้เกี่ยวกับสภาพที่แท้จริงของฌอนในตอนนี้ได้” เอลิออร์เงียบไปพักหนึ่ง “อย่าลืมว่ามีไมเคิลอยู่ในครอบครัวสจ๊วต คุณปู่ส