มหาเสนาบดีฉู่จึงกล่าวว่า “ข้าติดหนี้บุญคุณจวนอ๋องฉู่ถึงสองครั้ง ถ้าเรื่องนี้ข้าสามารถเป็นกำลังช่วยเหลือได้ ข้าก็ยินดี”นางข้าหลวงสี่ถอนหายใจออกมา และเอ่ยถาม “ท่านติดหนี้บุญคุณจวนอ๋องฉู่เรื่องอันใดถึงสองครั้ง ? ”มหาเสนาบดีฉู่กินข้าว และพูดอย่างคลุมเครือว่า “พระชายาฉู่ช่วยเจ้าไว้ตั้งสองครั้งมิใช่หรือ?”นางข้าหลวงสี่นิ่งอึ้งมองตรงไปยังเขา น้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าไปหมด นางยกมือเช็ดน้ำตา และพูดกลบเกลื่อน “กินข้าวกันเถอะ”มหาเสนาบดีฉู่ลอบมองนาง และไม่รู้ว่าไปหยิบผ้าเช็ดหน้าจากไหนมามอบให้นาง “เอาไว้เช็ดน้ำตาเถิด วันหลังอย่าได้ร้องไห้ง่ายดายเช่นนี้ เจ็บตาเสียเปล่า ต้องดูแลตัวเองให้ดี แม้แต่เส้นผมเส้นเดียวก็ไม่อาจละเลยได้ ชีวิตนี้ไม่รู้จะเหลืออีกนานเท่าไหร่แล้ว”นางรับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา “ผ้าเช็ดหน้าจากไหนกัน? ตาเฒ่าอย่างท่านทำไมถึงพกผ้าเช็ดหน้าปักลายงดงามเช่นนี้ได้?”“ข้าเอารองเท้าหัวเสือมามอบให้พระชายา และใช้ผ้านี่ห่อรองเท้าหัวเสือไว้” มหาเสนาบดีฉู่ตอบนางนางข้าหลวงสี่อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ท่านสั่งคนทำรองเท้าหัวเสือ? ท่านเพิ่งเคยมอบของขวัญให้พระชายาเป็นครั้งแรก”“ก็ต้องพกมาให้บ้าง คนเร
สถานการณ์ทางด้านจวนอ๋องฉีนั้นช่างเงียบสงบหยวนหยงอี้อยู่กับอ๋องฉี เดิมทีอยู่เพื่อปกป้องเขา ไม่ให้ฉู่หมิงชุ่ยมาก่อเรื่องสร้างความรำคาญแต่ฉู่หมิงชุ่ยกลับเงียบสงบอย่างน่าประหลาดใจวันนั้นมหาเสนาบดีฉู่ได้สั่งคนมาส่งจดหมายฉบับหนึ่ง หลังจากฉู่หมิงชุ่ยอ่านมันแล้วก็ออกจากบ้านไปในทันที ตกดึกนางเพิ่งจะกลับมาหลังจากกลับมาแล้ว ก็ตรงเข้าไปหาอ๋องฉีหยวนหยงอี้ระแวดระวังเป็นอย่างมาก จึงห้ามไม่ให้นางเข้าไปฉู่หมิงชุ่ยเหลือบมองหยวนหยงอี้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ได้ต้องการจะทำร้ายเขา มีเจ้าอยู่ ข้าก็ทำอะไรไม่ได้หรอก ข้าแค่อยากกล่าวลากับเขาสักคำ”“อำลา?” หยวนหยงอี้ตกใจจนผงะไปในแววตาของฉู่หมิงชุ่ยมีความโศกเศร้าเจือปนอยู่เล็กน้อย นางถอนหายใจออกมาเบา ๆ และกล่าวว่า “ใช่แล้ว ท่านปู่สั่งให้คนมามอบจดหมายให้ข้า ยอมรับการตกลงเรื่องหย่า รอเรื่องนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว ข้าก็จะไป เพียงแต่ ข้าทำร้ายเขา สุดท้ายก็เป็นข้ามิใช่หรือ ข้ามาเพื่อขอโทษเขา จะได้ไม่ติดค้างผู้ใดอีกในภายภาคหน้า”หยวนหยงอี้เชื่ออย่างสุดใจว่าคน ๆ หนึ่งไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปได้โดยไร้เหตุผล แต่ว่านางพูดเช่นนี้ และต
สีหน้าของฉู่หมิงชุ่ยเคลิบเคลิ้มราวกับตกอยู่ในความฝัน “ตั้งแต่ข้าอายุสิบเอ็ด ข้ามีความฝันว่าจะแต่งงานกับคนผู้หนึ่ง และเจ้าสาวก็คือข้า เจ้าบ่าวก็คือเขา หยวนชิงหลิงบอกว่านางตอนอายุสิบสามก็ตกหลุมรักเขา แต่ข้ารักเขาก่อนนางมาตั้งนานแล้ว หากไม่ใช่เพราะท่านเป็นโอรสของฝ่าบาท ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของเสด็จแม่ท่าน ข้าคงไม่ยอมปล่อยเขาไป เขาไม่เคยบอกท่านสินะ? เมื่อหลายวันก่อนข้าไปหาเขาที่โรงเตี้ยมเยวี่ยเต๋อ ข้าคุยกับเขาอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ข้าเพิ่งรู้ว่าในใจของเขายังมีข้าอยู่ เขาหวังว่าข้าจะหย่ากับท่าน เขาจะแต่งข้าเป็นชายารอง เฮ้อ เดิมทีข้าควรได้เป็นพระชายาของเขาแท้ ๆ”นางถอนหายใจออกมาเบา ๆ และก้มหน้าลง หางตานางเห็นใบหน้าซีดขาวของเขาอย่างชัดเจนหยวนหยงอี้คว้ามือนาง ฉุดนางลุกขึ้น และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “พอได้แล้ว เจ้าหุบปาก และออกไปได้แล้ว”ฉู่หมิงชุ่ยมองหยวนหยงอี้ และกระซิบกับนางว่า "ชายารองหยวน เรื่องนี้เขาควรรู้เอาไว้ อย่างไรเสีย เจ้าเองก็รู้ว่า ข้ากับพี่ห้าพบกันเป็นการส่วนตัว ที่จริงเจ้าเองก็ควรบอกเขาด้วย”ทันใดนั้นอ๋องฉีก็เงยหน้าขึ้นมองหยวนหยงอี้ “เจ้ารู้ด้วยหรอกหรือ?”หยวนหยงอี้รีบเ
หยวนหยงอี้ที่ได้ยินเช่นนั้น ทั้งรู้สึกดีใจ และเป็นกังวลในเวลาเดียวกันที่น่ากังวลนั่นเป็นเพราะการที่อ๋องฉู่และฉู่หมิงชุ่ยพบกันนั้นจริง และไม่ได้บอกอ๋องฉีให้รับรู้แต่ที่น่าดีใจก็คือ อ๋องฉู่ถูกหลอกให้มาพบนาง เมื่อรู้ว่าถูกหลอกถึงได้โกรธมากเช่นนี้หากกลับไปบอกอ๋องฉีเพียงแค่นี้ อ๋องฉีจะไม่คิดเคลือบแคลงใจขึ้นมาหรอกหรือ?หยวนหยงอี้ที่คิดไตร่ตรองดูแล้ว แต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้นั้น เลยตรงไปหาหยวนชิงหลิงหยวนชิงหลิงโกรธจนท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด นางเบิกตากว้าง ในแววตานางเต็มไปด้วยไฟโทสะ “จะไปอยู่แล้วยังมาทำให้พี่น้องบาดหมางกันอีก ช่างเป็นตัวปัญหาจริง ๆ”หยวนหยงอี้เองก็โกรธมาก และพูดว่า “ถ้าไม่ใช่ว่านางจะไปแล้วล่ะก็ ข้าคงลงมือไปนานแล้ว แค่อยากหลีกเลี่ยงเรื่องที่อาจคาดไม่ถึงที่จะเกิดขึ้นได้ หากทำร้ายนาง นางก็คงก่อนเรื่องวุ่นวาย และไม่ยอมจากไปเป็นแน่”หยวนชิงหลิงมองนาง และกล่าวต่อไปว่า “ผู้หญิงคนนี้เปี่ยมไปด้วยความชั่วร้าย เจ้าทำร้ายนาง ไม่รู้ว่านางจะเล่นสกปรกอะไรกับเจ้าอีก”นึกถึงเรื่องในวังหลวง คนชั่วช้าอย่างนางที่เข้าไปทูลฟ้องก่อนแล้วนั้น ผู้หญิงคนนี้ปากว่าตาขยิบ เล่ห์เหลี่ยมมารยาของนางช่างย
นางยื่นมืออกไปลูบคันฉ่องนั้น และฉีกยิ้มกว้างออกมาราวกับต้องมนต์สะกดหลังจากหยวนหยงอี้กลับมาแล้ว ก็เอาเรื่องที่ได้ยินไปบอกอ๋องฉีตามตรงหลังจากที่อ๋องฉีได้ฟังแล้ว ก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีกหยวนหยงอี้จึงดึงเก้าอี้แถวนั้นมานั่ง แล้วกล่าวว่า “มาคุยกัน?”อ๋องฉีเงยหน้าขึ้น “คุยเรื่องอะไรรึ?"หยวนหยงอี้มองตรงไปที่เขา “ท่านยังสนใจเรื่องนี้อยู่หรือ?”“แล้วไม่ควรสนหรอกหรือ?” อ๋องฉีเอ่ยถามกลับหยวนหยงอี้จึงเอ่ยขึ้น “ท่านแค่สนว่าเขายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับท่าน แต่ว่าจากที่ข้าไปตรวจสอบที่โรงเตี้ยมเยวี่ยเต๋อ อ๋องฉู่โมโหมากที่พบว่าตัวเองถูกฉู่หมิงชุ่ยหลอกให้ไปพบที่โรงเตี้ยมเยวี่ยเต๋อ เขาไม่บอกท่านเรื่องนี้ คงได้คิดไตร่ตรองถึงความรู้สึกของท่าน มันคงลำบากใจที่จะมาบอกท่านว่า พระชายาของท่านให้เขาไปพบเป็นการส่วนตัว? แบบนี้ไม่ต่างอะไรจากการตบหน้าท่านเลยมิใช่หรือไร?”อ๋องฉีเงยหน้าขึ้นมองนาง “ข้าดีกับเจ้าไหม?”หยวนหยงอี้ตกใจ นี่นอกเรื่องไปไหนกัน?“ดีไหม?” อ๋องฉีเอ่ยย้ำถามหยวนหยงอี้ที่รู้สึกว่าอารมณ์ในตอนนี้ของเขาไม่ค่อยมั่นคงนัก ดังนั้นจึงนึกคำดี ๆ และเอ่ยตอบไปว่า “ก็ไม่เลวเท่าไหร่”อ๋องฉีส่ายหน้า
อ๋องฉีมองไปที่นาง “คืนนี้เจ้าไปเชิญพี่ห้ามาที่นี่”“จะทำอะไรรึ?” หยวนหยงอี้เอ่ยถามอ๋องฉีพูดว่า "แทนที่จะให้นางนำหน้าเรา ถ้าหากพวกเราลองนำหน้านางดูก่อนสักก้าวหนึ่ง ดูสิว่านางจะทำอะไรกันแน่”ถึงหยวนหยงอี้จะเป็นคนที่มุทะลุอยู่บ้าง แต่นางก็เป็นคนที่คิดการได้ละเอียดรอบคอบ แค่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดก็เข้าใจแล้ว “ท่านจะทำสิ่งที่นางต้องการ โดยเผชิญหน้ากับอ๋องฉู่ หลังจากนั้นก็ดูว่านางต้องการทำอะไรสินะ ? ”อ๋องฉีมองนางอย่างชื่นชมยกย่อง “เจ้านี่ฉลาดจริง ๆ แต่ว่าเดาถูกแค่ครึ่งเดียว ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่านางจะทำอะไรต่อ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ข้าออกไปประจันหน้ากับพี่ห้าเป็นไปดั่งใจนางแล้ว ก็เป็นอันบรรลุเป้าหมายของนางแล้ว คงไม่ทำเรื่องยืดเยื้อการหย่าร้างนี้อีก ข้าคิดจะรีบตัดปัญหาน่ารำคาญนี่ซะ นางอยู่ที่นี่นานขึ้นหนึ่งวัน ข้ามักคิดว่านางจะก่อเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นมาอีก”หยวนหยงอี้หัวเราะออกมา “หรือว่าบางที ท่านกลัวว่าตัวเองจะใจอ่อน?”อ๋องฉีดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว และพูดอย่างเฉยชาว่า "อืม ก็กลัวอยู่”หยวนหยงอี้พยักหน้า "เช่นนั้นก็ดี ข้าจะไปด้วยตัวเอง ไปพูดกับพี่หญิงฉู่หวางให้เข้าใจสถานการณ์ก่อน”“เจ้าไป
คนที่อยู่ตรงนั้นคือหยวนหยงอี้ นางไมไว้ใจฉู่หมิงชุ่ย นางคิดเสมอว่าคนผู้นี้นิสัยชั่วร้าย ไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องอะไรออกมาอีกคำพูดของฉู่หมิงชุ่ยที่ดังเข้ามาในโสตประสาทอย่างแจ่มชัดแววตาของนางเย็นเยือกขึ้นในทันที พร้อมแรงกระตุ้นที่คิดจะสังหารฉู่หมิงชุ่ยไปซะวันรุ่งขึ้น นางไปจวนอ๋องฉู่ และนำคำพูดนั้นไปบอกเล่าให้อาซื่อฟัง และกล่าวว่า “ช่วงนี้พระชายาออกไปข้างนอก ทางที่ดีเจ้าควรอยู่ข้างกายนาง อย่าได้ลดการระมัดระวังโดยเด็ดขาด”อาซื่อกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ “นี่นางยังคิดจะฆ่าพระชายาอีกรึ? ทำไมนางไม่ตาย ๆ ไปซะ? นางยังมีหน้ามีชีวิตอยู่อีกหรือไร?” หยวนหยงอี้จึงกล่าวต่อไป “คนบางคนถ้าไม่ตาย ก็จะกลายเป็นหายนะในที่สุด เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว อย่าให้นางมีช่องว่างฉวยโอกาสมาทำร้ายพระชายาได้”อาซื่อเอ่ยถามนาง “จะไม่บอกพระชายาหรือ?”หยวนหยงอี้คิดอยู่พักหนึ่ง “บอกท่านอ๋องเถอะ อย่าได้บอกพระชายาเลย ทำให้นางตกใจเสียเปล่า”อาซื่อจึงตอบกลับ “ใช่ ทำพระชายาตกใจไม่ได้ ช่วงนี้อารมณ์นางไม่ค่อยดีนัก”หยวนหยงอี้เป็นห่วงพี่หญิงฉู่หวาง “เรื่องราวในจวนอ๋องฉีช่วงนี้ จวนอ๋องฉู่ต้องพลอยมาเดือดร้อนกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
หยวนชิงหลิงเหลือบตามองนางที่อยู่ด้านข้าง นางยิ้มแย้มอ่อนหวานอ่อนโยนเหมือเทพธิดา แวบแรกที่ได้เห็นรู้สึกชวนขนลุกนัก ทำให้ใจของหยวนชิงหลิงรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาอวี่เหวินห่าวไม่มองนาง และจูงมือหยวนชิงหลิงเดินเข้าไปด้วยกันข้างในอ๋องซุนนั้นสวมชุดพญางูสีน้ำเงินที่ทำจากผ้าไหมเนื้อดี เพื่อแสดงถึงฐานะ ที่เอวคาดด้วยเข็มขัดทองคำ และหยกคาดเอวประดับรอบหน้าท้องกลมเอาไว้ เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ประธาน ฟังพระชายาซุนที่อยู่ด้านข้างพูดคุยด้วยแววตาที่เป็นประกายพระชายาซุนที่นั่งอยู่ด้านข้างนั้นเปล่งรัศมีกล้าหาญ ดูน่าเกรงขาม กลับกันกับอ๋องซุนที่ดูตัวเล็ก อ่อนแอ น่าสงสาร ใสซื่อ และยังอ้วนท้วมอีกด้วยเมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา แววตาเขาก็เปล่งประกายขึ้น และรีบกล่าวว่า "ไม่ต้องพูดหรอก แขกก็ยิ่งมาเยอะขึ้นเรื่อย ๆ”พระชายาซุนหันกลับมาเห็นพวกเขา ก็รีบลุกขึ้นก้าวไปข้างหน้าจับมือหยวนชิงหลิง “ทำไมเพิ่งมากันเล่า? นึกว่าพวกเจ้าจะมาเร็วกว่านี้ซะอีก”หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “เก็บกวาดนานไปหน่อย เลยมาช้าน่ะเพคะ”พระชายาซุนจูงนางไปข้าง ๆ และพูดเสียงเบาลงว่า “พระชายาฉีเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมนางถึ