Share

บทที่ 4 เทพแห่งขุนเขาวิวาห์

ในตอนนี้ฉันรู้สึกกลัวมากจนหัวใจแทบจะออกมาเต้นอยู่ข้างนอกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะหลิวหลงถิงอยู่ในร่างฉัน ป่านนี้ฉันเดาว่าตัวเองคงไม่สามารถยืนนิ่งได้แบบนี้แน่นอน

เราทั้งสองจ้องหน้ากันอยู่เกือบสิบวินาที ดูเหมือนผู้หญิงคนนั้นน่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรบางอย่าง พลันใบหน้าอันน่าสะพรึงกลัวนั้นก็เปลี่ยนเป็นหน้าตื่นตระหนกในทันที หล่อนสลัดมือออกจากหลี่จวนและกำลังจะลอยหนีไปที่กำแพง แต่แน่นอนว่าหลิวหลงถิงย่อมไม่ให้โอกาสหล่อน เขาร่ายคาถาบางอย่างด้วยความรวดเร็ว และทันใดนั้นก็ตบฝ่ามือกับผนังอย่างแรง ราวกับสร้างเครื่องพันธนาการที่ผนัง ร่างของผู้หญิงคนนั้นกระแทกเข้ากับกำแพงดังปัง แล้วเด้งตกลงบนพื้น แต่หล่อนยังคงไม่ยอมแพ้ ร่างนั้นพยายามหลบซ่อนจากหลิวหลงถิงราวกับหลบซ่อนเชื้อโรคร้ายน่ารังเกียจ หล่อนปีนกำแพงต่อไปไม่หยุด เล็บแหลมคมขูดกำแพงสีขาวราวกับหิมะอย่างรวดเร็ว จนทำให้เกิดเสียงหวีดแหลมคมและน่าสยดสยอง!

เมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกของหล่อน เงาดำเล็ก ๆ บนผนังต่างก็พยายามจะดึงผู้หญิงคนนั้นไป แต่ก็ไร้ประโยชน์ พลังของพวกเขาไม่สามารถทะลุกำแพงที่หลิวหลงถิงใช้เวทมนตร์ทำขึ้นได้ เด็ก ๆและผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนกับคนแบบพวกเรา พวกเขาเริ่มร้องไห้ออกมาเสียงดัง แต่ไม่มีน้ำตา

หลิวหลงถิงมองดูพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วผละตัวออกจากร่างของฉัน เขาเอ่ยเสียงเรียบอยู่คนเดียว “ที่แท้ก็ถูกเนรเทศมา”

“ถูกเนรเทศ หมายความว่าไง?” ฉันถามหลิวหลงถิง เพราะตอนนี้เขาออกจากร่างฉันไปแล้ว ฉันจึงไม่สามารถมองเห็นผีผู้หญิงและผีตัวเล็กพวกนั้นได้เลย ด้านหน้าฉันยังคงเป็นห้อง ๆ หนึ่ง ทว่าร่างของหลี่จวนนั้นล้มนอนลงอยู่บนเตียงแล้ว

“การถูกเนรเทศก็คือ บางคนที่เคยทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงในชาติที่แล้ว จะถูกจารึกไว้ในสมุดความเป็นความตาย หลังจากที่สิ้นอายุขัยแล้ว ยมโลกจะไม่รับพวกเขาไว้อีก ดังนั้นพวกเขาจึงถูกเนรเทศมายังโลกมนุษย์ และปล่อยให้พวกเขาอยู่ตามยถากรรม โดยทั่วไปแล้วปีศาจร้ายประเภทนี้จะไม่มีพลังอะไรมากมาย พวกเขาจึงจำเสียงข้าได้ในทันที และผู้หญิงคนนี้คงอยากจะไปเกิดใหม่ หล่อนจึงเดินไปตามทางถนนผี และเมื่อเห็นหลี่จวนที่กำลังตั้งครรภ์ ด้วยเหตุผลบางอย่าง หล่อนจึงเข้ามาพัวพันกับเธอ” หลิวหลงถิงตอบฉันอย่างอดทน

“ในเมื่อไม่มีพลังอะไรมากมาย แล้วท่านจะจัดการกับนางยังไง?”

“ไปหากระดาษกับปากกามา” หลิวหลงถิงหันหน้ามาพูดกับฉัน

ฉันรีบหันไปที่ประตูและตะโกนเรียกหวังหงที่กำลังพยายามก้มมองเข้ามาในห้องของเราตลอดเวลา พลางขอให้เขาเอากระดาษและปากกามาให้ฉัน

หวังหงทำตามอย่างเชื่อฟัง เขารีบขอกระดาษและปากกาจากแม่ยาย แล้วถามฉันว่าฉันบ่นพึมพำอะไรในห้องคนเดียว? ใช่ว่ากำลังคุยกับเทพอยู่หรือเปล่า?

เขามองไม่เห็นหลิวหลงถิงและผู้หญิงคนนั้น ฉันจึงไม่ได้สนใจเขา มือเรียวปิดประตูแล้วเดินไปข้าง ๆ หลิวหลงถิง ก่อนยื่นกระดาษและปากกาส่งให้เขา

หลิวหลงถิงหยิบปากกาและกระดาษขึ้นมา แล้วเขียนตัวหนังสือลงบนกระดาษอย่างตั้งใจ “เยว่เทียนเซียง” อักษรสามตัวที่ลายเส้นของตัวอักษรนั้นมีความหนาและสวยงามเท่ากัน

จากนั้นเขาก็ส่งกลับมาให้ฉัน “เจ้านำสิ่งนี้ไปไว้ที่ทางเข้าสำนักของเรา ถึงเวลานั้นเยว่เทียนเซียงจะเป็นบริวารของสำนักเรา หากต้องการใช้พวกเขา ก็สามารถสั่งการได้ตลอดเวลา ผีจำพวกที่ถูกนำมาถวายแบบนี้จะเรียกว่าชิงเฟิง ต่อไปสำนักของเราก็จะมีทหารเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และพละกำลังของเราก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม”

“หมายความว่าต่อไปเราจะต้องรับบริวารตนอื่น ๆ อีกน่ะหรือ?” ฉันถามหลิวหลงถิง

“ใช่ เทียบกันกับแม่ทัพ ยามออกไปสู้รบ ก็ต้องมีกองทัพนักรบอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาเยอะ ๆ พวกเราก็เช่นกัน ชิงเฟิงค่อนข้างจะคุ้นเคยกับเรื่องของยมโลก หากในภายหน้าเจ้าพบเจอสิ่งชั่วร้าย เจ้าสามารถเรียกหาพวกเขาได้โดยตรง แต่ว่าข้ากับเจ้ามีความสัมพันธ์โดยตรงเช่นนี้ ไม่ว่าต่อไปจะมีบริวารมากเท่าใด พวกเขาทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา”

ฉันไม่รู้ว่าทำไมเมื่อหลิวหลงถิงพูดจบประโยคสุดท้าย ฉันยังรู้สึกเขินอายและอบอุ่นใจเล็กน้อย แต่เมื่อครู่กลับไม่ปฏิเสธเขาไป

หลิวหลงถิงสังเกตได้ถึงความคิดของฉันอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นสีหน้าที่จริงจังของเขาก็เผยยิ้มอย่างมีเลศนัย และจู่ ๆ ฝ่ามือใหญ่ก็ตบก้นฉันดังเพี้ยะ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมหยอกล้อ “อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเจ้ามีสิทธิ์เยอะมากใช่หรือไม่? งั้นคืนนี้ข้าไปหาเจ้านะ”

ฉันไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้ แต่กลับรู้สึกแปลก ๆ บอกไม่ถูกว่าเขาไม่น่าจะมีเจตนาที่ดี ฉันเอื้อมมือออกไปหมายจะตีมือหลิวหลงถิง แต่หลิวหลงถิงกลับคว้ามือฉันได้อย่างง่ายดาย พลันยกฝ่ามือฉันขึ้นวางบนริมฝีปากเขาแล้วจับจ้องตรงมาที่ฉัน ทำให้ฉันอดนึกถึงฉากนั้นในหนังประเภทสิบแปดบวกไม่ได้ เขาอ่อยเก่งมากจนทำให้ฉันใจสั่นอย่างแรง

“พอเลย ๆ ใครจะให้คุณมาหากัน รีบปล่อยฉันเลย ทะลึ่ง!” ฉันดึงมือออกจากมือของหลิวหลงถิงอย่างแรง หลิวหลงถิงมองลงมาที่ฉันพลางผุดรอยยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย นัยย์ตาสีดำของเขาเหมือนหุบเขาลึกสุดลูกหูลูกตา ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง

หลิวหลงถิงปล่อยมือออกจากฉัน โดยที่ฉันก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจริงหรือไม่ แถมยังบอกฉันให้จำสิ่งที่เราพูดกันเมื่อครู่ไว้ ฉันเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วเดินไปเปิดประตูให้หวังหงเข้ามา

ทันทีที่หวางหงเข้ามา เขาก็ไม่ได้สนใจเราอีกต่อไป เขารีบเดินไปหาภรรยาและถามฉันว่าภรรยาเขาเป็นอย่างไรบ้าง?

ฉันเดาว่าเยว่เทียนเซียงคงถูกพวกเราปราบแล้ว และคงจะไม่มีใครมาก่อกวนหลี่จวนอีกต่อไป เธอน่าจะตื่นขึ้นในไม่ช้านี้ ดังนั้นฉันจึงบอกกับหวังหงว่าเธอไม่เป็นอะไรแล้ว

ขณะที่ฉันกำลังพูดอยู่ หลี่จวนก็เริ่มขยับศีรษะ หวังหงก็ตะโกนใส่ฉันอย่างมีความสุขทันที “ป๋ายจิ้งภรรยาฉันฟื้นแล้ว ภรรยาของฉันฟื้นแล้ว!”

ฉันรีบไปดู และเห็นว่าเห็นหวังหงลูบหัวของเธออยู่ เธอลืมตาแล้วหลือบมองที่หวังหงช้า ๆ “คุณกอดฉันไว้ทำไม?”

“คุณเพิ่งตื่น ก็เลยผมอยากกอดคุณ” หวังหงแสดงความรักที่มีให้เธอต่อหน้าฉันอย่างหน้าหมั่นไส้ ซึ่งฉันเองก็ถือว่าเป็นคนนอก

“ที่รัก เมื่อกี้ฉันเพิ่งฝันไป ฉันฝันว่าถูกผู้หญิงคนหนึ่งลักพาตัวไปบนถนนเส้นหนึ่งที่สกปรกมาก ๆ ผู้หญิงคนนั้นป้อนอาหารให้ฉัน บอกฉันถึงวิธีการคลอดลูก และปกป้องฉันไม่ให้คนอื่นลากฉันไปอีกด้วย ช่างเป็นความฝันที่แปลกจริง ๆ” หลี่จวนพูดคำเหล่านี้ด้วยหน้าตาที่ไร้เดียงสา

ตอนนี้หลี่จวนก็ฟื้นขึ้นมา งานของฉันก็ถือว่าเสร็จสิ้น ทว่าตอนที่กำลังจะกลับ ฉันก็นำเรื่องที่หลิวหลงถิงบอกไว้ชี้แจงกับหวังหงฟัง ฉันบอกกับเขาว่าบ้านแม่สามีหลังนี้ไม่เหมาะสำหรับอยู่อาศัย ข้างในมีพลังงานชั่วร้ายแรงเกินไป ถ้าอาศัยอยู่นานไปกว่านี้จะทำให้เกิดความสูญเสียได้

เมื่อภรรยาฟื้นขึ้นมา อารมณ์ของหวังหงก็ดีขึ้นมาก เขาบอกฉันว่าเดี๋ยวเขาจะคิดเรื่องย้ายบ้าน และต้องขอบคุณจริงๆ ที่ฉันเรียกวิญญาณของภรรยาของเขากลับมาก่อนตรุษจีนได้ ขณะที่เขากำลังพูด มือหนาก็ยัดซองสีแดงซองหนึ่งให้กับฉัน ฉันลูบซองด้วยความรู้สึกว่าหนักใจเล็กน้อย เดิมทีฉันไม่อยากรับไว้ แต่หวังหงยิ้มและบอกให้ฉันรับมันไว้ แถมยังบอกว่าการทำงานแบบฉันมันดีมากเลย หาเงินได้มากกว่าเขาเสียอีก เขาแนะนำฉันว่าให้ทำธุรกิจนี้ต่อไป ถึงเวลานั้นแล้วอย่าลืมให้แบ่งส่วนแบ่งอะไรให้เขาบ้าง

ตอนแรกฉันสงสัยว่าเขาให้เงินจำนวนมากมายขนาดนี้กับฉันได้อย่างไร? แต่อาจจะเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันค่อนข้างกระทบจิตใจของเขา หากภรรยาปลอดภัยเขาก็ยอมทุ่มสุดตัว ฉันเลยเอาเงินใส่กระเป๋า แล้วตอบไปว่าขึ้นอยู่กับโชคตาในในอนาคตข้างหน้า

หวังหงชวนฉันไปกินข้าวเย็น กว่าจะกลับถึงบ้านก็ประมาณสามสี่ทุ่มแล้ว โชคดีที่ฉันโทรหาย่าก่อนจะกลับบ้าน คุณย่าก็เลยทานอาหารเย็นคนเดียวและเข้านอนไปแล้ว

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดที่หลิวหลงถิงพูดกับฉันเมื่อตอนกลางวัน ยังส่งผลกระทบต่อฉันหรือเปล่า เมื่อฉันไปที่สำนักเซียนเพื่อถวายเครื่องเซ่นไว้กับเยว่เทียนเซียง ฉันก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย ฉันกลัวว่าหลิวหลงถิงจะทำอะไรที่มันเกินเหตุกับฉันในสำนัก

แต่หลังจากที่ฉันถวายเครื่องเซ่นไหว้ให้กับเยว่เทียนเซียงเสร็จแล้ว หลิวหลงถิงก็ไม่ได้ปรากฏกายออกมา ซึ่งทำให้ฉันโล่งใจมาก ๆ หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันฉันก็ถอดเสื้อผ้าไปอาบน้ำแล้วเข้านอน

เวลาประมาณสิบเอ็ดโมงเช้า ฉันที่กำลังหลับอย่างไร้สติ กลับรู้สึกถูกรัดแน่นไปทั่วทั้งตัวจนสะดุ้งตื่นขึ้น ราวกับว่ามีอะไรมาพันรอบตัวฉัน ทำให้ฉันเจ็บปวดจนตัวสั่นเล็กน้อย

แต่ต่อให้ฉันจะตื่นแล้ว ก็ยังลืมตาไม่ขึ้นอยู่ดี เพราะตอนนี้ฉันง่วงมากจริง ๆ ในเมื่อลืมตาไม่ขึ้นแล้วฉันจึงหันพลิกตัวไปอีกด้านหนึ่งพลางหลับต่อ

เช้าวันรุ่งขึ้น ย่าเรียกฉันให้ตื่นไปกินข้าวเช้า หลังจากที่ฉันลืมตาขึ้น แสงแดดอันร้อนแรงที่นอกหน้าต่างก็ทำให้ม่านสว่างขึ้น แสงยามเช้าผสมกลิ่นงูอ่อน ๆ ตลบอบอวนไปทั่วทั้งห้อง ราวกับว่าเมื่อคืนนี้ฉันเลี้ยงงูไว้ในห้องอย่างนั่นแหละ

ทันใดนั้นฉันก็นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ คงไม่ใช่ว่าเมื่อคืนหลิวหลงถิงมาหาฉันนะหรอก! เมื่อคืนนี้เขาทำอะไรกับฉันหรือเปล่า?

ขณะนั่งรับประทานอาหารเช้ากับย่าอยู่ที่โต๊ะอาหาร คุณย่าก็ถามฉันว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น ท่านดูพอใจกับการกระทำของฉันมาก แล้วจู่ ๆ ก็ถามว่า “จิ้งจิ้ง เคยได้ยินเรื่องเทพแห่งขุนเขาวิวาห์ไหม?”

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status