Share

บทที่ 5 สวมตำแหน่งเครื่องเซ่นไหว้

“เทพภูเขาวิวาห์?”

นี่ไม่ใช่หนังในละครทีวีบางเรื่อง หรือเป็นเค้าโครงเรื่องเล่าบางเรื่อง ทำไมถึงยังมีเรื่องแบบนี้ในปัจจุบันอยู่อีก?

"ไม่เคยนะคะ มีแต่เคยอ่านในหนังสือ" ฉันตอบย่าไป

“เมื่อวานนี้ย่าลงไปคุยเล่นที่บ้านของย่าหลี่ที่อยู่ชั้นล่าง ย่าหลี่ของหนูบอกย่าเกี่ยวกับประเพณีแปลก ๆ ในบ้านเกิดของเธอ เธอพูดว่ามันเป็นประเพณีของพวกเขาที่ทุก ๆ สิบปีจะเลือกเด็กสาวที่อายุต่ำกว่าสิบสามปีให้แต่งงานกับเทพเจ้าแห่งขุนเขา เธอบอกว่าการแต่งงานนั่นจะสามารถปกปักรักษาพวกเขา และช่วยให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล อีกทั้งปราศจากโรคภัยและปราศจากภัยพิบัติ”

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันคงไม่เชื่อที่ย่าพูดอย่างแน่นอน เพราะคิดว่ามันเป็นงมงาย แต่ตอนนี้ฉันค่อนข้างเชื่อในไสยศาสตร์ เลยไม่ปฏิเสธเรื่องแบบนี้อีก ฉันยิ้มแล้วพูดกับย่าว่า “สิ่งต่าง ๆ พวกนี้ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสภาพอากาศที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แม้ว่าจะเป็นเทพเจ้าแห่งขุนเขา ถ้าสวรรค์ต้องการให้ฝนตกหรือให้มีโรคระบาด พวกเขาจะสามารถไปควบคุมได้อย่างไร”

“นั่นน่ะสิ เดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็ก้าวหน้าไปมาก คนที่ปลูกพืชผักผลต่าง ๆ ควรได้กำไรกันมากกว่านี้ แต่คนที่ขาดทุนก็ยังคงต้องขาดทุนอยู่มันยังค้ำ เมื่อก่อนทุกอย่างมันล้าหลัง ไม่มีเทคโนโลยีระดับสูง และครอบครัวก็ยากจน พอเลี้ยงลูกไม่ไว้ก็มอบให้เทพแห่งขุนเขาก็จบแล้ว แต่ตอนนี้ลูก ๆ แต่ละครอบครัวมีค่าดั่งทองคำ ใครจะอยากให้ลูกไปตายเปล่า ๆ กันล่ะ”

“แบบนั่นไม่ต้องถวายเครื่องเซ่นไหว้แล้วเหรอคะ?”

“ย่าก็ไม่รู้ แต่เทพเจ้าแห่งขุนเขาเข้าฝันคนในหมู่บ้านของย่าหลี่ โดยบอกว่าถ้าพวกเขาไม่เคารพสักการะบูชาต่อ เทพเจ้าแห่งขุนเขาจะทำให้ทุกคนในหมู่บ้านนี้ไร้ซึ่งลูกหลานสืบสกุล เมื่อก่อนคนในหมู่บ้านเคยระดมเงินเพื่อซื้อเด็กหญิงจากผู้ค้ามนุษย์ และส่งเข้าไปที่ภูเขาเพื่อแต่งงานกับเทพเจ้าแห่งขุนเขา ทว่าปัจจุบันนี้พวกค้ามนุษย์กำลังถูกจับกุมอย่างเข้มงวด เห็นว่าพวกย่าหลี่จะกลับไปที่นั่นในวันพรุ่งนี้ ย่าหลี่ของหนูกังวลเรื่องนี้มาก”

ในตอนแรกฉันก็คิดว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่ควรฟังหูไว้หูเท่านั้น แต่เมื่อได้ยินย่าบอกว่าตอนคนในหมู่บ้านซื้อเด็กผู้หญิงจากพ่อค้ามนุษย์ ฉันก็โกรธจนกินโจ๊กไม่ลง ฉันพูดกับย่าว่าจะมีชาวบ้านกับเทพเจ้าแบบนี้ได้อย่างไรกัน ถ้าเทพพระเจ้าองค์นี้ปกป้องความสงบสุขของผู้คน ท่านก็เป็นเทพที่ดี แต่ถ้าเขาฆ่าคน คนใสหมู่บ้านนั้นก็ไม่มีใครอาสาจัดการกับเทพเจ้าแห่งขุนเขาเลยเหรอ?

“เมื่อก่อนย่าก็ไม่กล้าถาม แต่ตอนนี้ย่าหลี่หลุดปากกับย่าว่าคนในหมู่บ้านของเธอก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกัน แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะหาคน ๆ นั้นได้จากที่ไหน และย่าก็พึ่งนึกออกว่าหลานพึ่งรับองค์มาไม่ใช่หรอ? ย่าอยากจะถามว่าหลานมีเทพที่เก่ง ๆ แนะนำบ้างไหม? ถือว่าเป็นการช่วยย่าหลี่และพวกเด็กหญิงตัวน้อยเหล่านั้นนะ”

เมื่อย่าถามเรื่องนี้มันก็ค่อนข้างจะทำให้ฉันลำบากเล็กน้อย ในตอนนี้คนที่ฉันเคยเห็นว่าติดต่อกับเทพได้ก็มีเพียงแม่หมออิงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นฉันก็อดไม่ได้ที่จะพิจารณาถึงตัวตนของเทพเจ้าแห่งขุนเขา ร่างทรงแบบพวกเราบางคนก็ไม่สามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างแน่นอน แต่ฉันจำได้ว่าหลิวหลงถิงดูท่าทางเหมือนจะมีการฝึกสมาธิอยู่บ้าง แล้วในครอบครัวก็ยังมีพี่น้องอีกหลายคน บางทีเขาอาจรู้จักปรมาจารย์อะไรอยู่บ้าง

ฉันตอบตกลงกับย่าไปก่อน แล้วบอกคุณย่าว่าก่อนอื่นฉันจะไปถามหลิวหลงถิงก่อนว่าเขาคิดเห็นอย่างไร ถ้าเขามีเทพที่พอจะติดต่อไปถึงได้ เขาอาจจะสามารถจัดการกับเทพเจ้าแห่งขุนเขาได้

ย่าได้ยินฉันพูดแบบนั้น ท่านก็ยิ้มกว้างจนย่นบนใบหน้าลึกขึ้น แล้วก็ชมเชยว่าฉันเป็นหลานสาวที่ดี จากนั้นท่านก็ปอกไข่ให้ฉัน พลางบอกให้ฉันกินเยอะ ๆ หน่อย

เมื่อเห็นย่ามีความสุขขนาดนี้ ฉันก็อบอุ่นใจไปด้วย ฉันรีบทานอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว พลันรีบหันหลังกลับไปที่สำนักทันที ฉันจุดธูปสองสามดอกไหว้หลิวหลงถิงเพื่อเชิญเขาออกมา

ตอนนี้ที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่เลย หลิวหลงถิงกลายเป็นงูขาวตัวหนึ่งค่อย ๆ เลื้อยออกจากแท่นบูชา มันม้วนตัวไว้อยู่บนเบาะเก้าอี้ แล้วพูดกับฉันว่าจริง ๆ แล้วแค่เขาก็สามารถจัดการกับเทพแห่งขุนเขาได้แล้ว ไม่ต้องไปเชิญผู้อื่น เพียงแค่ต้องการจะถามว่าฉันมีความเห็นอย่างไรบ้าง?

เดิมทีฉันยังคิดอยู่ว่าจะบอกเรื่องนี้กับหลิวหลงถิงยังไงดี ถึงอย่างไรตอนนี้ฉันก็ไม่ค่อยสนิทสนมกับเขานัก ถ้าต้องไปขอความช่วยเหลือจากเขาฉันก็คงต้องอ่อนน้อมถ่อมตนนิดหน่อย แต่ไม่คิดว่าเขาจะตอบคำถามที่ฉันอยากจะถามเขาออกตรง ๆ เองเลย มันทำให้ฉันอดที่จะชื่นชมหลิวหลงถิงว่าเขาน่าทึ่งไม่ได้

เมื่อหลิวหลงถิงได้ยินฉันพูดแบบนี้ เขาก็ยกหัวงูขึ้น แล้วเลื้อยลงมาจากเก้าอี้ พลันเคลื่อนตัวขึ้นมาตามแขนของฉันแล้วพันรอบคอไว้หลวม ๆ ดวงตากลมโตคู่หนึ่งมองจ้องมาที่ฉัน เขาพ่นลมหายใจออกมา แล้วพูดว่า “เรื่องที่เจ้ารู้ ส่วนใหญ่ข้าก็รู้เช่นกัน อีกอย่างมีแค่ผนังห้องที่ประตูปิดไม่สนิทกั้นเราเอาไว้ คิดว่าที่เจ้าพูดกับย่า ข้าจะไม่ได้ยินเลยเหรอ?”

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อมองดูลำตัวสีขาวสะอาดตาที่โอบรอบคอฉันอยู่ด้วยท่าทางเกียจคร้านแวบหนึ่ง กลับรู้สึกว่ามันดูน่ารักจริง ๆ แววตาของฉันที่มองเขาเปลี่ยนเป็นน่ารักน่าเอ็นดูขึ้นมาทันที ฉันขยับเข้าไปใกล้เขาด้วยความดีใจ “ฉันคิดว่าท่านไม่ได้ยินนี่หน่า แต่อีกฝ่ายก็เป็นเทพแห่งขุนเขา ไม่ใช่ว่าเทพแห่งขุนเขามีพลังมากหรอกเหรอ ท่านจะจัดการกับเขายังไง?”

ฉันพูดไปพลางยื่นมือออกไปแตะหัวเล็ก ๆ สีขาวของหลิวหลงถิงเบา ๆ หลิวหลงถิงเองก็ไม่ได้หลบ แต่เขากลับกดหัวให้แนบชิดกับมือบางมากกว่าเดิม แต่เขาอาจรู้สึกว่าคุยกับฉันแบบนี้ไม่สะดวก ก็เลยเปลี่ยนกลับมาเป็นร่างมนุษย์ยืนอยู่ข้างหน้า เขาหันหลังให้ฉันและมองออกไปนอกหน้าต่าง

“แต่ต่อให้เป็นเทพ โดยเฉพาะเทพแห่งขุนเขาหรือเทพแห่งสายน้ำ การที่พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่บนโลกมนุยษ์ได้นั้นเพราะความศรัทธาของมนุษย์ ยิ่งมนุษย์ศรัทธาในตัวพวกเขามากเท่าไหร่ พลังของพวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่ง ในทางกลับกัน ถ้ามีมนุษย์บอกว่าพวกเขาเป็นปีศาจ พวกเขาจะเป็นปีศาจ เมื่อชาวบ้านในที่นั้นหมดศรัทธาในเทพแห่งขุนเขาแล้ว เหล่าเทพแห่งขุนเขาจะถอดความเป็นเทพเจ้าออกไป และพอไม่มีกำลังความศรัทธา เขาเองก็เป็นจะผู้ฝึกตนเช่นเดียวกับข้า ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรามาลองดูกันก็ได้”

แต่ถึงอย่างไรก็ฉันที่ไปสู้กับเทพเจ้าแห่งขุนเขานั้น ฉันก็ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วหลิวหลงถิงมีพลังเก่งกาจมากแค่ไหน ดังนั้นฉันจึงไม่ได้ถามรายละเอียดมากนัก เพียงแต่ถามหลิวหลงถิงไปตรง ๆ ว่า “แล้วโอกาสที่ท่านจะสู้จะชนะเขาคือเท่าไหร่”

“น่าจะแปดสิบเปอร์เซ็นต์ได้ ข้าบำเพ็ญเพียรมามากกว่าเจ็ดร้อยปีแล้ว”

เมื่อหลิวหลงถิงพูดเช่นนี้ เขาก็เหลือบตามามองฉัน ดวงตะวันที่เพิ่งโผล่พ้นออกมาก็สาดส่องลอดผ่านช่องหน้าต่างกระจกตกกระทบกับร่างของเขา แสงสีทองตัดกันกับใบหน้าสีขาวผ่องดูหล่อเหลา ราวกับหยกขาวที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตบรรจง ยิ่งมองฉันยิ่งอยากสัมผัสที่ใบหน้าเขามากขึ้นเท่านั้น

และอยากถามว่าทำไมเขาถึงได้หน้าตาดีขนาดนี้

ตอนนี้ฉันรู้สึกโล่งใจไปบางส่วน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันยังอยากถามหลิวหลงถิงอยู่

“เมื่อคืนท่านมาหาฉันหรือเปล่า?”

“แล้วอย่างไร อยากถามว่าข้าทำสิ่งใดทำกับเจ้าน่ะหรือ?” หลิวหลงถิงยกคิ้วขึ้น พร้อมตอบอย่างง่าย ๆ และชัดเจน

ให้ตายสิ! ฉันแค่อยากถามหลิงหลงถิงว่าเขามาหาฉันเมื่อคืนนี้หรือเปล่า แต่คำตอบเชิงย้อนถามของเขามีเหตุผลมากเพียงพอ และมันทำให้ฉันรู้สึกอายเล็กน้อยที่จะพูดต่อ ฉันจึงไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีก พรุ่งนี้พวกเราจะกลับไปที่บ้านเกิดย่าหลี่พร้อมกับท่านเลย

หลิวหลงถิงมองที่ฉันพลันยกยิ้มที่มุมปาก เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่ก็ถือว่าเข้าใจไปโดยปริยาย ร่างสูงหายตัวไปจากที่เดิม ทิ้งไว้เพียงสัมผัสของแสงแดดยามเช้าสีทอง

ฉันนำคำพูดของหลิวหลงถิงไปบอกกับย่าแบบไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว ย่าจึงไปบอกข่าวดีกับย่าหลี่ที่ชั้นล่าง ย่าหลี่มาที่บ้านพร้อมของกำนัลหลายกล่อง และบอกว่าครั้งนี้ต้องลำบากฉันจัดการเสียแล้ว เมื่อวานท่านได้ยินจากย่าของฉันบอกว่าตอนนี้ฉันกลายเป็นสำนักเทพแล้ว ใจจริงท่านก็อยากชวนฉัน แต่ท่านกลัวว่าฉันเป็นมือใหม่อาจจะไม่สามารถรับมือกับมันได้ ท่านกลัวว่าจะเป็นการเอาฉันจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวแบบเสียเปล่า แต่ตอนนี้ฉันเสนอตัวช่วยเหลือท่านเอง แถมยังมีความมั่นใจอย่างมากขนาดนี้ ท่านจึงอยากจะขอบคุณฉันแทนพวกเด็กผู้หญิงที่เสียชีวิตไปแล้ว และขอบคุณฉันแทนผู้คนในหมู่บ้านของพวกท่านด้วย

ย่าหลี่เอ่ยคำขอบคุณจนฉันรู้สึกเกร็งไปหมด ในเช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่พวกเรานั่งรถบัสคันใหญ่กลับไปที่หมู่บ้านกับท่าน ฉันก็ถามย่าหลี่ว่าท่านแต่งงานออกมาตั้งนานแล้ว จริง ๆ ก็ถือว่าท่านไม่ใช่สมาชิกของหมู่บ้านอีกต่อไปแล้ว ทำไมถึงยังต้องกลับไปแก้ไขเรื่องนี้ด้วย?

เมื่อฉันถามท่านเกี่ยวกับสิ่งนี้ ย่าหลี่ก็ร้องไห้น้ำตาไหลออกมาทันที “หนีไม่พ้น มันหนีไม่พ้น คนในหมู่บ้านของเราเติบโตขึ้นมาจากการดื่มน้ำจากน้ำพุบนภูเขาของเทพแห่งขุนเขา เขาจำพวกเราทุกคนได้ พี่สาวของฉันคนหนึ่ง ได้รับเลือกให้บูชาเทพแห่งขุนเขาตั้งแต่ตอนที่เธอยังเป็นเด็ก เธอถูกผู้ใหญ่ลากขึ้นไปบนภูเขา และอดอาหารตายในวัดบนภูเขานั่น...”

ฉันไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน และนึกไม่ถึงว่าในสังคมยุคใหม่ที่มีอารยธรรมแล้ว ยังมีเรื่องล้าหลังและโหดร้ายแบบนี้อยู่อีก ย่าหลี่ร้องไห้อย่างเศร้าสร้อย แต่ฉันก็ไม่รู้จะปลอบท่านอย่างไรดี....

บ้านเกิดของย่าหลี่มันช่างห่างไกลเหลือเกิน เราเริ่มจากนั่งรถบัสคันใหญ่ แล้วก็เปลี่ยนมานั่งรถไฟ และก็เปลี่ยนมานั่งรถประจำทาง สุดท้ายพวกเราก็ยังต้องนั่งรถสามล้อสำหรับขึ้นเขาซึ่งมีระยะทางประมาณสิบกว่ากิโลเมตร ก่อนที่เราจะถึงหมู่บ้านที่มีชื่อว่า หมู่บ้านฉีผาน ด้านหลังหมู่บ้านมีภูเขาสูงใหญ่ทอดยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา

หมู่บ้านเป็นอย่างที่ฉันคิดไว้ไม่มีผิด บ้านเรือนดูทรุดโทรมจนหมดสภาพไปแล้ว ผู้คนที่อยู่ในหมู่บ้านก็เป็นคนชราในวัยแปดสิบเก้าสิบปีกันแล้วทั้งนั้น โดยส่วนใหญ่คนในหมู่บ้านนี้ก็เหมือนย่าหลี่ที่ได้ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแล้ว แต่เพราะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ไม่สามารถละเมิดได้ พวกเขาทุกคนจึงต้องรีบกลับมา

หัวหน้าหมู่บ้านเป็นชายสูงวันคนหนึ่ง ใบหน้าของเขาถูกลมภูเขาพัดใส่จนเกิดริ้วรอยร่องลึกอยู่หลายรอย ในมือของเขาถือกล้องยาสูบ เมื่อย่าหลี่บอกกับเขาว่าท่านพบคนที่จะจัดการกับเทพเจ้าแห่งขุนเขาได้แล้ว สีหน้าของเขาก็ยังเรียบนิ่ง แล้วตอบอืมกลับมาหนึ่งคำก็เป็นอันว่าตกลงแล้ว

วันนี้เป็นวันจัดงานเซ้นไหว้ หลังจากที่ฉันจัดการเรื่องที่หลับที่นอนเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ถามหลิวหลงถิงว่าเรามีวิธีอะไรที่จะสามารถจัดการกับเทพเจ้าแห่งขุนเขาองค์นี้ได้?

หลิวหลงถิงกลับไม่ฉายแววประหม่าเลยแม้แต่น้อย ร่างของเขาปรากฏขึ้นต่อหน้าฉัน พลางมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยสายตาที่ไม่จริงจังอะไร “ใช้เจ้าแทนหญิงสาวที่จะต้องถูกบูชา และถวายเป็นเครื่องเซ้นไหว้แด่เทพเจ้าแห่งขุนเขาไง”

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status