Share

บทที่ 9

ฉันยังเรียนไม่จบมหาลัยเลยนะ ไปให้ไปนัดบอดได้ยังไง? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีข้าราชการสักกี่คนที่ยังโสดอยู่ ต่อให้ในสมัยนี้ยังมีคนหนุ่มสาวที่เชื่อในโชคลาภ แต่มันก็หาเจอยากมาก หรือว่าฉันคงต้องไปหาลุงวัยสามสิบสี่สิบปีแล้วแต่งงานกับเขาแทน?

ความคิดนี้ช่างไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเลย แต่ไม่มีวิธีไหนที่ดีไปกว่านี้แล้ว ฉันจึงถามแม่หมออิงว่ามีอะไรบ้างที่จะให้ฉันทำต่อ?

เมื่อเห็นว่าฉันมีความตั้งใจอยากจะจัดการงานให้เธอ แม่หมออิงก็รีบก้มไปหากระดาษข้อมูลติดต่อสองสามใบในลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง แล้วบอกว่านี่เป็นสองสามบริษัทนี้ค่อนข้างเร่งด่วน แล้วก็ยังมีใบรายการส่งมาเมื่อเดือนที่แล้ว เธอไม่สะดวกออกไปข้างนอกจึงทำได้เพียงรบกวนฉันแทนเท่านั้น

ฉันพับข้อมูลเบอร์โทรศัพท์สองสามเบอร์ไว้ในมือ แต่ยังไม่ทันจะถามแม่หมออิงว่าเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งเหล่านี้ ที่ด้านนอกก็มีคนร้องเรียกหาแม่หมอเสียงดัง ส่วนแม่หมออิงก็ใช้เสียงโทนต่ำด่าด้วยท่าทีรำคาญ เธอไม่มีเวลาคุยกับฉันอย่างละเอียด แต่บอกให้ฉันโทรไปหาพวกเขาเหล่านั้นแล้วบอกว่าเธอเป็นคนที่ฉันส่งมา และตอนท้ายยังมอบงานให้ฉันอีกสองสามเรื่อง ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องที่เร่งด่วนมาก และบอกอย่ามั่วรอช้าอยู่ พูดเสร็จเธอก็ออกไปโดยไม่หันกลับมามองกันเลย

ที่แรกก็เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ฉันจึงอยากจะร่วมมือกับหลิวหลงถิงต่อไป ฉันตั้งหน้าตั้งตารอที่จะกลับบ้านเพื่อพักผ่อนสักสองสามวัน แต่ทว่ายิ่งไม่อยากทำก็ยิ่งมีรายการเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ

แต่ไม่เป็นไร ยังดีที่มีแค่สองรายการ ถ้าเกิดว่ามันราบรื่นไปได้ ก็ยังเสร็จทันก่อนปีใหม่

ฉันเก็บกระดาษสองแผ่นและกำลังจะออกเดินทาง ทันใดนั้นกลับรู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังจ้องมองมาที่ฉันอยู่ ฉันจึงหันไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว พลันเงาขนฟูนั้นก็หายไปก่อนที่ฉันจะมองเห็นได้ชัดเจน มันหายเข้าไปในกำแพงทันที

ตอนกลางวันแสก ๆ คงไม่ใช่ผีหลอกอะไรหรอก แต่บางทีก็อาจจะเป็นไปได้ โดยทั่วไปแต่ละครอบครัวจะมีเทพคอยคุ้มครอง จึงไม่น่าใช่ผีหลอก หรือว่าจะเป็นเทพสักองค์? หากเป็นเทพที่ต้องการอยากจะรู้จักกับฉัน ทำไมเขาถึงต้องแอบมองฉันอยู่แบบนี้ล่ะ?

ตอนนี้แม่หมออิงไม่มีเวลาต้อนรับฉัน และฉันก็ไม่ได้ออกไปหาเธอ เมื่อครู่อาจเป็นภาพหลอนก็ได้ ฉันจึงไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจอะไรมากมาย

หลังจากที่กลับถึงบ้าน อาจเป็นไปได้ว่าย่าลี่เล่าเรื่องงานของฉันให้ย่าฟัง ย่าจึงเตรียมอาหารให้ฉันจนเต็มโต๊ะไปหมด และชมว่าฉันช่างมีความสามารถจริง ๆ

เมื่อเห็นคุณย่ายิ้มอย่างมีความสุข ฉันก็แสร้งทำเป็นมีความสุขมากไปด้วย ถึงอย่างไรฉันก็ไม่อยากให้คุณย่ารับรู้เรื่องราวที่ไม่สบายใจระหว่างฉันกับหลิวหลงถิงหรอก ฉันไม่อยากให้ท่านเป็นห่วง

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จฉันก็นั่งเล่นอยู่บนโซฟา ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยได้ไปหาหลิวหลงถิงเลยเพราะฉันไม่อยากคุยกับเขา แล้วก็เพราะแม่หมออิงวานให้ช่วยทำงาน ซึ่งหลิวหลวถิงเองก็ไม่รู้เรื่องนี้ด้วย ฉันกลัวว่าถ้าเขาจะไม่เห็นด้วย และถ้าทำออกมาไม่ดีก็คงอาจจะโดนเขาด่ากลับมา

ย่ารบเร้าให้ฉันรีบเข้านอนแต่หัวค่ำอยู่หลายรอบ แต่ฉันมีเรื่องที่ฉันสัญญากับแม่หมออิงอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งฉันยังไม่ยอมตกลง จึงนอนอย่างไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ พลางคิดลังเลไปมาอยู่หลายรอบ ก่อนจะวางแผนว่าพรุ่งนี้ค่อยถามหลิวหลงถิงดูดีกว่า

ขณะที่ฉันกำลังจะลุกขึ้นเพื่อกลับห้องไปนอน จู่ ๆ ก็มีงูสีขาวตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งตกลงมาจากโต๊ะชาตรงหน้า งูสีขาวตัวเล็ก ๆ เงยหน้าขึ้นจ้องมองฉันด้วยดวงตากลมโต “เจ้ามีเรื่องอยากคุยกับข้าหรือ?”

เป็นหลิวหลงถิงจริง ๆ ด้วย

ฉันมองดูเขาอยู่พักหนึ่งแล้วนั่งลงอีกครั้ง “อืม ก็ใช่ วันนี้แม่หมออิงขอให้ฉันช่วยจัดการเรื่องสองเรื่อง มันเป็นเรื่องที่เร่งด่วนมาก ฉันอยากจะถามท่านว่า ไม่กี่วันหลังจากนี้ท่านจะพอมีเวลาบ้างไหม?”

งูน้อยเลื้อยขึ้นมาจากพรม แล้วพันที่ขาของฉันเรื่อยมาถึงหัวเข่า “ข้ามีเวลาตลอด แต่ว่าหญิงชราคนนั้นเป็นร่างทรงฝ่ายขุนนาง ทำไมถึงต้องรับงานร่างทรงฝ่ายขุนพลมาด้วย?”

คำพูดของหลิวหลงถิงทำให้ฉันเกิดความสงสัยเล็กน้อย “ร่างทรงฝ่ายขุนนางกับร่างทรงฝ่ายขุนพลคืออะไร?”

"ร่างทรงฝ่ายขุนนางก็คือเป็นร่างทรงที่ดูดวงอยู่ที่บ้านไม่ต้องออกไปรับจ้างข้างนอก เพียงรอคนอื่นมาหาถึงหน้าประตูก็พอ ส่วนร่างทรงฝ่ายขุนพลจะทำหน้าที่เหมือนพวกเรา ที่ต้องออกไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยผู้คนกำจัดภัยพิบัติและขับไล่วิญญาณชั่วร้าย”

นั่งอยู่ที่บ้านก็สามารถช่วยดูดวงให้คนอื่นได้? สำหรับผู้หญิงที่ชอบนอนอยู่บ้านแบบฉันแล้วมันคือข่าวดีจริง ๆ ฉันค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย พลันพูดกับหลิวหลงถิงว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราสามารถเป็นร่างทรงเฝ้าสำนักได้ไหม? ต่อไปพวกเราก็สามารถอยู่บ้านจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้โดยไม่วิ่งที่ไหนแล้ว!”

งูน้อยส่ายหางขาว ๆ ไปมา “เราทำแบบนั้นไม่ได้ ทุกคนมีงานเป็นของตัวเอง ครอบครัวเทพที่เลือกให้มาจุติก็มีการแบ่งงานด้วย ใครถนัดด้านอะไรก็จะทำด้านที่เขาถนัด แสดงว่าครอบครัวของหญิงชราคนนั้นเป็นม้าทรงที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษในตระกูลเทพที่ถนัดสร้างสำนัก เพื่อรักษาโรคหยินและหยาง ร่างประทับประเภทนี้จึงสามารถอยู่ที่บ้านได้ แต่ข้าถนัดการวาดเครื่องรางขับไล่วิญญาณร้าย จำเป็นต้องวิ่งไปทั่วทุกที่ และทั้งนี้ทั้งนั้น อีกหน่อยเมื่อเจ้าได้สัมผัสกับอาชีพนี้นานขึ้นก็จะรู้จักสายงานอื่น ๆ ในวงการนี้อีกเยอะแยะมากมาย เช่น ผู้ที่ดูฮวงจุ้ย ดูดวงเรื่องฤกษ์มงคลและอื่น ๆ เป็นต้น แต่ละสายงานจะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ก่อนหน้านี้หญิงชรายังยึดถือเคารพทำตามหน้าที่ แต่คราวนี้ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดทำอะไรอยู่”

ฟังคำพูดของหลิวหลงถิงอาจหมายถึงเรื่องที่แม่หมออิงได้เกินเลยงานที่อยู่ในหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบแล้ว และยังมายืมมือฉันอีก ดังนั้นฉันจะถามหลิวหลงถิงไปอีกครั้งว่า ถ้างั้นครั้งนี้เราจะช่วยเธอได้ไหม?

“ในเมื่อนางขอร้องให้เจ้ามาช่วยแล้ว ข้อตกลงทั้งสองนี้จะถูกบันทึกไว้ในชื่อของเธอ ก็ถือว่าเป็นของขวัญตอบแทนเธอสำหรับบุพเพสันนิวาสของพวกเราสองคน”

ฉันไม่ได้คาดคิดว่าวันนี้หลิวหลงจะพูดได้ดีขนาดนี้ แต่ก็เพราะเขาพูดได้ดี อารมณ์ขุ่นมัวของฉันจึงลดลงไปมากโข หลังจากที่เราพูดธุระเสร็จ ฉันกลับไม่รู้ว่าจะหาหัวข้อสนทนาอะไรที่จะพูดคุยกับเขาได้เลย อากาศรอบ ๆ เงียบเชียบจนรู้สึกอึดอึดขึ้นมานิดหน่อย

ฉันกำลังคิดว่าจะพูดอะไรเพื่อทำลายบรรยากาศ แต่จู่ ๆ หลิวหลงถิงก็พูดกับฉันว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ต่อไปถ้าเจ้าไม่ยินยอม ข้าก็จะไม่บังคับเจ้าแล้ว แต่ถ้าเจ้าต้องการขึ้นมาล่ะก็ เจ้าก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ ข้าจะอยู่ที่นั่นตลอดเวลา”

ก่อนหน้านี้ฉันยังหงุดหงิดเรื่องนี้มาก แต่เมื่อเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง มันทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาแค่กำลังทำทุกอย่างให้กลับมาเป็นปกติมากที่สุด อย่างเช่น กินข้าวดื่มน้ำด้วยกัน แต่กลับเป็นฉันที่รู้สึกค้างคาใจกับเรื่องนี้จนไม่สามารถปล่อยให้มันผ่านไปได้ ฉันไม่รู้จะตอบหลิวหลงถิงอย่างไรดี จะพยักหน้าก็ไม่ใช่ ส่ายหัวก็ไม่ถูก จึงได้แต่พูดว่าอืมอย่างอึดอัดใจ ถือว่าฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูดแล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้นฉันต่อสายโทรหาหนึ่งในหมายเลขบนกระดาษโน้ต ชื่อของเขาคือหม่าเจี้ยนกั๋ว คนที่รับสายนั้นเป็นชายวัยกลางคน เมื่อได้ยินฉันพูดว่าเป็นคนที่แม่หมออิงส่งมา ทันใดนั้นปลายสายก็ส่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างดีใจ และบอกฉันว่าแม่หมออิงเป็นพระโพธิสัตว์ที่คอยช่วยมนุษย์ในยามทุกข์ยากจริง ๆ ถ้าเกิดว่าเธอไม่ยอมโทรกลับหาเขา ครอบครัวของเขาก็คงจะพังพินาศกันทั้งหมด!

“ถ้างั้นคุณพูดมาก่อนว่ามันคือเรื่องอะไร หลังจากที่ฉันรู้สถานการณ์แล้ว ฉันจะได้เตรียมพร้อมและเดินทางออกไปทันที” ฉันบอกกับชายคนนั้น พร้อมเปิดลำโพงเพื่อให้หลิวหลงถิงได้รับรู้เรื่องนี้ด้วยกัน

หม่าเจี้ยนกั๋วกลั้นหายใจเล็กน้อยแล้วเริ่มพูดว่า “เหตุการณ์นี้เริ่มต้นเมื่อหกสิบปีก่อน ในเวลานั้นชายชราในบ้านของเรา ซึ่งก็เป็นปู่ของผม ท่านเดินทางไปยังพื้นที่รกร้างว่างเปล่าเพื่อตัดหญ้ามาให้หมู เมื่อขว้างเคียวออกไป ก็บังเอิญเห็นงูดำสองตัวที่กำลังแอบผสมพันธุ์กันอยู่ในทุ่งหญ้า ตอนนั้นปู่อารมณ์ไม่ดี ท่านจึงถ่มน้ำลายใส่งูสองตัว และด่าทอว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานทำอะไรไม่รู้จักละอายใจ แล้วก็มัดหญ้ากลับมาบ้าน ใครจะไปรู้ว่าประโยคนี้จะทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่กับครอบครัวของผม”

พอฟังเรื่องที่หม่าเจียนกั๋วพูด จู่ ๆ ก็ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องของตัวเองกับหลิวหลงถิง หลิวหลงถิงบอกว่าพ่อแม่ของฉันฆ่าภรรยาของเขา เพื่อให้ฉันได้อยู่ในท้องแม่ต่อไป แต่ปู่ของหม่าเจียนกั๋วเพียงแค่ถ่มน้ำลายและด่าทอด้วยพูดแย่ ๆ การแก้แค้นก็คงจะไม่รุนแรงมากนัก ถึงอย่างไรหลิวหลงถิงก็แค่ทำให้พ่อแม่ของฉันหย่าร้างกันและให้ฉันเป็นร่างประทับทรงของเขา

“แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นอีกเหรอคะ?” ฉันถามหม่าเจี้ยนกั๋ว

“ต่อมา สมาชิกในครอบครัวของผมสามคนก็ถูกงูสองตัวนั้นกัดตาย และอีกสองคนก็บ้าคลั่ง เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากปู่กลับมา อยู่ ๆ ย่าของผมก็เสียสติขึ้นมา ท่านถอดเสื้อผ้าออกหมดทั้งตัวแล้ววิ่งไปทั่วหมู่บ้าน พร้อมพ่นคำหยาบคายเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์เหล่านั้นออกมาอย่างต่อเยื่อง และยังพูดว่าจะแก้แค้นครอบครัวเราทั้งครอบครัว ทว่าพอท่านพูดจบก็วิ่งชนกำแพงจนเสียชีวิต พี่สาวคนรองกับพี่ชายคนโตไปมีชู้ พอทั้งคู่ตื่นขึ้นมาก็บ้าไปเลย ส่วนพ่อของผมตายแล้ว ลุงของผมก็ตายไปเมื่อสองปีแล้ว แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้งูสองตัวนั้นก็มาเข้าสิงลูกสาวผมโดยบอกว่าต้องการทำให้ครอบครัวผมพังพินาศ! แม่หมอ ได้โปรดช่วยครอบครัวของเราด้วย!”

เมื่อหม่าเจียนกั๋วพูดเช่นนี้ ฉันก็ตะลึงไปชั่วขณะหนึ่งเลยจริง ๆ ฉันช็อคจนพูดอะไรไม่ออก เป็นเพราะการกระทำที่ไม่ดีของชายชราคนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าคนทั้งครอบครัวจะต้องมาประสบกับการแก้แค้นอันแสนสาหัสขนาดนี้!

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status