Share

บทที่ 13 เขียนยันต์

“ก็ใช่สิ! ทำไมเหรอ?”

เมื่อฉันเปล่งประโยคนี้ออกมาจากปาก ก็เหลือบไปมองหลิวหลงถิงที่หน้าตาเรียบเฉย มันทำให้ฉันรู้สึกกังวน ถ้าหลิวหลงถิงสังเกตเห็นอะไรบางอย่างและรู้ว่าฉันรับข้อตกลงกับเทพแห่งขุนเขาที่จะกำจัดเขา และถ้าเทพแห่งขุนเขาตายฉันก็ต้องตาย ใครกันจะเมตตาคนที่หมายจะเอาชีวิตตัวเอง

ในเวลานี้ ฉันรู้สึกเสียใจกับข้อตกลงที่ให้ไว้กับเทพแห่งขุนเขา อันที่จริงการได้อยู่กับหลิวหลงถิง แม้ว่าจะหนื่อยไม่ค่อยสะดวกสบายแต่ก็รู้สึกดี และแม้ว่าเขาจะบังคับให้ฉันทำเรื่องอย่างว่า ฉันก็ยังพอใจกับมัน แล้วทำไมฉันต้องฆ่าเขาด้วยล่ะ?

“เขาเจอฉัน” เอ่ยปากตอบหลิวหลงถิง

“เธอไม่มีอิทธิฤทธิ์ ทำไมถึงจัดการกับเขาได้?” หลิวหลงถิงถามกลับ

ถึงตอนนี้ ถ้าฉันสารภาพผิดไปก็ไม่ดี ไม่สารภาพไปก็ไม่ดี ฉันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงตอบกลับเขาไปว่า “ฉันไม่ได้จัดการเขาเอง มีคนหนึ่งมาช่วยฉันไว้ เขาบอกให้ฉางชุยหงกลับไปช่วยสามีตัวเอง จากนั้นเขาก็จากไป”

ฉันคิดในใจว่าหลิวหลงถิงต้องถามฉันแน่ ๆ แต่แล้วหลิวหลงถิงก็ไม่ได้ถามว่าคนที่ช่วยฉันคือใคร? กลับบอกให้ฉันโทรหาแม่หมออิงว่าเรื่องนี้จบแล้ว ให้เขาเก็บรายงานไว้เอง และเมื่อกลับถึงบ้านเขาจะสอนฉันเขียนยันต์เพื่อใช้ป้องกันตัวในยามหน้าสิวหน้าขวาน

ฉันมองหลิงหลงถิงด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าเขายังเป็นห่วงฉันอยู่ด้วยหัวใจที่อบอุ่น ฉันรีบรับปาก โดยคิดว่าถ้าหาเวลาได้จะรีบยกเลิกข้อตกลงนี้ ใจของฉันก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดกับหลิวหลงถิงอีกแล้ว

เมื่อกลับถึงบ้าน คุณย่าออกมาต้อนรับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ตั้งแต่ฉันได้รับเลือกให้เป็นร่างทรงคุณย่าก็ดูดีอกดีใจ แล้วดึงฉันนั่งลงบนโซฟา สีหน้าคุณย่าจากยิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นดูกังวลใจพลางพูดกับฉันว่า คุณย่าหลี่ชั้นล่างบอกว่าเธอขอบคุณฉันที่หาทางแก้ปัญหาให้หมู่บ้านพวกเขาได้ จึงส่งของขวัญมาให้หลายกล่อง

ใต้กล่องของขวัญมีเงินสดวางอยู่หลายก้อน จะคืนเขาไปคงไม่ได้ ย่าหลีบอกว่าเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของชาวบ้านในหมู่บ้านและหวังว่าฉันจะไม่รังเกียจ

ฉันที่กำลังจะถามคุณย่าว่ามีอยู่เท่าไหร่ ถ้าเงินจำนวนน้อยก็รับให้รับไว้ ทว่าคุณย่าเอาแต่จ้องหน้าตอนฉันจะพูด ยังไม่ทันเอ่ยปาก จู่ ๆ คุณย่าก็จับหน้าฉันแล้วพูดว่า “เงียบ ๆ ไม่เห็นหน้ามาสองวัน หน้าหลาน…”

ฉันรีบเอื้อมมือขึ้นสัมผัสใบหน้า “หน้าหนูเป็นอะไรคะ?”

“ทำไมถึงมีไฝเยอะจัง!”

ไฝ? เป็นไปไม่ได้ ผิวหน้าฉันออกจะดีขนาดนี้ สิวก็ไม่ค่อยเป็น จะมีไฝได้อย่างไรกัน? หรือเพราะว่าสิ่งสกปรก?

ฉันรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำเพื่อส่องกระจกและล้างหน้า เมื่อมองตรงไปยังกระจก ปากของฉันมีไฝขนาดเท่ากับเม็ดงาห้าหกเม็ด ไม่เพียงแต่ที่ปาก บนใบหน้าก็มีและที่ใหญ่สุดเห็นจะเป็นไฝเม็ดที่อยู่ข้างหู ใหญ่เท่ากับครึ่งหนึ่งของเล็บเลย!

ฉันรีบล้างด้วยโฟมล้างหน้าแต่ก็ล้างไม่ออก แถมยังใช้ที่ขัดผิวถูไม่ออกอีก เมื่อสองวันก่อนตอนที่ไปบ้านหม่าเจี้ยนกั๋วหน้าก็ยังดีอยู่เลย แต่ทำไมกลับมาถึงกลายเป็นเช่นนี้!

เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นกลอุบายของหม่าเจี้ยกั๋ว หรือว่าหลิวหลงถิงเป็นคนทำ?

ตอนที่เพิ่งกลับมา หลิวหลงถิงก็เข้าห้องโถงเซียนแล้ว จะไปถามเขาก็คงไม่ดี ดีเลยอย่างไรฉันก็ต้องรายงานผลให้กับแม่หมออิงรับทราบ งั้นโทรหาแม่หมออิงถามเขาด้วยเลยว่าหน้าฉันเป็นอะไร?

ทันทีที่รับสาย แม่หมออิงก็พูดกับฉันด้วยความตื่นเต้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ลูกสาวคนโตป๋ายจิ้ง ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเหรอ?”

“อะไรจะเร็วขนาดนั้นคะ หลิวหลงถิงให้แจ้งคุณว่า ตอนนี้คุณอยู่บ้านพักผ่อนสักหน่อยเถอะคะ คาดว่าอีกสองวันทุกอย่างจะเรียบร้อย”

เมื่อฉันพูดจบก็เอ่ยปากถามแม่หมออิงด้วยความสงสัยว่า “ว่าแต่คุณไม่ได้นั่งอยู่ในห้องโถงเซียนหรอคะ? ทำไมคุณถึงรับคำสั่งจากห้องโถงเซียน? ฉันเพิ่งได้รับเลือกเป็นร่างทรง คุณไม่กลัวว่าฉันจะทำมันพังเหรอคะ?”

เมื่อฉันพูดเช่นนี้ ดูเหมือนแม่หมออิงจะประหม่าเล็กน้อยพลางพูดกับฉันสองสามคำว่าเธอมั่นใจในศักยภาพของฉัน หลังจากนั้นก็ชวนเปลี่ยนเรื่อง แต่ด้วยท่าทีที่น่าสงสัยบวกด้วยน้ำเสียงของเธอนั้น “นี่ไม่ใช่เพราะคุณหรอกเหรอ? คุณยังโทษฉัน คุณยิ่งรับคำสั่งมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งสมความดีได้เร็วเท่านั้น ได้รับคำสั่งมาตั้งหลายครั้ง คุณรู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ?”

ไม่มีความรู้สึกใด ๆ ออกมาจากปากแม่หมอ แต่หลังกลับมาจากเถียหลิง ไฝจำนวนมากก็ขึ้นมาบนใบหน้าก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

เมื่อแม่หมออิงได้ยินว่าฉันมีไฝขึ้นที่ใบหน้า ก็แสดงอาการประหลาดใจ “ที่จริงก็คือ ไฝที่อยู่บนร่างกายของร่างทรงนั้นบ่งบอกถึงความผิดปกติ เนื่องจากเสียเลือดมากหรือไม่ก็ร่างกายขาด

บางสิ่งบางอย่างไป ไฝคือตัวเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย เช่นเดียวกับเด็กที่ขาดแคลเซียม”

ตอนที่ฉันอยู่ที่เทียหลิงก็ไม่ได้ก่อเรื่องอะไร จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะเสียเลือดมาก อีกอย่างฉันก็ไม่เคยได้ยินว่าถ้าร่างกายขาดอะไรไปแล้วจะมีไฝขึ้น!

“ใช่แล้ว ลูกงูของหลิวหลงถิงยังอยู่ในท้องเจ้าหรือเปล่า?” แม่หมออิงเอ่ยถามทันที

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ฉันก็รู้สึกฉุนเฉียวพร้อมน้ำเสียงที่ไม่พอใจเท่าไหร่ “ยังอยู่สิค่ะ เขาปฏิเสธที่จะเอาผีพวกนี้ออกไป ตอนนี้ท้องหนูก็ใหญ่ขึ้นไม่รู้ว่าถ้าโตไปมากกว่า หนูจะต้องใส่เสื้อผ้าอย่างไร”

แม่หมออิงไม่ได้สนใจที่ฉันพูดเรื่องจะใส่เสื้อผ้าอย่างไร แต่กลับบอกฉันว่า “เจ้าไปหาหลิวหลงถิงซะ แล้วให้เขาให้พลังวิญญาณกับเจ้า ในท้องเธอคืองู มันต่างสายพันธ์กัน งูน้อยเหล่านี้เมื่อโตขึ้นก็ต้องการพลังวิญญาณเช่นเดียวกัน หลิวหลงถิงไม่ม่ความรับผิดชอบต่อเจ้าเลย เจ้าต้องสื่อสารกับเขาให้มากขึ้น เพราะถ้าเซียนกับร่างทรงไม่ร่วมมือกัน คนที่ลำบากจะเป็นเจ้าเอง”

เนื่องจากแม่หมออิงไม่ได้เตือนฉันว่าการท้องงูไม่ดีตรงไหน ตอนแรกก็อยากจะอาเจียนอยู่ แต่ดันถูกแม่หมออิงสอนวิธีแก้ปัญหา ทำให้ฉันต้องข่มใจวางสายด้วยความหดหู่ และเดินตามคุณยายไปดูเงินในกระเป๋า ใต้กระเป๋ามีธนบัตรสีแดงกองเรียงกันประมาณหกหมื่น

เกือบหกหมื่นเลยนะ น่าสงสารเทพแห่งขุนเขา หลังจากบางสิ่งร่วงหล่นลงไปมันก็ดูไร้ค่า

ฉันบอกคุณยายให้เก็บไว้เพียงครึ่งเดียว ที่เหลือสามหมื่นนั้นให้นำไปบริจาคให้พื้นที่ประสบภัยหรือเด็กไร้ยากหรืออะไรก็ได้

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ฉันติดต่อไปหาอีกครอบครัวหนึ่งที่ไปหาหลิวหลงถิงเพราะกำลังเดือดร้อน ฉันถามเขาเกี่ยวกับเวลาออกเดินทาง รวมถึงเรื่องที่หลิวหลงถิงพูดบนรถกับฉันว่าจะสอนเขียนยันต์ สิ่งนี้สามารถช่วยชีวิตได้ ตอนเรียนอาจจะมีมุขตลก เพื่อไม่ให้ยืนทื่อเหมือนไม้แขวนเสื้อโง่ ๆ เวลาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร!

ฉันสวมหน้ากากและไปที่สำนักเทพเพื่อคุยกับหลิวหลงถิงเพื่อเรียนรู้การเขียนยันต์ ไม่ว่าอย่างไรฉันก็ไม่อยากให้หลิวหลงถิงเห็นฉันในสภาพที่น่าเกลียดเช่นนี้

หลิวหลงถิงดูผ่อนคลายมาก เมื่อฉันเข้าไปในห้องโถงเซียน เขากลายร่างเป็นงูขาวที่กำลังสูดควันอยู่ข้างกระถางธูป พลันเห็นฉันก็กลายร่างกลับมาเป็นคนและไม่ได้สังเกตุว่าฉันสวมหน้ากากอยู่ เขาให้ฉันเตรียมเครื่องเขียนกับหมึก การเขียนยันต์ต้องใช้พู่กัน อันที่จริงตัวยันต์ก็ไม่ได้มีหน้าที่อะไรมาก ที่ได้ผลดีที่สุดจริง ๆ แล้วคือคาถาอาคมที่ท่องไว้ในยันต์ คาถายิ่งแรงมากเท่าไหร่ยันต์ที่เขียนก็จะมีพลังมากเท่านั้น รอให้ฉันระดับสูงกว่านี้ก่อนเขาคงจะเริ่มสอนคาถาอาคมฉัน

ถึงแม้ว่าจะได้เรียนคาถาภายหลัง แต่ยันต์นี่ก็เขียนยากเหมือนกันนะ หลิวหลงถิงวาดลายแปลก ๆ เจ็ดแบบบนกระดาษสีขาวแล้วให้ฉันวาดตาม

อย่าว่าแต่วาดภาพตามเลย ฉันแค่หยิบพู่กันขึ้นมามือก็เริ่มสั่นแล้ววาดมันลงไป ภาพที่บิดเบี้ยวทำให้หลิวหลงถิงดูไม่ได้ เขาจึงขยับมายืนอยู่ข้างหลังฉัน มือข้างหนึ่งค้ำโต๊ะไว้ ส่วนอีกข้างก็เอื้อมมาจับพู่กันในมือฉัน พลางเอ่ย “เธออย่าบีบแรงนัก จับเบา ๆ หน่อย ไม่ต้องเกร็งแล้วมันจะราบลื่นขึ้นเยอะ”

ในท่าทางเช่นนี้ หน้าหลิวหลงถิงเกือบจะแตะกับศรีษะฉัน ลมหายใจเขากระทบที่ใบหน้าฉัน ก็ไม่รู้ว่าฉันคิดมากไปเองหรือว่ามีกลิ่นจาง ๆ ออกมาจากปากเขา เมื่อได้สูดมันเข้าไปก็ทำให้รู้สึกงุนงง

หลิวหลงถิงจับมือฉันเขียนคำว่า “ห้าม” ลงบนกระดาษอย่างราบรื่น เมื่อฉันมองไปบนกระดาษที่มีหมึกสีดำ ก็ทำให้นึกขึ้นได้ถึงตัวอักษรบนหน้าฉัน พูดกับหลิวหลงถิงว่า “มหาเซียนหลิว นายให้พลังวิญญาณแก่ฉันได้ไหม?”

เพียงแค่หลิวหลงถิงให้พลังวิญญาณแก่ฉัน ไฝบนหน้าฉันก็คงจะหายไปสินะ?

“เธออยากได้ตอนนี้หรอ?” หลิวหลงถิงหยุดจับปากกาในมือฉันพลางเลิกคิ้วขึ้นแล้วถามฉัน

“ใช่สิ อยากได้สิ”

หลังจากพูดจบ หลิวหลงถิงก็ยื่นมือมาถลกกระโปรงฉันขึ้น แล้วกอดฉันจากข้างหลังจนตัวติดแนบชิดอยู่กับเขา “นี่คือคำต้องห้าม หน้าที่ของมันคือสามารถปิดกั้นการเข้าออกของบางสิ่งบางอย่างได้ และสามารถดักจับได้ด้วยเช่นกัน ถ้าฝึกฝนเยอะ ๆ หน่อย อีกไม่นานก็เป็นแล้ว ถ้ายังทำไม่ได้ วันนี้เธอก็ไม่ต้องออกไปไหน”

หลังจากที่หลิวหลงถิงพูดเรื่องนี้จบ เขาก็จดจ่ออยู่กับเรื่องตัวเองด้วยสถานการณ์เช่นนี้มันกำลังจะทำให้ฉันบ้า ต้องเขียนต่อเนื่องกันหลายชั่วโมง ถึงจะเขียนให้เขาพอใจได้

เมื่อหลิวหลงถิงค่อนข้างพอใจ ฉันเองก็กลัวว่าคุณย่าจะเข้ามาเห็นความน่าอายนี้ จึงรีบไปหยิบไม้ถูพื้น แล้วถามหลิวหลงถิงด้วยอาการหน้าแดงว่า ฉันได้ติดต่อครอบครัวที่สองที่กำลังเดือดร้อนไปแล้ว เราควรจะเดินทางไปกี่โมงดี

ขณะที่หลิวหลงถิงเห็นฉันกำลังจะถูพื้นก็ได้เอื้อมมือดึงไม้ถูพื้นออก แล้วพูดกับฉันว่าเวลาไหนก็ได้ แต่คราวนี้เขามีธุระต้องกลับบ้านสักพัก อาจจะกลับมาปีหน้า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเกรงว่าจะเหลือแค่ฉันคนเดียว

คนเดียวหรอ? ฉันคนเดียวคงได้แค่ยืนเกรงอกเกรงใจคนอื่นอย่างโง่ ๆ แล้วก็ทำไม่เป็นอะไรสักอย่าง!

เมื่อเห็นสีหน้าวิตกกังวลของฉันแล้ว หลิวหลงถิงจึงยื่นมือมาจับที่คางมองซ้ายมองขวา พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งว่า “คราวนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยที่เธอรับมือได้อยู่แล้ว ไม่งั้นฉันจะไม่บังคับเธอเรียนเขียนยันต์ต้องห้ามหรอก”

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status