“กรรณิกา... ยั้งก่อนได้หรือไม่” ฝ่ายนั้นอ้อนวอน กรรณิกาอัปสรบังเกิดความรู้สึกแปลกพิกลขึ้นในใจ หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตาท้าวไกรสิงห์ สีหน้าของเขาในยามที่หล่อนปรนเปรอนั้นดูไม่เหมือนท่าทีในยามปรกติ ดวงตาสีชาดนั้นจดจ้องดวงหน้าแลทุกอากัปกิริยาของนางอย่างคลั่งไคล้
“... เหตุใดถึงมองด้วยสายตาเช่นนั้น” เพราะอดีตเคยอยู่ในโลกสมัยใหม่ กรรณิกาอัปสรโพล่งถามออกมาตามตรง หล่อนเพียงต้องการความคิดเห็นกับการบำเรอในคราวนี้ “มิพึงใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าคะ?”
“ก็มิเท่าใดนัก” หากแต่เพราะเป็นบุตรชายคนเดียวเลยถูกเลี้ยงดูมาให้เป็นนักรบ ไม่อาจบอกความรู้สึกหวั่นไหวของตนเองไปตามตรง ท้าวไกรสิงห์หลบสายตาหล่อนพลางพูดจารอนใจสาวโดยมิรู้ตัว
“ท่านมิชอบ... กระนั้นหรือเจ้าคะ?” สายตาของนางหลุบมองต่ำอย่างละอาย เป็นเมียที่สุวรรณราพณ์มิรักยังมิพอ พอจักปรนเปรอใครใหม่ ก็ช่างทำได้ห่วยบรมจนอีกฝ่ายต้องบอกว่าไม่เท่าใดนัก
“มิใช่มิชอบใจ หากแต่...” เมื่อเห็นว่าดวงหน้าหวานหมองเศร้า ดวงใจครุฑหนุ่มก็อ่อนยวบ เขาติดนิสัยชอบใจอ่อนกับสิ่งสวยงามที่หมายตาครอบครอง กายกำยำค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้นมา เอื้อมฝ่ามือหนาสัมผัสผิวแก้มขาวผสมชมพูอย่างคนหน้าขึ้นส