5 回答
ความลุ่มหลงใน 'ชลล์' ทำให้หลายคนสงสัยว่าคุ้มค่ากับเวลาหรือเปล่า ตัวฉันเองติดตามตั้งแต่ตอนแรกจนจบด้วยความรู้สึกว่ามันเป็นผลงานที่ลงตัวในหลายด้าน ภาพสวยจับตา พากย์เสียงทรงพลัง และพล็อตเรื่องที่ค่อยๆ คลี่คลายอย่างมีชั้นเชิง
สิ่งที่โดดเด่นคือการนำเสนอธีม 'การเติบโต' ผ่านตัวเอกที่ไม่ได้แข็งแกร่งแบบฉับพลัน แต่ค่อยๆ ก้าวผ่านความอ่อนแอด้วยความมุ่งมั่น เสียงเพลงประกอบก็เสริมอารมณ์ได้เหมาะเจาะจนบางทีฟังไปน้ำตาจะไหลโดยไม่รู้ตัว แน่นอนว่ามีบางตอนที่节奏ช้าไปหน่อย แต่โดยรวมถือว่าคมในรายละเอียดทุกมิติ
ถ้าให้เลือกระหว่างอนิเมะแนวsupernaturalทั้งหลาย 'ชลล์' น่าจะติดลิสต์ท็อปของฉันเลยล่ะ ไม่ใช่แค่เพราะแอนิเมชั่นระดับ cinema quality แต่เพราะวิธีที่ผู้สร้างเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร มันเต็มไปด้วยความเปราะบางและจริงใจ เหมือนเราได้เห็นจิตวิญญาณของพวกเขาค่อยๆ เติบโตไปพร้อมกัน
ฉากแอ็คชั่นก็ดุดันไม่แพ้กัน แสง สี เงาที่ใช้สื่ออารมณ์ต่าง ๆ ทำได้สมจริงจนบางครั้งลืมไปว่าเป็นแอนิเมชั่น ข้อเสียเพียงอย่างเดียวอาจเป็นการที่ต้องใช้ความอดทนในบางอาร์คที่ยาวเกินจำเป็น แต่รับรองว่าความพยายามจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
สำหรับคนที่ชอบอนิเมะลึกซึ้งแบบ 'ชลล์' นี่คือขุมทรัพย์ทางอารมณ์จริงๆ ตัวละครแต่ละคนถูกพัฒนามาอย่างดีจนแทบจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความเจ็บปวดของพวกเขา แม้แต่ตัวร้ายก็มีเบื้องหลังที่ทำให้เราเห็นใจได้
เทคนิคการเล่าเรื่องแบบ non-linear บางช่วงช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้พล็อตหลัก อนิเมะเรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์สามารถเป็นได้ทั้งความบันเทิงและศิลปะชั้นสูงในเวลาเดียวกัน
พูดตรงๆ เลยว่า 'ชลล์' เป็นอนิเมะที่ทำให้ฉันต้องคิดตามตลอดการดู ไม่ใช่แค่เรื่องสวยงามแต่ยังทิ้งคำถามเกี่ยวกับชีวิตและการดิ้นรนไว้มากมาย เสียงพากย์ของ Mamoru Miyano ในบท Shinn นั้นทรงพลังจนบางครั้งรู้สึกเหมือนตัวละครนั้นมีชีวิตจริงๆ
แม้จะมีบางช่วงที่รู้สึกว่าการพัฒนาตัวละครยืดเยื้อไปบ้าง แต่เมื่อมองย้อนกลับไปทั้งหมดมันจำเป็นต่อการสร้างความเข้าใจในตัวพวกเขา จุดจบที่เตรียมไว้ก็สวยงามพอที่จะทำให้คนดูรู้สึกว่าเวลา 24 ตอนที่ใช้ไปนั้นคุ้มค่าจริงๆ
การตัดสินใจดู 'ชลล์' ครั้งแรกเกิดจากความอยากลองของใหม่โดยไม่คาดหวังอะไรนัก แต่กลับกลายเป็นว่าติดงอมแงมภายในไม่กี่ตอน เสน่ห์ของมันอยู่ที่ตัวละครที่มีมิติ บางทีก็อ่อนแอ บางทีก็เข้มแข็ง ไม่มีใครสมบูรณ์แบบแต่ต่างพยายามต่อสู้ในแบบของตัวเอง
ดนตรีประกอบโดย Yuki Kajiura เป็นอีกจุดขายที่ทำให้ทุกสถานการณ์รู้สึกสมบูรณ์แบบขึ้นทันที ไม่ว่าจะเป็นฉากต่อสู้ที่เร้าใจหรือโมเมนต์เงียบๆ ที่เต็มไปด้วยอารมณ์อ่อนไหว อนิเมะเรื่องนี้สอนเราว่าการเดินทางอาจสำคัญกว่าจุดหมายปลายทางเสียอีก