“อะไรนะ?!! เรือนหอ? ของเรา?”
“ใช่...พี่ปลูกเรือนหลังนี้ก่อนที่จะไปเรียนต่อ หวังว่ากลับมาแล้วจะได้อยู่กับพ่อพุดที่เรือนหลังนี้จนถึงบั้นปลายชีวิต”
“ท่านชายจะบอกว่าผมกับท่านชายเคยเป็นคนรักกัน?”
พุดเอ่ยถามด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่...ทุกเหตุการณ์ที่เจ้าฝัน มันเคยเกิดขึ้นจริงมาก่อน”
คำตอบของท่านชายทำให้พุดหน้าเห่อร้อนขึ้นมาดื้อ ๆ เพราะพอคิดถึงเหตุการณ์ที่ท่านชายกับคนชื่อพุดในฝันมีอะไรลึกซึ้งต่อกันแล้วก็รู้สึกอายขึ้นมาเฉย ๆ ท่านชายรู้ทัน จึงก้มหน้าลงมาใกล้ ๆ คนแก้มแดงจนจมูกแทบชนกัน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกพุดซ้อนกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนจากวิญญาณผู้นี้ทำให้พุดรู้สึกคุ้นเคยแบบบอกไม่ถูก
“เจ้ากำลังเขินอายหรือ?”
“ปะ...ป่าว เอ่อ...แล้วทำไมท่านชายถึงยังอยู่ที่นี่...ผมหมายถึงทำไมไม่ไปเกิดใหม่อะไรแบบนี้?”
พุดเฉไฉเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะรู้สึกสู้สายตาแวววาวกับรอยยิ้มมุมปากของคนตรงหน้าที่มองมาทางริมฝีปากของเขาไม่ได้ มันสั่นไหวแปลก ๆ
“พี่จะไปไหนได้เยี่ยงไร ในเมื่อตลอดมาพี่รอที่จะพบเจ้าอีกครั้ง”
คำตอบของท่านชายทำให้เสี้ยววินาทีหนึ่งพุดรู้สึกจี๊ดใน ใจ แต่ก็แค่เสี้ยววินาทีจริง ๆ จนเขาไม่ทันสังเกตตัวเอง เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยออกไป
“ฝ่าบาทยังดูหนุ่มอยู่เลย แสดงว่า...สิ้นชีพตอนอายุยังไม่เยอะ?”
สิ้นสุดคำพูดของพุด ท่านชายก็มีแววตาเศร้าหมองลง ทำให้พุดเข้าใจได้ว่าวิญญาณท่านชายผู้นี้คงตายจากคนรักก่อนวัยอันควร และยังมีห่วงอยู่ถึงยังไม่ไปไหน
“แล้ว...ฝ่าบาทจะทำอะไรต่อไป ได้เจอผมแล้วจะสามารถปล่อยวางแล้วไปเกิดใหม่อะไรแบบนี้หรือเปล่า?”
พุดเอ่ยถามแบบไม่ทันคิดให้ลึกซึ้ง เพียงแต่เขาคิดไปตามนิยายที่เคยอ่านมาว่าพอทำภารกิจสำเร็จ วิญญาณก็หมดห่วง ไปเกิดใหม่ แต่กลับทำให้ผู้ฟังตรงหน้ารู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
“พี่รอคอยที่จะได้พบเจ้า มาเกือบร้อยปี แต่เหตุใดถึงพูดตัดเยื่อใยพี่เช่นนี้”
แววตาตัดพ้อของท่านชายทำเอาพุดรู้สึกผิดไม่น้อยที่ไม่มีความทรงจำเหลืออยู่เลย สำหรับเขาในตอนนี้ ท่านชายคือวิญญาณที่ช่วยเหลือเขา เขามีความหวังดีอยากให้ท่านชายไปสู่สุคติเพราะคิดว่าการไปเกิดใหม่คงดีกว่าเป็นวิญญาณวนเวียนอยู่ที่โลกมนุษย์
“แต่...ฝ่าบาทคงไม่ได้คิดจะเอาผมไปอยู่ด้วยใช่ไหม?”
พุดเอ่ยถามด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ หากวิญญาณผู้ยึดมั่นในรักตนนี้ต้องการพาเขาไปอยู่ด้วยเขาจะทำอย่างไร เขายังไม่อยากตายหรอกนะ
“พี่บอกแล้วอย่างไร ว่าพี่ไม่มีวันทำร้ายเจ้า”
“แล้วฝ่าบาทต้องการอะไร? ผมมาเกิดใหม่แล้ว ผมไม่มีความทรงจำเมื่อชาติก่อนเลย ผมคงไม่อาจเป็นพุดคนเดิมของฝ่าบาทได้อีก วาสนาของเรามันจบลงไปแล้ว การยึดติดจะทำให้ฝ่าบาทเป็นทุกข์”
“หากเจ้าจำพี่ได้ เจ้าจะไม่มีวันพูดเยี่ยงนี้กับพี่”
ท่านชายปกรณ์กล่าวออกมาด้วยเสียงที่เรียบนิ่งพร้อมหยดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบสองแก้ม แม้ไร้ซึ่งเสียงสะอื้น แต่ใบหน้าฉายแววเจ็บปวดแบบชัดเจนจนพุดน้ำตาไหลตามโดยไม่รู้ตัว พุดสับสนและไม่เข้าใจตัวเอง เขาจำอะไรไม่ได้เลยสักนิดแต่ทำไมแค่เห็นน้ำตาของวิญญาณผู้นี้ ภายในใจของเขากลับรู้สึกเหมือนถูกเอามีดมากรีดนับล้าน
“ผม...ขอโทษ ผมจำอะไรไม่ได้แล้วจริง ๆ”
“แล้วถ้าพี่ทำให้เจ้าระลึกชาติได้เล่า?”
“ระลึกชาติ?!!”
“ใช่ ใช้นิมิตเป็นสื่อเหมือนเมื่อคืนก่อนอย่างไรเล่า”
“ฝ่าบาทจะบอกว่าความฝันจะช่วยให้ผมระลึกชาติได้?”
“ใช่...เจ้าก็รู้สึกคุ้นกับเหตุการณ์ในนิมิตใช่หรือไม่”
“มันก็ใช่...แต่จะเป็นไปได้เหรอที่คนเรามาเกิดใหม่แล้วจะระลึกชาติได้ และถ้าสุดท้ายผมจำอะไรไม่ได้...”
“พี่เชื่อว่าเจ้าจะจำได้”
พุดรู้สึกทั้งสับสน หนักใจ คิดไม่ตก เรื่องนี้มันเหนือธรรมชาติเกินกว่าที่เขาจะทำความเข้าใจและตัดสินอะไรได้อย่างรวดเร็ว แต่แววตาแบบนั้น...เขารู้สึกคุ้นเคยจริง ๆ และเขาไม่อยากเห็นวิญญาณตรงหน้าเป็นทุกข์เลย เขาจะทำอย่างไรดี
“งั้น...ผมจะลองดู แต่ถ้าผมยังจำอะไรไม่ได้ ฝ่าบาทรับปากผมว่าจะปล่อยวางแล้วไปเกิดใหม่ ได้ไหม?”
พุดหวังเพียงอยากช่วยวิญญาณผู้มีพระคุณของตนให้ไปสู่สุคติ ไม่ได้คิดว่าตนเองจะจำอดีตชาติได้จริง ๆ
“พี่รับปาก...หากเจ้ายังจำพี่ไม่ได้ พี่ก็จะไป”
“จะไม่มาให้เจ้าเห็นหน้าอีก แต่จะขอตามปกป้องเจ้าตลอดไป”
คำนี้ท่านชายคิดเพียงในใจไม่ได้เอ่ยออกมา เพราะเขาเข้าใจดีว่าตอนนี้สำหรับพุดแล้ว เขาก็คือคนอื่น หาใช่ชายคนที่พุดรักสุดหัวใจเหมือนในชาติก่อน
ในห้องนอนที่เงียบสงบ สายลมพัดอ่อน ๆ ผ่านม่านหน้าต่าง พุดกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา ท่านชายพาพุดเข้ามาในนิมิตอีกครั้ง ทั้งสองอยู่หน้าบ้านทรงไทยโบราณกึ่งยุโรปที่คุ้นเคย เป็นบ้านหลังเดียวกับที่พุดเช่าอยู่นั่นเอง หนึ่งคนกับหนึ่งวิญญาณกำลังดูเหตุการณ์ที่ท่านชายในนิมิตจูงมือพุดที่ถูกผ้าปิดตาไว้เดินมาที่สวนหลังบ้านที่มีแปลงดอกพุดซ้อนออกดอกชูช่อส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล
“พี่ชายพัฒน์...ยังไม่ถึงอีกเหรอ พุดเอาผ้าปิดตาออกได้หรือยัง?”
“ถึงแล้ว...”
ท่านชายค่อย ๆ แกะผ้าปิดตาออกจนพุดได้เห็นแปลงดอกพุดซ้อนสวยงาม รวมถึงบ้านหลังใหญ่ที่อาจจะเล็กกว่าวังรัชนีพงษ์ แต่ก็ร่มรื่นน่าอยู่มาก ๆ
“งดงามมากเลยครับ...มิน่าละ หอมกลิ่นดอกไม้มาแต่ไกล ที่แท้ก็กลิ่นดอกพุดซ้อนนี่เอง แล้วที่นี่ที่ไหนหรือ?”
“เรือนหอของเรา”
“เรือนหอ? จะเป็นไปได้อย่างไรกัน...”
พุดไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็เขินอายกับคำว่าเรือนหอมากเช่นกัน
“เป็นไปได้สิ พี่ตั้งใจปลูกเรือนนี้เพื่ออยู่กับเจ้าสองคนในบั้นปลายชีวิต นับตั้งแต่นี้เราสองคนจะมาอยู่ที่นี่ ยามที่พี่ไปเรียนต่อ พี่ฝากเจ้าช่วยดูแลมันด้วย”
“แล้ว...เราจะบอกเสด็จพ่ออย่างไร?”
“พี่บอกเสด็จพ่อแล้วว่าจะพาเจ้ามาอยู่ที่นี่ด้วยกัน”
“แล้วเสด็จพ่อไม่ว่ากระไรหรือ?”
“ไม่...ท่านแค่บอกว่าก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้ให้มาอยู่เป็นเพื่อนพี่ก่อน ไว้เจ้ามีเมียเมื่อไหร่เสด็จพ่อค่อยสร้างเรือนให้อีกเรือน”
“ฝ่าบาท!!!”
“โอ๊ย!!!”
พุดตีแขนท่านชายสุดแรงเพราะโดนแกล้งเย้าแหย่ แม้จะรู้ว่าเสด็จท่านคงกล่าวเช่นนั้นจริง ๆ แต่ท่านชายก็เอามาพูดได้หน้าตาเฉยมันก็น่าโมโหเสียจริง
“พี่ชายพัฒน์...”
“หืม? ...”
“หากไม่มีใครยอมรับความรักของเรา...”
“พี่ไม่สนใจผู้ใด ขอแค่มีเจ้า...พี่ถึงได้ปลูกเรือนหลังนี้ไว้เพื่อเราสองคน”
ฝั่งพุดที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่เกิดความสงสัยขึ้นมาจึงได้เอ่ยถามอีกคน
“หรือว่าพอมาอยู่ที่นี่แล้วฝ่าบาทก็สิ้นชีพิตักษัย จึงได้เป็นวิญญาณยึดติดอยู่ที่บ้านหลังนี้...ไม่สิ ไม่ถูกต้อง ฝ่าบาทบอกว่ารอคอยผมมาเกือบร้อยปี หรือผมก็ลาโลกตอนอายุยังน้อยเหรอ?”
“หากเป็นเช่นนั้นพี่ก็คงไม่ทุกข์ใจมากเช่นนี้ เชื่อเถอะ...ว่าเจ้าใจร้ายกับพี่มากกว่านั้น”
“???”
กล่าวจบท่านชายก็พาพุดวาร์ปไปที่วังอันคุ้นเคย ซึ่งเหตุการณ์ตรงหน้ามีพระองค์เจ้าพงษ์จักรพรรณกับพุดกำลังสนทนากันสองคนด้วยบรรยากาศตึงเครียด
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา พ่อปฏิบัติกับเจ้าไม่ดีอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่...เสด็จพ่อ... พระองค์เลี้ยงดูกระหม่อมมาเป็นอย่างดี ไม่เคยทำให้กระหม่อมรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจใด ๆ เลย”
“แล้วเหตุใดพวกเจ้าสองคนถึงได้กลายมาเป็นเช่นนี้เล่า เรื่องนี้มันผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว”
“แต่เราสองคนแค่เรากัน เราทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ผิดหรือ? ชายกับชายจะรักกันได้เยี่ยงไร ไม่มีใครยอมรับ”
“แต่เรื่องความรักมันเป็นเรื่องของเราสองคน เหตุใดจึงต้องให้ผู้อื่นยอมรับ หรือเพียงเพราะพุดเกิดมาต่ำต้อย”
ผู้อาวุโสกว่าเปลี่ยนจากสีหน้าเคร่งขรึมกลายเป็นสีหน้าที่หม่นหมองลง
“พ่อหาได้รังเกียจเจ้า พ่อรักเจ้าเหมือนลูกแท้ ๆ หากเจ้าเป็นสตรี มีหรือที่พ่อจักไม่ดีใจที่เจ้าสองคนรักกัน เพียงแต่เจ้าสองคนเป็นชาย หากเจ้าเป็นเพียงคนธรรมดา เรื่องมันอาจจะไม่หนักหนาเท่านี้ แต่เจ้าก็รู้ใช่หรือไม่ ชายพัฒน์เป็นราชนิกูลสูงศักดิ์ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น อนาคตของทั้งเจ้าและชายพัฒน์จะเป็นเช่นไร จะอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างไร หัวอกคนเป็นพ่อคงไม่อาจเห็นอนาคตลูกตัวเองตกต่ำเพราะเรื่องเช่นนี้เป็นแน่”
เสด็จพ่อของท่านชายกล่าวออกมาพร้อมกับน้ำตานองหน้าด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ไม่อาจตำหนิพุดได้เต็มปาก เพราะเอ็นดูพุดเหมือนลูกแท้ ๆ มาโดยตลอด ถ้าจะตำหนิ ก็คงต้องตำหนิทั้งสองคน หรือแม้กระทั่งตำหนิตัวเอง ที่ดูแลลูกไม่ดี จึงเกิดเรื่องเช่นนี้
พุดร้องไห้น้ำตาไหลอาบสองแก้มเสียใจที่ตัวเองทำให้ผู้มีพระคุณเจ็บปวด
“พ่อแม่แท้ ๆ ของเจ้ามีพระคุณกับพ่อ พ่อจึงเลี้ยงดูเจ้าเป็นอย่างดีตลอดมา แต่ในฐานะของคนเป็นพ่อ จะปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นไม่ได้ หากเจ้าเองรักชายพัฒน์ด้วยใจจริง และเจ้ายังเห็นว่าพ่อเป็นของของเจ้าอยู่ จงแยกจากชายพัฒน์เสียเถิด”
“เสด็จพ่อ...”
“พ่อรู้ว่ามันอาจจะเป็นคำพูดที่ทำร้ายเจ้า แต่เชื่อพ่อเถิด แม้เจ้าจะไม่รักตัวเอง แต่เจ้าคงไม่อยากเห็นอนาคตของชายพัฒน์ต้องตกต่ำ โดนคนดูถูกเหยียดหยาม โดนสังคมประณามว่าเป็นพวกเล่นสวาทใช่หรือไม่...พ่อขอร้องเจ้า”
“ฝ่าบาท!!! ไม่...อย่าทำเช่นนี้เลย”
เสด็จพ่อของท่านชายก้มลงไปคุกเข่าตรงหน้า ทำให้พุดตกใจมาก รีบมาประคองให้พระองค์ท่านยืนขึ้น
“หากเจ้าไม่รับปาก พ่อจะไม่ลุกเด็ดขาด”
“กระหม่อมยอมแล้ว...ฝ่าบาท กระหม่อมยอมแล้ว...”
พุดปล่อยโฮร้องไห้ออกมาเสียงดัง เสด็จท่านเองก็รู้สึกสงสารพุดไม่น้อย แต่ก็คิดว่าตนเองทำในสิ่งที่ถูกต้อง เสด็จท่านระแคะระคายเรื่องนี้มาสักระยะแล้ว แต่ด้วยรู้จักนิสัยลูกชายของตนเองดี และรู้ว่าทั้งสองคนมีความผูกพันกันมานาน หากใช้ไม้แข็ง เกรงว่าจะแยกทั้งคู่ไม่ขาด เผลอ ๆ ท่านชายอาจจะไม่ยอมไปเรียนต่อแล้วพาพุดหนีไป จนกระทั่ง 1 ปีหลังจากที่ท่านชายไปเรียนเมืองนอกแล้ว จึงตัดสินใจเรียกพุดมาคุยเพื่อจัดการปัญหาให้จบก่อนที่ท่านชายจะกลับมาแล้วจะแก้ไขอะไรไม่ได้อีก เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียพุดย่อมเห็นความกตัญญูมากกว่าความรัก และที่สำคัญพุดย่อมยอมทำในสิ่งที่จะเป็นผลดีกับโอรสของตนมากกว่าความรู้สึกของตัวเอง แม้จะเหมือนการเห็นแก่ตัว แต่ผู้เป็นพ่อเชื่อว่านี่จะเป็นผลดีกับทั้ง 2 คน ไม่ใช่แค่กับท่านชาย
“พ่อขอบใจเจ้ามาก...ขอบใจเจ้าจริง ๆ พ่อจะส่งเจ้าไปอยู่ที่อเมริกาและมอบสมบัติติดตัวพอที่ตัวเจ้าจะอยู่สุขสบายไปยังบั้นปลายชีวิต ขอเพียงห้ามติดต่อกับชายพัฒน์อีกไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่หากมีเรื่องเดือดร้อนอะไรให้ติดต่อมาหาพ่อ พ่อจะคอยช่วยเหลือเจ้า พ่อยังคงห่วงใยและหวังดีกับเจ้าเสมอนะพ่อพุด”
ตอนนี้พุดที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่เริ่มพูดไม่ออก รู้สึกเพียงแต่ว่ามันเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเขาเข้าใจความรู้สึกของพุดในนิมิตเป็นอย่างดี ดวงตาเริ่มพร่ามัวเพราะน้ำในตาเริ่มซึมออกมา มือไม้เริ่มสั่นไม่อยากจะคิดต่อเลยว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร หากท่านชายในนิมิตกลับมาแล้วรับรู้เรื่องราวนี้เขาจะเจ็บปวดแค่ไหน
“เจ้าตัดสินใจทิ้งพี่ไปโดยไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย”
ท่านชายพัฒน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเจ็บปวด
“เจ้าคงสงสัยใช่หรือไม่ว่าพี่เป็นเช่นไรหลังจากรู้ความจริง”
“...”