บทเพลงคันทรี่ที่ดังจากวิทยุตลอดเวลาทำให้คนขับรถคาดิลแล็ครุ่นเก่ามาตลอดเส้นทางซึ่งขนาบข้างด้วยทิวทัศน์ของทุ่งทรายปกคลุมด้วยหญ้าบนแผ่นดินกว้างและหุบผาแปลกตาไม่ได้รู้สึกอ้างว้างแต่อย่างใด หญิงสาวเต็มไปด้วยความหวังมากมายว่าเธอจะกลับไปดูแลหญิงอันเป็นที่รักในบั้นปลายชีวิตหากเธอไม่เห็นว่ามีรถเอสยูวีสีดำสนิทวิ่งตามมาห่าง ๆ นานนับชั่วโมงแล้ว
“โอ...ให้ตายสิ!”
อลินทิราอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อละสายตาจากถนนด้านหน้าไปยังกระจกมองหลัง สัญชาติญาณบอกเธอถึงความไม่ปกติ หากจำไม่ผิดรถคันนี้ก็วิ่งตามหลังเธอมาตลอดตั้งแต่ออกจากซอลท์เลคซิตี้
หรืออาจเป็นคนของไซออนเนต? หรืออาจเป็นพวกเอฟบีไอตามแกะรอยเธอมาจากนิวยอร์ค? แต่ไม่ว่าจะเป็นใครเธอก็ต้องรีบปลีกห่างให้ไกลจากรถเจ้าปัญหาคั้นนั้น
“ออโซลย่า...คิดสิ...เธอต้องทำอะไรสักอย่าง”
หญิงสาวท่องเหมือนคนเสียสติ ความหวังกำลังละลายเหมือนน้ำแข็งด้วยความร้อนรุ่มที่รุมเร้าข้างใน และท้ายที่สุดเธอก็หักพวงมาลัยรถคาดิลแล็ครุ่นเก่าแล่นไปตามป้ายบอกทาง
Canyonlands National Park
อลินทิราเหยียบคันเร่งจนมิดเข็มไมล์เพื่อพารถของเธอมุ่งไปตามเส้นทางของอุทยานแห่งชาติแคนยอนแลนด์ หญิงสาวสังเกตเห็นรถเอสยูวีคั้นนั้นแล่นตามเธอมาด้วยระดับความเร็วมากกว่าเมื่อครู่ สายลับสาวคิดอะไรไม่ผิด เธอกำลังถูกตามล่าจากคนที่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร
“อยากตามมานักใช่มั้ย รู้จักฉันน้อยเกินไปเสียแล้ว”
เจ้าของร่างระหงเร่งเครื่องยนต์พารถของเธอตะลุยเข้าไปในเขตแดนอันกว้างใหญ่รายรอบด้วยผาหินสีส้มแดงหน้าตาแปลกประหลาด อาทิตย์กำลังยอแสงท่ามกลางภูมิประเทศของฝุ่นทรายแดงแห้งแล้งและหุบชันบนเนื้อที่กว้างใหญ่สุดลูกตา
“อะไรกันนี่...โอ...ไม่นะ...ไม่!”
เจ้าของดวงหน้างามอุทานออกมาอีกครั้งหลังตัดสินใจหักเลี้ยวจากถนนลาดยางลงไปตามทางดินทรายสีแดง เธอพยายามเร่งเครื่องรถที่โยกโยนไปตามทางขรุขระให้เกิดฝุ่นฟุ้งตลบทว่าโชคกลับไม่เข้าข้างเมื่อแรงกำลังของรถคันเก่าไม่อาจเทียบรถเอสยูวีรุ่นใหม่ที่แซงขึ้นไปแล้วเบรคกะทันหัน
เอี๊ยด...
เสียงล้อรถคาดิลแล็คเบียดกับพื้นทรายรุนแรงเมื่ออลินทิราเหยียบเบรกจนตัวโก่ง ฝุ่นทรายแดงฟุ้งตลบไปหมดและพอตั้งสติได้สายลับสาวจึงตัดสินใจหยิบปืนพกในกระเป๋าออกมาและเปิดประตูลงไปเผชิญหน้ากับคนที่เธอก็อยากรู้ว่าเป็นใคร
เจ้าของร่างระหงเล็งปลายกระบอกปืนไปยังรถเอสยูวีคันใหญ่เมื่อฝุ่นทรายเริ่มจางลงจนหมด เพียงครู่ประตูรถฝั่งคนขับจึงเปิดออกพร้อมกับที่ร่างสูงใหญ่ภายใต้เสื้อยืดกางเกงยีนส์และรองเท้าด็อคเตอร์มาร์ตินจะก้าวลงมาและเธอก็เห็นว่าบนตัวของขาปราศจากอาวุธใด ๆ นอกเสียจากใบหน้าหล่อเหลาคมคายใต้กรอบเรือนผมสีน้ำตาลเข้มและนัยน์ตาสีน้ำเงินอมม่วงลึกล้ำที่สะกดเธอไว้ชั่วขณะ
“คุณเป็นใคร...ตามฉันมาทำไม!”
อลินทิราบังคับตัวเองให้ถามบุรุษที่กำลังก้าวเข้ามาหาด้วยทีท่าเยือกเย็น
“หยุดนะ! หยุดอยู่ตรงนั้น...บอกฉันมาว่าคุณเป็นใคร!”
หญิงสาวตวาดเสียงดังและเขาก็หยุดยืนห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว เธอไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมไม่ยอมเหนี่ยวไกเพื่อจบสิ้นปัญหา
“ผมคือ...แดเนียล ไพรซ์”
ทันทีที่ประโยคแรกหลุดออกมาจากริมฝีปากหนาได้รูปบนใบหน้าคร้ามเข้มก็ทำเอาร่างระหงถึงกับผงะ มือเรียวบางที่กุมปืนไว้มั่นเริ่มสั่นขึ้นมาเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้หรือคือนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผู้มีเบื้องหลังเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุอัจฉริยะคนนั้น
เขาช่างแตกต่างจากจินตนาการของเธอลิบลับว่าเจ้าของห้องปฏิบัติการใต้คฤหาสน์นั่นคงเป็นผู้ชายบอบบางสวมแว่นหนาเตอะ มันเป็นการคาดเดาของตัวเธอเองที่พลาดผิดไปหมด แดเนียล ไพรซ์ หล่อเหลาเกินกว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ขลุกอยู่แต่ในห้องทดลอง และแกร่งกำยำเกินกว่าจะเป็นนักธุรกิจในชุดสูทแพงระยับ
“เคยมีคนบอกคุณหรือเปล่าว่าไม่ควรเอาปืนจ่อหน้าคู่สนทนาแบบนี้ คุณก็เห็นว่าผมไม่มีอาวุธอะไร ไม่ว่าจะเป็นมีดหรือปืน”
ชายหนุ่มยังคงกล่าวเสียงเย็นขณะแบมือทั้งสองข้างลำตัว
“แต่คุณขับรถตามฉันมาแบบนี้ก็ส่อเจตนาไม่ดีเหมือนกัน”
“มันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือถ้าคนคนหนึ่งจะตามคนที่หยิบฉวยของของเขาไปโดยไม่บอกกล่าว หรือถ้าคิดว่าตัวเองบริสุทธิ์คุณคงไม่หนีหัวซุกหัวซุนให้ผมตามหาคุณแทบพลิกแผ่นดินแบบนี้หรอก ออโซลย่า!”
ดวงตาสีน้ำตาลแกมเขียวของคนฟังเบิกกว้าง น้ำเสียงทุ้มลึกและคำพูดรู้ทันของเขาสั่นประสาทของเธอมิใช่น้อย เขารู้ว่าเธอคือใคร หากทว่าสายลับสาวต้องข่มความกลัวไว้ข้างใน แดเนียล ไพรซ์ ก็แค่ผู้ชายมีเงินและเก่งแต่เรื่องวิทยาศาสตร์เท่านั้น ทำไมเธอต้องหวาดหวั่นกับคนหน้าตาดีแต่ไร้พิษสง