บทที่ 24 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(3)
สองชั่วยามผ่านไป...ตั้งแต่ตอนที่เย่หัวหมดสติ นางก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่รายล้อมนางอยู่ ด้วยความที่ไม่ชินกับการที่มีใครมาเป็นห่วงเป็นไยขนาดนี้ มันก็ทำให้นางรู้สึกเขินไม่ได้ จึงเอ่ยปากถามออกมาด้วยเสียงเบาๆ
“...มีอะไรกันหรือเจ้าคะ”
“คุณหนู...”
“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“คุณหนูฟื้นแล้ว”
“...”
“...”
“...”
เด็กๆ ที่เฝ้ารออยู่ไม่ไกลต่างก็กรูเข้ามาบ้างดีอกดีใจ บ้างก็ร้องห่มร้องให้งอแงโผเข้ามากอดร่างเล็กจนแทบไม่มีช่องว่าให้หายใจ
เย่หัวที่เห็นทุกๆ คนเป็นห่วงขนาดนี้จากที่ตั้งใจที่จะผละออกไป กลับกลายเป็นยินยอมให้เด็กๆ เข้ามากอดแต่โดยดี ถึงร่างกายจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และอึดอัดกับการโดนเด็กๆ หลายคนเบียดอัดเข้ามา แต่ถึงอย่างนั้นหัวใจของนางในตอนนี้ก็พองโต เป็นความรู้สึกมีความสุขแบบที่ไม่เคยมาก่อน
“เดี๋ยวเถอะ พวกเจ้าก็รู้ว่าคุณหนูเพิ่งจะดีขึ้น จะให้คุณหนูหมดสติไปอีกครั้งหรืออย่างไร รีบปล่อยคุณหนูเดี๋ยวนี้!” เป็นจางหลัวที่ได้สติก่อนใคร เพราะพวกผู้ใหญ่เองก็ยังคงอึ้งกับภาพที่เกิดขึ้นอยู่ “ให้คุณหนูได้พักบ้าง!!”
ถึงแม้จะไม่ใช่เสียงที่ดังอะไร เพราะจางหลัวเองก็เป็นเพียงแค่เด็กหญิงอายุสิบสองปี แต่หัวหน้ากลุ่มก็ยังคงเป็นหัวหน้ากลุ่ม ทุกคนยังจดจำภาพที่เด็กหญิงเคยบอกให้เจ้าสังที่มักจะนอนแอ้งแม้งอยู่เป็นนิจ ไปไล่งับเด็กดื้อคนหนึ่ง ให้กลัวจนฉี่ราดไปเมื่อไม่กี่วันก่อนได้เป็นอย่างดี เสียงเล็กๆ เสียงนี้จึงมีผลกับเด็กๆ มากกว่าเสียงของพวกผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ
“แต่ว่า...”
“คุณหนู....”
“เอาหละๆ เด็กๆ พอก่อน ให้คุณหนูเย่ได้พักก่อน พวกเจ้ารีบลาคุณหนูแล้วกลับบ้านไปเถอะ นี่ก็เย็นมากแล้ว”
“เย็นแล้วหรือเจ้าคะ...!” ได้ยินคำกล่าวของจางหลง เย่หัวที่งุนงงอยู่ครู่หนึ่งก็ถึงกับดีดตัวผึงลุกขึ้นมา แล้วมองไปที่ด้านหน้าบ้าน “แล้วเรื่องแปลงมันเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ!!”
“...”
“...”
“...”
ทุกคนที่ได้เห็นปฏิกิริยาของเด็กหญิงต่างก็เงียบเป็นเป่าสาก ทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ในสภาพนั้นแท้ๆ แต่ถึงอย่างยนั้นเด็กหญิงก็ยังเป็นห่วงเรื่องของคนอื่นมากกว่าการป่วยของตัวเองเสียด้วยซ้ำ
‘โถ่...คุณหนู ช่างเป็นคนที่จิตใจงดงามยิ่งนัก’
“เรื่องนั้นคุณหนูไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ถึงจะช้ากว่ากำหนดการไปสักหน่อย แต่พวกเราก็ช่วยกันทำทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อยตามแผนที่ว่างไว้” จางหลงกล่าวตอบเด็กหญิงไปตามจริง ถึงในตอนที่เด็กหญิงเป็นลมสลบไปหลายๆ อย่างจะวุ่นวายไปพักใหญ่กว่าสงบลงได้ แต่หลังจากนั้นทุกๆ คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ไปช่วยกันจัดการแบ่งงานกันทำอย่างสมัครสมานสามัคคี จนทำให้สามารถจัดการพื้นที่สองลี้จนกลายเป็นแปลงมันที่ถูกปลูกและรดน้ำจนเสร็จเรียบร้อย
“ดีจังเลยเจ้าค่ะ” เย่หัวยิ้มกว้างอย่างโล่งอก พลางคิดทบทวนเรื่องต่างๆ สอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระว่างที่นางหมดสติไป
จนหลงลืมคำกล่าวของเพื่อนเก่าที่บอกให้นางฝึกฝนเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น และหลายวันต่อจากนี้นางก็จะยังคงลืมต่อไป เพราะความวุ่นวายของไร่ที่ขยายตัวออกไปหลายร้อยเท่า
ซึ่งจะนำพาความเสียใจที่สุดในชีวิตมาให้นางในเวลาอีกไม่นาน
และจะเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่จะทำมให้นางจดจำไปชั่วชีวิต!!
“ถ้าอย่างนั้นในคืนนี้ข้าขอให้จางหลัวกับมารดาของนางอยู่ช่วยดูแลคุณหนูสักคืนได้ไหมขอรับ” หลังจากที่เย่หัวดื้อรั้นที่จะไปตรวจสวน และเอาขนมออกมาแบ่งให้เด็กๆ เอากลับบ้านไป ส่วนอาหารอื่นๆ ทุกคนเพียงแค่บอกกับนางว่าจะแบ่งๆ กันเอาส่วนที่ยังเหลืออยู่ในครัวกลับบ้าน เพราะไม่อยากให้เด็กหญิงใช้พลังจนหมดแรงไปอีก จางหลงก็ได้กล่าวความตั้งใจของเขาออกมา ซึ่งสองแม่ลูกเองก็ยินดีเช่นเดียวกัน
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าอยู่กับเจ้าสังสองคนได้”
“ให้พวกเราอยู่เป็นเพื่อนเถอะนะเจ้าคะ คุณหนูช่วยเหลือพวกเราทุกคนเอาไว้มากแล้ว ขอให้พวกเราได้ตอบแทนคุณหนูบ้างเถอะเจ้าค่ะ” จางเหยียนหรือมารดาของจางหลัวกล่าวออกมาด้วยใจจริง
“ให้ข้ากับท่านแม่อยู่ด้วยเถอะนะเจ้าคะ อย่างน้อยก็ถือว่าให้ข้าได้อยู่เล่นกับเจ้าสังก็ได้” เด็กน้อยตัวโตกว่าที่ยังคงมองมาด้วยดวงตาใสแจ๋ว “คุณหนูจะได้ไม่เหงาอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
เห้อ...
“เอาตามนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นหัวหน้าหมู่บ้านรีบกลับไปก่อนก็ได้นะเจ้าคะ อีกไม่นานก็มืดแล้ว หลายคนรอที่จะกลับด้วยกันอยู่นะเจ้าคะ” เย่หัวมองไปทางกลุ่มคนกลุ่มสุดท้ายอีกสี่ห้าคนที่ยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ไกลๆ ซึ่งนางคุ้นหน้าคุ้นตาว่าเป็นคนที่อยู่กับจางหลงบ่อยๆ
“ถ้าอย่างนั้นข้ากลับก่อนนะขอรับ...ทั้งสองคนฝากดูคุณหนูด้วยนะ”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ/ทราบแล้วท่านพ่อ”
“หัวหน้า ข้ามีเรื่องจะบอก”
.................................
#เตือนความจำ เวลา*10เท่า 2ชั่วยามเท่ากับ40ชั่วโมง หรือเกือบๆ สองวันนั่นเอง
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง