ดวงตาของบุรุษทั้งสองจ้องไปยังร่างบางที่นอนนิ่ง ใบหน้าของคนบนเตียงงดงามพริ้มพราวแต่ขาวซีด ดวงตานางปิดสนิทราวกับกำลังนิทราอย่างเป็นสุข เสียงประสานของฮ่องเต้กับแม่ทัพพลันดังขึ้นพร้อมเพรียงกัน
“ไม่จริง!”
จ้าวเหมยฮวาจ้องมองร่างมารดา ดวงหน้าจิ้มลิ้มยามนี้เต็มไปด้วยความโศกสลด ดวงตากลมโตพราวพร่างไปด้วยน้ำตา เป็นที่น่าสงสารแก่ผู้พบเห็น หากในใจกลับยกยิ้มขบขันไม่น้อย สมแล้วที่เป็นมารดาของนาง ยอดเยี่ยมเสียจริงๆ ฝีมือในการแสดงนั้น... ช่างไร้ที่ติ
หากก่อนพระสนมว่านเสียนเฟยจะเข้ามาทำร้ายมารดา จมูกของนางไม่บังเอิญได้กลิ่นยาชนิดหนึ่งขึ้นมาเสียก่อน อาจจะหลงเชื่อไปแล้วก็เป็นได้ และยาชนิดนี้นางย่อมเคยได้กลิ่นมาก่อนเป็นแน่ โดยมีมารดาเป็นผู้สอนให้ปรุง และบอกวิธีใช้ให้ด้วยตัวเองนั่นแหละ
“ผงหลอนจิต”
เจ้ายาผงชนิดนี้ แม้นใครได้สูดดมเข้าไปจะไม่สามารถควบคุมตนเองได้ สติสำนึกจะขาดการควบคุมยับยั้งชั่งใจโดยสิ้นเชิง ปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ใต้สำนึกภายในใจให้เผยออกมาโดยไม่อาจยับยั้งตัวเองได้
อดีตพระสนมว่านเสียนเฟยนั้นกว่าจะก้าวขึ้นมาในตำแหน่งนี้ได้ นางต้องผ่านความยากลำบากมามิใช่น้อย ปะทะเล่ห์เหลี่ยมกับสตรีในวังหลังมาเท่าไร อีกทั้งดูไปนางก็หาใช่คนเขลาเบาปัญญา
อีกฝ่ายจึงไม่น่าจะกล้าลงมือกับมารดาต่อหน้าพระพักตร์เสด็จลุงได้ เพราะแม้จะไม่คิดถึงตนเอง แต่ตระกูลนางเล่าจะไม่ตระหนักถึงได้เชียวหรือ ยิ่งไปกว่านั้นเหนือสิ่งอื่นใด ด้วยฝีมือและวรยุทธ์ของมารดา สตรีธรรมดาไร้พลังยุทธ์ไม่น่าจะแทงถูกเสียด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่แทงเลย แตะแม้เส้นผมยังยากจะกระทำ นอกเสียจากว่ามารดาเองนั่นแหละ ที่เป็นฝ่ายเปิดโอกาสให้อีกคนได้เข้ามาทำร้ายตนเอง
มารดาเป็นถึงยอดฝีมือคนหนึ่ง แค่วิชาสกัดจุดชีพจรให้หยุดการเคลื่อนไหวของร่างกาย ทำให้ร่างไร้ลมหายใจเหมือนคนตาย แค่นี้มีหรือมารดาของนางจะทำไม่ได้ บอกเลย... ไม่-มี-ทาง
เด็กหญิงจึงแสร้งก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม ร่ำไห้ประดุจกำลังเสียใจมากมาย ทว่าในหัวใจกลับหัวเราะเสียงดังยิ่งนัก เฟยเซียนในยามนั้นนอนหลับตานิ่ง แต่แอบขยับสังเกตการณ์รอบด้านเงียบๆ นางเห็นบุตรสาวมองเขม็งมาด้วยสายตาค้นหา ก็รับรู้ได้ทันทีว่าถูกผู้เป็นบุตรจับได้แล้ว นัยน์ตาหงส์คู่งามจึงลอบขยิบให้บุตรี
จ้าวเหมยฮวานั้นหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางว่านางแสดงเก่งเล่นได้สมจริงสมจังแล้วนะ ยังต้องชิดซ้ายไปเลยเมื่อเจอมารดา
สวรรค์!
มารดาเป็นดาราระดับตุ๊กตาทองมากกว่านางเสียอีก นับถือๆ ช่างน่านับถือยิ่งนัก ฮูหยินจ้าวกลั้นยิ้มเมื่อเห็นบุตรีตัวน้อยไม่ได้กระโตกกระตากอันใด แถมยังมีท่าทีคล้ายจะรู้เท่าทันในแผนการที่ตนทำ หญิงสาวพลันโล่งใจ ก่อนที่จะลอบผ่อนคลายร่างกาย โคจรปราณให้ลมหายใจกลับมาเป็นปกติช้าๆ
จ้าวหมิงหลงที่กอดซบร่างภรรยาอยู่ชะงักไปพักใหญ่ คล้ายว่าจะรับรู้ได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นแผ่วๆ ของนาง ก่อนชีพจรคนในอ้อมแขนจะเต้นถี่ขึ้นช้าๆ จนเขารู้สึกได้อย่างชัดเจน
“หมอหลวง หัวใจนางเต้นแล้ว” แม่ทัพร้องตะโกนบอกน้ำเสียงยินดี
อวี้หลางยามนี้ในใจพอมีความหวังขึ้นมาหนึ่งส่วน พระหัตถ์แกร่งหันไปคว้าคอหมอหลวงเฒ่า ก่อนจะโยนเจ้าตัวไปทางหมิงหลง ตรัสด้วยสุรเสียงทุ้มเรียบ
“รักษาน้องเราเสีย หากนางไม่พื้น... เราจะส่งเจ้าไปอยู่กับนาง”
หมอหลวงวัยชราเซไปตามแรงเหวี่ยง ร่างผอมเกร็งงกๆ เงิ่นๆ ตรวจดูอาการร่างบางอีกครั้ง ในใจก็กู่ร้องด้วยความหวาดกลัว หากรักษาไม่ได้ ฮูหยินจ้าวเกิดเป็นอันใดขึ้นมา มิแคล้วมีหวังเขาได้ตายตามนางไปแน่ๆ
“กราบทูลฝ่าบาท อาการของฮูหยินจ้าวตอนนี้ดีขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ฝังเข็มห้ามให้เลือดตรงบาดแผลหยุดไหลแล้ว กินยาอีกเพียงไม่กี่วัน ร่างกายก็น่าจะกลับมาเป็นปกติพ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงกราบทูลด้วยน้ำเสียงโล่งอกระคนดีใจ อย่างน้อยๆ วันนี้เขาก็ยังรักษาศีรษะตนเองเอาไว้ได้ จ้าวเหมยฮวามองทุกคนที่ร้อนรน ก่อนจะหันไปมองทางมารดาที่ตอนนี้นอนนิ่งเงียบอยู่บนเตียง ไม่แสดงอาการอะไร ในใจพลันคิดชื่นชมมารดายิ่งนัก
‘อา... ท่านแม่เจ้าคะ ท่านช่างสตรองยิ่งนัก’
เหมือนรับรู้ได้ถึงสายตาชื่นชมของบุตรสาว ฮูหยินจ้าวลอบยิ้มในใจน้อยๆ นางเป็นมารดา ในฐานะคนเป็นแม่ เห็นบุตรสาวของตนถูกทำร้ายถูกรังแกเยี่ยงนี้ มีหรือจะไม่โกรธแค้นอีกฝ่าย ทว่าในฐานะฮูหยินก็มิอาจปล่อยให้สามีลงมือสังหารว่านเสียนเฟยได้ มิเช่นนั้นเรื่องยุ่งยากคงจะตามมามากมายเกินจะรับมือ ยิ่งในฐานะน้องสาวจำต้องเห็นใจพี่ชาย หากฝืนดึงดันจะสังหารอีกฝ่ายซึ่งหน้า พี่ชายของนางย่อมมิอาจเลี่ยงคำครหาได้
ดังนั้นนางจึงต้องใช้วิธีนี้ ลอบสลัดผงหลอนจิตใส่นางสนมสารเลวนั่น ก่อนจะทำทีเป็นเหตุสุดวิสัยที่จะป้องกันตนเอง เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้มีจังหวะมาทำร้ายได้
‘บางทีคนเราก็ต้องยอมเฉือนเนื้อเพื่อที่จะตัดกระดูกทิ้ง’
ฮูหยินแม่ทัพคิดในใจ พร้อมกับหลิ่วตาให้บุตรีตัวน้อย ยามที่ไม่มีผู้ใดทันได้สังเกตเห็น ซึ่งฝ่ายนั้นก็ยกนิ้วโป้งส่งให้มารดากลับทันทีเช่นกัน เห็นวิธีการสะสางปัญหาของมารดาแล้ว มันช่างทำให้จ้าวเหมยฮวาแสนจะทึ่งยิ่งนัก
‘อา... ดูเหมือนว่านางควรจะต้องฝึกฝนให้มากกว่านี้สินะ’