จากนั้นเธอจึงหันไปมองรอบ ๆ บ้าน “ทุกซอกทุกมุมในบ้านหลังนี้ก็แม่ของฉันเป็นคนออกแบบไว้ อะไรที่ทำให้คุณคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้งั้นเหรอ?”เป็นเวลาหลายปีที่คฤหาสน์หลังนี้ยังคงมีร่องรอยของผู้หญิงคนนั้น ทุกครั้งที่ เซา เสี่ยวหวัน ขอปรับปรุงบ้าน ทัง ซอง มักจะปฏิเสธเธอ และให้เหตุผลว่าแม่ของ ทัง โรลชูว เป็นคนออกแบบบ้านหลังนี้เขาก็ควรที่จะอนุรักษ์มันไว้ เพื่อ ทัง โรลชูว“เพื่อ ทัง โรลชูว อย่างนั้นเหรอ?” ริมฝีปากของ เซา เสี่ยวหวัน กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ ทัง ซอง ทำเพื่อตัวเองชัด ๆ ดูก็รู้ว่าเขาทำเพื่อตัวเอง เพื่อที่เขาจะได้ไม่ลืมเมียที่ตายไปแล้วของเขาเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ความไม่ลงรอยระหว่างเธอและ ทัง ซอง เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างฉุดไม่อยู่และท้ายที่สุดมันก็ระเบิดออกมา ในที่สุดเธอก็เองก็ปลดปล่อยความเคียดแค้นของออกมาด้วยการฆ่าสามีของเธอเธอเรียกสติตัวเองกลับมาก่อนจะจ้องไปที่ ทัง โรลชูว ด้วยสายตาเกลียดชัง “แล้วยังไงล่ะ? เดี๋ยวฉันก็จะทำลายทุกอย่างที่เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นเอง ทุกอย่าง” “คุณกล้าอย่างนั้นเหรอ?” ทัง โรลชูว รู้สึกกลัวไปกับคำพูดของเธอ คฤหาสน์หลังนี้เต็
ในขณะที่เธอหลับ กู โรลโรล ได้ยินเสียงแม่ของเธอหวีดร้อง เธอกระเด้งตัวขึ้นจากเตียงนอนเธอมองไปรอบ ๆ ห้องที่ยังคงมืดสนิท และคิดว่าเธอคงฝันไปก่อนจะได้ยินเสียงของแม่เธอร้องกรี๊ดขึ้นมาอีกครั้งไม่ทันได้คิดอะไรมาก เธอลงจากเตียงและรีบวิ่งออกไปด้านนอกทันทีมองลงมาจากบันได เธอเห็นผู้มาเยือนสองคนยืนอยู่ที่ห้องนั่งเล่นสีหน้าเปลี่ยนไปในทันทีขณะที่เธอวิ่งลงบันไดไป ตะโกนถาม “ทัง โรลชูว เธอมาทำอะไรที่นี่?”ทัง โรลชูว หันหลังกลับไปเห็น กู โรลโรล ที่กำลังวิ่งลงมาด้วยสีหน้าตื่น คิ้วของเธอเลิกขึ้นก่อนจะคิดในใจว่ามันจะดีกว่าถ้าทุกคนมาอยู่รอบ ๆ “นี่มันบ้านของฉัน ฉันจะมาหรือจะไปตอนไหนก็ได้ ฉันจำเป็นต้องบอกเธอด้วยหรอว่าฉันจะมาที่นี่?” ทัง โรลชูว ยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่แววตาของเธอนั้นราวกับจะฆ่าคนได้กู โรลโรล เดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะเห็นว่า เซา เสี่ยวหวัน นั่งหน้านิ่วด้วยความเจ็บปวดอยู่บนโซฟา เธอเดินเข้าไปหาและถามขึ้นอย่างกระวนกระวายใจ “แม่คะ เกิดอะไรขึ้น?”“โรลโรล ลูกมาแล้ว” เซา เสี่ยวหวัน ยิ้ม “ค่ะ หนูลงมาเพราะได้ยินเสียงแม่ร้อง”ก่อนจะถามอีกครั้ง “แม่คะ แม่เจ็บตรงไหน?”“แขนของแม่”เซา เสี่ยวหวั
ทัง โรลชูว คิดว่า กู โรลโรล คงเสียสติไปแล้วที่มีความสุขกับการเห็นเธอเจ็บปวดเซา เสี่ยวหวัน ลุกขึ้นยืน และจ้องไปที่ ทัง โรลชูว ด้วยสายตาเย็นชา “ทัง โรลชูว เธอกล่าวหาว่าฉันฆ่าพ่อของเธอ เธอมีหลักฐานอย่างนั้นเหรอ?”“พวกเรา…”ลู เซียวเหยา กำลังจะพูดขึ้นมาแต่ก็โดน ทัง โรลชูว ดึงไว้เสียก่อน เขาหันกลับมาเจอ ทัง โรลชูว ที่พยักหน้าให้เขา เขาจึงทำได้แค่เม้มปากและเงียบไปเมื่อเห็นพวกเขาพยักพเยิดกันเช่นนั้น เซา เสี่ยวหวัน และ กู โรลโรล มองหน้ากัน สองแม่ลูกมั่นใจว่า ทัง โรลชูว ต้องไม่มีหลักฐานแน่อย่างไรก็ตาม ทัง โรลชูว คาดการณ์คำพูดของ เซา เสี่ยวหวั่น ไว้แล้ว และเมื่อเห็นว่าพวกเขาดูมั่นใจเหลือเกินว่าเธอไม่มีหลักฐาน เธออยากจะหัวเราะออกมาเสียจริง“คุณคิดว่าฉันมีหลักฐานไหม?” ทัง โรลชูว ตอบคำถามพวกเขาอย่างยอกย้อนด้วยเหตุผลบางอย่าง คำถามนั้นทำให้ กู โรลโรล รู้สึกไม่สบายใจ ขึ้นมาเซา เสี่ยวหวัน เห็นว่าลูกสาวกระวนกระวาย เธอจึงมอง กู โรลโรล อย่างปลอบประโลบ ก่อนจะพูดกับ ทัง โรลชูว “ ฉันไม่รู้ว่าเธอมีหลักฐานไหม แต่ฉันไม่ได้ฆ่าพ่อของเธอจริง ๆ”“โอ้?” ทัง โรลชูว เลิกคิวก่อนสีม่วงมาอย่างชั่วร้าย “ความ
“เร็ว ๆ นี้? นายแน่ใจเหรอ?” ทัง โรลชูว ไม่เชื่อว่าตำรวจจะมาถึงในเร็ว ๆ นี้ ลู เซียวเหยา กำลังจะธิบายให้เธอฟัง เธอก็ขัดเขาขึ้นมา “เรียกบอดี้การ์ดของนายเข้ามาแล้วให้พวกเขาเฝ้าทั้งสองคนไว้ ส่วนเรากลับบ้านกัน”ลู เซียวเหยา พูดไม่ออกตาเบิกกว้าง กู โรลโรล มองชายร่างกำยำสองคนที่เดินเข้ามา จ้องมาที่เขาผ่านแว่นกันแดดเขามีบอดี้การ์ดส่วนตัวงั้นเหรอ!กู โรลโรล ยิ่งเคลือบแคลงใจกับตัวตนที่เป็นปริศนาของ ลู เซียวเหยา“โรลโรล เราจะทำยังไงกันดี?”“แม่คะ อย่าเพิ่งตกอกตกใจไป ใจเย็น ๆ ก่อนนะ” กู โรลโรล ปลอบเธอก่อนจะจ้องไปที่ชายร่างบึกสองคนนั้นเธอรู้ดีว่าแม่ของเธอจะต้องโดนจับอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงต้องยอมรับมันดังนั้นเธอจึงจับมือของ เซา เสี่ยวหวาน ก่อนจะธิบายให้เธอฟัง “แม่คะ ในเมื่อ ทัง โรลชูว เรียกตำรวจมาแล้ว แม่ก็คงจะหนีไปไหนไม่ได้ในตอนนี้…”ได้ยินเช่นนั้น เซา เสี่ยวหวัน ก็ลุกลี้ลุกลนขึ้นมา “แล้วแม่จะทำยังไงดีล่ะ?” เมื่อเห็นว่าเธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้แล้ว กู โรลโรล ดึงมือของเธอก็จะพูดขึ้นว่า “แม่คะ ช่วยสงบสติอารมณ์ก่อนเถอะนะ” “ฉันจะสงบสติอารมณ์ได้ยังไงกัน?” เซา เสี่ยวหวัน ปัดม
เขาตั้งใจที่จะปฏิเสธคำสั่งของเธอที่จะให้บอดีการ์ดของเขาคอยจับตาดู เซา เสี่ยวหวันเหตุผลของเขาก็คือ บอดี้การ์ดของเขาจะไม่เต็มใจทำเธอรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินเหตุผลนั้น ในฐานะบอดี้การ์ดของเขา พวกเขาก็ควรจะเชื่อฟังคำสั่งไม่ใช่เหรอ? เมื่อเธอไม่เชื่อเขา ลู เซียวเหยา เรียกบอดี้การ์ดทั้งสองเข้ามาและสั่งให้พวกเขามายืนต่อหน้าเธอบอดี้การ์ดทั้งสองยิ้มเหยาะขึ้นมาพร้อมกัน หนึ่งในสองปฏิเสธคำสั่ง ลู เซียวเหยา “นายน้อย นายใหญ่ส่งให้พวกเรามาปกป้องคุณ ไม่ใช่ไปทำงานที่แสนน่าเบื่อนั่น”ทัง โรลชูว ถึงตกตะลึง! เขาไม่อยากจะเชื่อว่าบอดี้การ์ดของเขาจะ...โอหังขนาดนี้ลู เซียวเหยา ผายมือออกแสดงให้เห็นว่าเขาพยายามเต็มที่แล้วอย่างไรก็ตาม เธอก็ค้นพบวิธีที่จะแก้ปัญหานี้เธอเดินตรงไปที่บอดี้การ์ดทั้งสองคน ใบหน้าเล็กของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอถามขึ้นอย่างใสซื่อ “พี่ใหญ่ทั้งสอง พวกคุณกลัวนายใหญ่ลู หรือ นายน้อยลู มากกว่ากันงั้นเหรอ?”บอดี้การ์ดทั้งสองหันไปมองหน้ากันและตอบขึ้นอย่างไม่เต็มใจ “นายน้อยลู”ในเมื่อพวกเขาต่างกลัวชินจิน ปัญหานี้ก็สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดายทัง โรลชูว ถามขึ้นอย่างใส่ซื่ออีกครั้ง “พี
“แม่ของฉันรักการวาดภาพ ฉันได้ยินมาว่าคุณยายของฉันปลูกฝังความรักในงานศิลปะให้กับเธอตั้งแต่ยังเล็ก ดังนั้นเธอก็เลยมีพรสวรรค์ในการวาด”เมื่อเห็นว่าเขาคอยแต่จะหันหลังกลับไปมองภาพวาดที่เบาะด้านหลัง ทัง โรลชูว จึงพูดเรื่องแม่ของเธอให้ฟังขึ้นมาอย่างเต็มใจ“ภาพวาดนั้นสวยมาก” ลู เซียวเหยา พูดขึ้น ชื่นชมเธอด้วยใจจริง“ใช่มันสวยมาก แต่ภาพนี้ก็เป็นภาพสุดท้ายที่เหลืออยู่” พูดมาถึงช่วงนี้ ทัง โรลชูว ก็รู้สึกเสียใจ“ทำไมล่ะ?” ลู เซียวเหยา รู้สึกสงสัย ในเมื่อแม่ของเธอรักการวาดภาพ ก็ควรจะมีงานศิลปะของเธออย่างนับไม่ถ้วน“มันถูกเผาไปหมด” ทัง โรลชูว ตอบกลับด้วยท่าทีสบาย ๆ “แม่ของฉันเปราะบางและอ่อนแอมากในตอนนั้นเธอคงรู้ว่าเธอกำลังจะตายแล้ว เธอต้องการที่จะเผาภาพเหล่านั้นเพื่อที่เธอจะสามารถนำขึ้นไปอยู่บนสวรรค์กับเธอได้”ลู เซียวเหยา ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “ช่างเป็นคนที่มีความเด็ดเดี่ยวเสียจริง”ทัง โรลชูว ยิ้มแต่ไม่ได้พูดเรื่องนั้นต่อเธอหันหลังกลับไปมองที่ภาพวาดก่อนจะปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปเธออายุเพียงแค่ห้าขวบในตอนนั้น เมื่อแม่ของเธอวาดภาพนี้แม่กอดเธอและยกเธอขึ้นมานั่งบนตักก่อนจะลงมือวาดภาพ
ด้วยความที่ภายในรถเงียบ และ ทัง โรลชูว ก็อยู่ใกล้โทรศัพท์เธอจึงได้ยินเสียงหงุดหงิดของ เสี่ยวเซียวลอดผ่านออกมาทัง โรลชูว อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ที่ได้ยินเสียงเสี่ยวเซียวตัดพ้ออย่างกระมิดกระเมี้ยนแทน เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของ ทัง โรลชูว, ลู เซียวเหยา ก็รู้สึกอายขึ้นมา เขารีบพูดกับหญิงสาวที่ปลายสาย “ผมขับรถอยู่ คุณมีธุระสำคัญอะไรงั้นเหรอ? ถ้าไม่มีผมจะวางสายแล้วนะ”“ลู เซียวเหยา อย่าคิดที่จะวางสายฉันเชียวนะ!”เสียงคำรามของ หยิง เสี่ยวเซียว ทะลุผ่านแก้วหูของ ลู เซียวเหยา แทบจะทำให้แก้วหูเขาทะลุเขารีบดึงโทรศัพท์ออกจากหู และในตอนนั้นเองเขาก็เห็นว่าพี่สะใภ้ของเขากำลังขำอยู่ลู เซียวเหยา พูดไม่ออกสถานการ์ณเริ่มอึดอัดเมื่อเป็นเช่นนั้น ลู เซียวเหยา จึงกระแอมออกมาเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงนิ่ง “ผมจะไม่วางสาย บอกผมมาว่าเกิดอะไรขึ้น?”ปลายสายเงียบไปสักครู่หนึ่ง เสียงของ หยิง เสี่ยวเซียว ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ฉันจะเลี้ยงมื้อกลางวันนาย มารับฉันที่บ้านหลังจากนายเสร็จธุระ”“ทำไมล่ะ?” ลู เซียวเหยา รู้ดีว่าต้อง มีอะไรผิดปกติแน่ ๆ เธอจึงอยากเลี้ยงข้าวเขา“ไม่มีอะไรหรอกฉันก็แค่อยากจะเล
เมื่อเห็นว่าเธอยอมรับความผิด พ่อของเธอก็ลดเสียงให้อ่อนโยนลง ถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่าเขายังคงโกรธ“เสี่ยวเซียว พ่อรู้ว่าแกไม่อยากไปนัดบอดแต่ถึงกระนั้นแกก็ไม่ควรจะคว้าเอาชายแปลกหน้ามาอ้างว่าเป็นแฟนแก ซอง โม บอกเรื่องนี้กับพ่อวันนี้ พ่อรู้สึกละอายใจมาก!”“พ่อก็แค่โกรธเพราะตัวเองเสียหน้าเท่านั้นแหละ”เสี่ยวเซียวบ่นพึมพำในใจ อย่างไรก็ตามที่ยังไม่กล้าจะเอ่ยปากพูดอะไรออกไป ด้วยความกลัวว่าจะถูกพ่อดุขึ้นมาอีกเธอก้มหน้าต่ำลงและยังคงนิ่งเงียบ เป็นท่าทีของคนที่ยอมรับผิดพ่อของเธอใจอ่อนยวบก่อนจะถอนหายใจออกมา “ซอง โม เป็นเด็กฉลาดและว่านอนสอนง่ายมาตลอด เขาโดดเด่นมาก และแกก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาก็ควรจะเข้ากันได้ดีสิ ทำไมถึงไม่ชอบเขาล่ะ?”“พ่อ...” เสี่ยวเซียว เหนื่อยน่ะขึ้นก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “ถึงแม้ว่าเขาจะโดดเด่นกว่าคนอื่นก็จริง แต่หนูก็ไม่รู้สึกชอบเขาเลยสักนิด หนูไม่ได้ชอบเขาเลยจริง ๆ” “ลูกรักการแต่งงานมันไม่ใช่แค่ความรักเท่านั้นหรอกนะที่มากกว่านั้นก็คือการมีความสัมพันธ์ที่ดี และสถานะทางครอบครัวก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นกัน“ พ่อของเธอให้คำแนะนำที่จริงใจแก่เธอแต่เธอกลับไม่เห็นด้