"ได้ ได้ ได้ คุณชายหลินกรุณารอสักครู่ พวกเราจะไปเรียกคนมาจัดการเดี๋ยวนี้"แล้วเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคนก็รีบออกไปแต่เรื่องมันยังไม่จบ ในขณะที่ทุกคนต่างก็ไม่กล้าที่จะหายใจ ก็มีเสียงคำรามด้วยความโกรธอย่างรุนแรงดังมาจากทางประตูทางเข้าหอจัดงาน"เป็นใครกัน?! ที่กล้ามาฆ่าคนในวันมงคลของตระกูลชางของฉัน?!"หลังจากที่เสียงคำรามดังขึ้น หลินเฟิงก็หันหน้าไปทางประตูหอจัดงาน และทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งในชุดสูทสีขาวที่มาพร้อมกับดอกไม้กำลังเดินออกมาจากหอจัดงานเขามองไปทางสวี่เจี๋ยที่อยู่ไกลออกไป รวมถึงศพของเซียจื่อที่อยู่บนกำแพง ก่อนที่ร่างกายจะสั่นเทิ่มด้วยความโกรธ"เป็นใคร? ก้าวออกมา!"เขากวาดตามองคนทั้งหมดที่อยู่ด้านนอกหอประชุมด้วยสายตาที่โกรธเกรี้ยวจนในที่สุด ภายใต้สายตาของคนอื่น ๆที่มองไปทางหลินเฟิงที่นั่งอยู่ในมุม ๆหนึ่ง "เป็นผมเอง"หลินเฟิงมองเขาที่มองมาทางตัวเอง แล้วก็พยักหน้าอย่างซื่อตรงในขณะเดียวกัน เหล่าแขกที่อยู่ภายในหอประชุมก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงพากันเดินออกมาจากหอประชุมจนในที่สุด พวกเขาก็ได้เห็นฉากนองเลือดที่อยู่ด้านนอก และผู้หญิงหลาย ๆคนต่างก็ตกใจกลัวจ
แต่ไม่รอให้สวี่เจี๋ยได้พูดจบหัวของเขาก็ระเบิดทันที ราวกับแตงโมที่ระเบิดแตกกระจายจนเกลื่อนพื้นเสียงกรีดร้องรอบ ๆดังขึ้นอีกครั้งทันที"ผมเคยให้โอกาสพวกคุณแล้ว"หลินเฟิงพูดอย่างเย็นชา จากนั้นก็เก็บกลิ่นอายสังหารของตัวเอง แล้วเดินกลับไปที่นั่งของตัวเองอย่างสงบและที่ข้าง ๆที่นั่งของหลินเฟิง คนที่เซียจื่อเพิ่งพามาด้วยต่างก็ยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าทีที่เย็นชาคนพวกนี้ไม่ได้ร้องขอความเมตตาหรือพยายามที่จะหลบหนี แล้วก็ไม่ได้โกรธเกรี้ยวที่จะเข้าไปโจมตีเลยแต่กลับยืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบสงบกันทั้งหมดจนกระทั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคนลุกขึ้นมา แล้วมองไปยังพวกอันธพาลที่ผมสีฉูดฉาดพวกนั้นด้วยความหวาดกลัวและก็เห็นว่าดวงตาของคนพวกนั้นแต่ละคนเบิกกว้างและไม่มีลมหายใจแล้วอีกทั้งที่กลางหน้าผากของพวกเขาทุกคนต่างก็มีรูเลือดเล็ก ๆที่แทบจะมองไม่เห็นอยู่ตรงกลางหน้าผาก พร้อมกับมีเลือดไหลซึมลงมาตามหน้าผากของพวกเขาตายสนิทจนไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้อีกตอนนั้นเอง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคน ก็เข้าใจว่าทำไมสวี่เจี๋ยถึงได้ดูราวกับเห็นผี จนคลุ้มคลั่งและพยายามที่จะหนีเอาชีวิตรอดเขาที่อย
หลินเฟิงเก็บมือกลับมา ก่อนจะมองไปทางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคนที่ถูกเตะต่อยอยู่ไกล ๆ รวมถึงสายตาที่เฝ้ามองอยู่ไกล ๆด้วยความสนุกสนานหลินเฟิงส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นก็ไม่มีทางอื่นแล้ว”“ไม่มีอะไร.....”เซียจื่อที่อยู่ใกล้กับหลินเฟิงมากที่สุด ยังคงยิ้มเยาะและคิดจะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาจู่ ๆก็รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ขากรรไกรล่างสมองของเขาว่างเปล่าไปชั่วครู่และในตอนนี้เองที่เซียจื่อสังเกตเห็นว่าตัวเองนั้นเหมือนจะหลุดจากแรงโน้มถ่วงไปแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเบาอย่างมาก เบาจนเหมือนลอยในอากาศ“เอ๊ะ?”เขาต้องใช้เวลานานอย่างมากเพื่อให้ตัวเองกลับมามีสติอีกครั้งในที่สุดเมื่อเขาก็กลับมามีสติอีกครั้ง เพราะเสียงกระดูกที่ด้านหลังหัก และทันใดนั้นเขาก็พบว่า ร่างของตัวเองนั้นได้ถูกฝังอยู่ในกำแพงแล้วไม่รอให้เขาได้โต้ตอบกลับ ทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าเขาก็มืดลง และหมดสติไปในที่สุด“อ๊ะ_____!”ที่ด้านนอกหอประชุม ฝูงชนที่เพิ่งได้ชมความตื่นเต้นไปนั้น จู่ ๆผู้หญิงก็ตะโกนเสียงกรีดร้องออกมาดังลั่นเพียงแค่เห็นศพไร้หัวที่ฝังอยู่เหนือศีรษะ ในกำแพงตึกห้าชั้นตอนนี้ ที่
เขาใช้แท่งเหล็กทิ่มไปที่ใบหน้าของหลินเฟิง พร้อมกับมองไปทางลูกน้องที่อยู่โดยรอบแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า :“เฮ้ พวกแกดูสิ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ไอ้หนุ่มคนนี้ก็ยังแกล้งทำต่อหน้าฉันอีก!”“ไอ้หนุ่ม วันนี้แกไม่อยากจะมีชีวิตแล้วจริง ๆใช่ไหม?”“พี่เซีย คน ๆนี้อวดดีมาก ปล่อยให้พวกพี่น้องลงมือฆ่าเลย ถ้าตายแล้วก็ให้มันเป็นความผิดของผมเอง!”สวี่เจี๋ยที่อยู่ด้านข้างปิดหน้าพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มขึ้นมา “ได้!”ในตอนที่เซียจื่อกำลังจะยกแท่งเหล็กขึ้นมาเพื่อที่จะลงมือ ที่ด้านข้างของหลินเฟิงกลับมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนพุ่งเข้ามา“อย่า อย่า อย่า พี่น้องทุกท่าน วันนี้เป็นวันสำคัญของตระกูลชาง และโปรดอย่าโบกดาบและมีดในวันสำคัญของพวกเรา!”“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ถ้ามีเลือดในงานแต่งงานนี้ละก็...คงจะโชคร้ายแน่ ๆ!”เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองร้องขออย่างสิ้นหวังและหลินเฟิงที่นั่งอยู่ด้านหลังพวกเขา ก็ยกนิ้วขึ้นมานับหนึ่งด้วยน้ำเสียงเบา ๆเมื่อได้ยินคนด้านหลังเริ่มนับหนึ่ง เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทั้งสองก็ตกใจจนเหงื่อไหลท่วมไปทั้งตัวในเมื่อพวกเขาก็รู้กันอยู่แล้วว่าคนนี้ก็คือ อาจารย์ของเฝิงอวี
หลังจากนั้นไม่นานก็มีรถตู้ไม่น้อยกว่าสิบคันจอดที่บริเวณด้านนอกคฤหาสน์กองกำลังของทั้งสองฝ่ายรวมเข้าด้วยกันคนหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดสูทสีดำและแว่นตากันแดด ;และอีกกลุ่มหนึ่งที่มีทรงผมเกินจริง เช่นสีแดง เหลือง น้ำเงินและเขียว ที่มองดูแล้วราวกับอันธพาลข้างถนน“ใครกล้าตีเจี๋ยเจี๋ยน้อยของฉันกัน!”หญิงวัยกลางคนที่มีมาดไม่น้อยลงจากรถหรูคันหนึ่ง เธอสวมเสื้อกั๊กขนมิ้งค์ พร้อมกับชุดเดรสสีดำที่ประดับด้วยเพชรแต่เพราะว่าเธออ้วนเกินไป ชุดเดรสสีดำตัวนี้ก็เลยเหมือนกับหมูอ้วนที่ใส่ถุงน่องที่คนธรรมดาทั่วไปแค่มองดูก็รู้สึกเบื่อหน่ายจนกินข้าวไม่ลงหัวหน้ากลุ่มอันธพาลอีกคนที่แต่งทรงผมเกินจริง ก็โบกเหล็กที่อยู่ในมือไปมา แล้วตะโกนว่าใครกล้าแตะต้องตัวผู้จัดการในสถานที่นี้ของพวกเขา“เป็นเขา!”เมื่อสวี่เจี๋ยเห็นทั้งสองคนมาเร็วขนาดนี้ แถมยังพาคนมามากขนาดนี้ทันใดนั้นก็ตกตะลึงทันทีเขารีบไปต้อนรับ และชี้ไปทางหลินเฟิงที่กำลังนั่งอย่างสบายใจอยู่ไกล ๆ“เอ๊ะ?”หญิงอ้วนคนนั้นเห็นหลินเฟิง ก็มองตั้งแต่หัวจรดเท้า จู่ ๆแววตาก็สว่างวาบขึ้นมาทันทีถึงแม้ว่าผู้ชายคนนี้จะหน้าตาไม่ค่อยดีนักแต่กลับมีนิส
หลินเฟิงที่ไม่ได้เตรียมตัวที่จะถูกสาดน้ำใส่ในตอนแรกรู้สึกสับสนเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ได้ยินน้ำเสียงที่ยั่วยุของไอ้หนุ่มคนนี้ ก็โกรธขึ้นมาทันที “อยากตายเหรอ?”หลินเฟิงค่อย ๆเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความดุร้ายสวี่เจี๋ยที่ถูกหลินเฟิงทำให้ตกใจกลัว แต่ไม่นานก็กลับมาสงบเยือกเย็นเหมือนเดิม ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยว่า :“โอ๊ย ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ไอ้หนุ่มอย่างคุณยังเก่งเรื่องที่ทำให้คนอื่นตกใจกลัวอีกด้วย บอกผมมาสิ ว่าอันธพาลอย่างคุณมาจากที่ไหน?”“อันธพาลที่ไหน?หลินเฟิงก็ไม่ได้สนใจที่จะสุภาพกับชายหนุ่มคนนี้อีก ก่อนจะคว้าคอเสื้อของเขา แล้วกระแทกเขาทั้งร่างลงบนโต๊ะเสียงโต๊ะแตกหักกระจายดึงดูดความสนใจของผู้คนโดยรอบทันที“เอ๊ะ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”“เอ๊ะ? นั้นไม่ใช่สวี่เจี๋ยหรอกเหรอ? พระเจ้า สวี่เจี๋ย ถูกคนตีงั้นเหรอ?”เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาที่จ้องมองมาจากรอบด้านแล้ว สวี่เจี๋ยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดในตอนนี้ ก็คุกเข่าลงอย่างมึนงงเล็กน้อยที่เท้าของหลินเฟิง ไอ้หนุ่มคนนี้จะพูดว่าลงมือ ก็ลงมือเลยอย่างนั้นเหรอ?“ผมให้โอกาสคุณเป็นครั้งสุดท้าย ออกไปให้พ้นซะ”หลินเฟิงลูบผ
อย่างไรก็ตามขณะที่จางกุ้ยหลานกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็มีหญิงวัยกลางคนหลาย ๆคนที่อยู่ไกล ๆเอ่ยเรียกชื่อของสวี่เจี๋ยขึ้นมา“พี่จาง คุณไม่ต้องรีบร้อน ฉันจะมาเดี๋ยวนี้”หลังจากที่ทักทายกันแล้ว สวี่เจี๋ยก็พยักหน้าและยิ้มให้กับจางกุ้ยหลานและลูกสาวพร้อมกับพูดว่า :“สาวสวยทั้งสอง ต้องขอโทษด้วยที่ฉันต้องขอตัวก่อน”และสุดท้ายก่อนที่แยกจากไป เขาก็ยังไม่ลืมที่จะเป่าผิวปากไปทางหลี่ฮุ่ยหราน“หึหึ สวี่เฉิงเฮ่าคุณช่างมีลูกชายที่ดีจริง ๆ”จางกุ้ยหลานมองไปทางซู่เจี่ยที่แยกจากไป โดยไม่ลืมที่จะหยอกล้อสวี่เฉิงเฮ่า“หึหึ ไอ้หนุ่มหน้าโง่นั่น ไม่มีความสามารถอย่างอื่นเลย เก่งแต่เรื่องใช้ปากพูดนั้นแหละ”หลังจากที่พูดจบ สวี่เฉิงเฮ่าก็มองไปทางหลี่ฮุ่ยหราน แล้วถามหยั่งเชิงว่า :“เป็นอย่างไรบ้างล่ะฮุ่ยหราน ไม่ว่าจะพูดยังไงลูกชายของผมก็เป็นถึงผู้จัดการระดับภูมิภาคเลยนะ”“ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ความสัมพันธ์ของอดีตสามีของคุณกับคุณก็ตาม แต่จากที่ผมได้ยินสิ่งที่แม่คุณบอกมา ก็รู้สึกว่าอดีตสามีคนนี้ของคุณดูไม่น่าเชื่อถือเลยนะ”“ใช่แล้วฮุ่ยหราน ลูกดูสิว่าสวี่เจี๋ยพูดเก่งแค่ไหน ไม่เหมือนกับหลินเฟิง ที่จะหาเรื่องแม่เท
“เฮ้ เฮ้ เฮ้ พวกคุณเข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดแล้ว!”สวี่เฉิงเฮ่ารีบโบกมือไปมา พร้อมกับพูดว่า :“ผมกำลังพูดลูกชายของผม ลูกชายของผมตอนนี้อายุก็น่าจะใกล้เคียงกับฮุ่ยหราน แถมยังทำงานอยู่ในบริษัทใหญ่อีกด้วย อนาคตไร้ขีดจำกัด”ในขณะที่พูดแบบนี้ออกมา สวี่เฉิงเฮ่าก็ถอนหายใจออกมาอย่างเสียดายเงียบ ๆถ้าการคัดค้านของแม่ลูกคู่นี้ ไม่ได้รุนแรงขนาดนี้เขาก็อยากลองดูสักตั้งในเมื่อหลี่ฮุ่ยหรานก็เติบโตมาสวยจริง ๆเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่สวยที่สุดในประเทศมังกรและเพราะว่าอยู่ในตำแหน่งสูง บรรยากาศรอบตัวก็เลยทั้งเย็นชาและมืดมนผู้ชายแทบจะทุกคน ต่างก็ต้องการที่จะเอาชนะหญิงสาวผู้เย็นชาแบบนี้จากใจจริงแม้ว่าอายุจะแตกต่างกันมากก็ตามไอ้แก่คนนี้ก็มีความคิดอย่างอื่นเหมือนกันหลังจากได้ยินสวี่เฉิงเฮ่าอธิบาย ท่าทางของจางกุ้ยหลานก็ดีขึ้นไม่น้อย ในตอนที่จางกุ้ยหลานกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง หลี่ฮุ่ยหรานก็ปฏิเสธขึ้นมาทันที“ลุงเฉิงเฮ่า ขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่ถึงแม้ฉันกับหลินเฟิงจะหย่ากันแล้ว แต่ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ยังดีกันมาก และพวกเราก็จะแต่งงานกันใหม่เร็ว ๆนี้อีกครั้ง”เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ฮุ่ยหราน สวี่เ
เขาถอดเสื้อคลุมออกแล้วสวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวเท่านั้น และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเฝิงอวี้อู่ก็พอจะเข้าใจ ดังนั้นจึงพยักหน้าพร้อมกับพูดว่า :“งั้นอาจารย์ ผมขอเข้าไปก่อน หากตระกูลชางยังกล้าห้ามคุณอีก คุณเรียกผมได้เลยนะ”“ได้”หลังจากที่มองส่งเฝิงอวี้อู่เข้าไปในหอประชุม รวมถึงคนสำคัญและคนดังมากมายจากทั้งเมืองหนิงโจว ที่รวมตัวกันอยู่รอบตัวเขาแยกจากไป หลินเฟิงก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีคนที่สนใจตัวเองน้อยลงแล้วเพราะอย่างนั้นเขาจึงเดินไปหยิบอาหารจากโต๊ะบุพเฟ่ต์ที่ด้านนอกของหอประชุมมานั่งกินคนเดียวในมุมหนึ่งแล้วตอนนี้ก็รอแค่จ้าวเทียนหวาและเสื้อสูทตัวใหม่ของตัวเองมาเท่านั้นและภายในหอประชุมภายในหอประชุมขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยตระกูลร่ำรวยและนักธุรกิจที่มาจากทั่วเมืองหนิงโจวพิธีแต่งงานยังไม่ได้เริ่มอย่างเป็นทางการ เพราะอย่างนั้นคนเหล่านี้จึงรวมตัวกันเป็นกลุ่มสองสามคนเพื่อที่จะสนทนาด้วยกัน“ชุดนี้สวยมาก ฮุ่ยหรานสวมแล้วดูเหมาะสมอย่างมาก!”“ใช่ ใช่ ถ้าลูกสาวของฉันสวยอย่างนี้ก็ดีแล้ว”ในตอนนี้หลี่ฮุ่ยหรานกำลังถือแก้วไวน์พร้อมกับมองตรง