เมื่อหลิ่วอี๋เหนียงได้ยินอย่างนั้น นางก็รีบพูดว่า "เมื่อเดือนที่แล้ว! เรื่องเมื่อเดือนที่แล้ว! ” "แล้วเหตุใดเจ้าไม่พูดให้เร็วกว่านี้!" เสิ่นจิ้นโกรธมาก แม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาจะไปที่ห้องของหลิ่วอี๋เหนียง แต่เขาก็ทำเรื่องอย่างนั้นน้อยมาก แล้วที่เมื่อเดือนก่อนมีเรื่องนั้นขึ้นมาก็เพราะนางหลิ่วบังเอิญฉลองวันเกิดของนางในคืนนั้น และนางเข้ามาคลอเคลีย เขาเองก็ปฏิเสธไม่ได้ แต่ตอนแรกก็คิดว่า ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นผู้หญิงของตนเอง ทำแล้วก็ทำไป ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แต่ใครจะรู้ว่า หลิ่วอี๋เหนียงจะอยู่ไม่สงบถึงขั้นนี้ พาหลานสาวมาสร้างปัญหาถึงงานวันเกิดที่จวนอ๋องหมิงหยาง ! ตอนนี้ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ว่านางหลิ่วมีชู้ แล้วจู่ๆในเวลานี้ ก็มีเด็กคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น...... เสิ่นจิ้นลุกขึ้น เดินออกไป เมื่อมองไปที่สีหน้าของหลิ่วอี๋เหนียงอีกครั้ง ก็รู้สึกยากที่จะอธิบาย และเต็มไปด้วยความสงสัย เมื่อหลิ่วอี๋เหนียงเห็นเขาก็รู้สึกร้อนรน และพูดอย่างลังเลว่า" นี่ นี่ในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ง่ายมากที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝัน อนุแค่ต้องการเก็บไว้ก่อน เพื่อเลี่ยงที่จะถูกคนทำร้าย......" "นา
นางหันหน้าไปพูดกับไป๋ชี "ท่านช่วยไปติดประกาศหน่อย บอกว่าคุณหนูเสิ่นสามวันนี้ประพฤติตัวไม่เหมาะสม เพราะนางโกรธมากที่แม่ของนางสาบานว่าแม้ตายก็จะปกป้องซ่งหว่านฉิง จึงได้โบยแส้นางไปสามสิบครั้ง จนผิวหนังและเนื้อของนางก็ปริออก...... พฤติกรรมของคุณหนูเสิ่นสามตอนนี้ร้ายยิ่งกว่าเดรัจฉาน นางสมควรตกนรก” ไป๋ชีสบตานาง เพียงรู้สึกว่าความโหดเหี้ยมในดวงตาของนางนั้นทำให้คนรู้สึกกลัวมาก "นั่น ก็ไม่จำเป็นต้องว่าตนเองเช่นนี้ เป็นเพราะพวกนางมีความผิดก่อน......"เพราะนางพูดว่าตนเองรุนแรงเกินไป ไป๋ชีจึงรู้สึกว่ามันมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงช่วยนางพูดเสริม รอให้พูดจบแล้ว เขาถึงได้รู้สึกตัวว่าเขากําลังช่วยคุณหนูสามเสิ่นพูดอยู่? ช่วงหนึ่งก็รู้สึกระคายคอขึ้นมา ไม่รู้จะจัดการกับตัวเองยังไงดี "เจ้าแค่ไปทำตามนั้นก็พอ" เสิ่นอวี้ไม่ได้พูดอะไรมาก "เมื่อประกาศติดเสร็จแล้ว ข้าจะไปประทับตราลายมือ” หลังจากพูดจบ นางก็ก้มหน้ามองนางหลิ่ว "นางหลิ่ว ท่านยังมีอะไรมาข่มขู่จวนโหวได้อีกหรือ พูดมาให้หมดเลย เห็นแก่ฐานะแม่และลูกสาวของเรา ข้าจะเติมเต็มให้ท่านพอใจ ” นางหลิ่วจ้องมองนางอย่างตะลึงงัน นางกลายเป็นแบบนี้ไปไ
แต่ตอนนี้นางเป็นแค่สาวใช้ เหลียนเฉียวเคยถูกนางกดขี่มาก่อน ความประทับใจต่อนางก็ยิ่งไม่มีเลย ตอนนี้ก็ถูกเปิดโปงแล้ว จึงขี้เกียจเกินกว่าที่จะไปกู้คืนหน้าตาตัวเอง นางจึงหันไปพูดทันทีว่า: "คุณหนูซ่งจะดีแค่ไหนกันหรือ ตอนนี้ก็เป็นแค่สาวใช้ราคาถูก...... ต่อจากนี้ไปข้าขอไม่เป็นสาวใช้ราคาถูกดีกว่า คนที่ไม่รู้จักยังคิดว่าเจ้าประเมินตนเองได้ถูกต้อง! ” “อั๊ก!” ซ่งหว่านฉิงโกรธจนกระอักเลือดแล้วล้มลงกับพื้น "ฉิงเอ๋อร์!" หัวใจของนางหลิ่วเหมือนถูกมีดกรีด หลังจากจ้องมองเสิ่นอวี้อย่างเหี้ยมโหด ก็พุ่งตัวเข้าไปหาซ่งหว่านฉิง เสิ่นอวี้กะพริบตา รู้สึกแสบจมูก แต่ในที่สุดร่องรอยของน้ำตาก็ถูกกลั้นเอาไว้ แม้ว่านางจะต้องการมันอีกครั้ง แต่ในชีวิตนี้ของนางก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะได้รับความรักความโปรดปรานจากแม่ผู้ให้กําเนิด นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พูดด้วยเสียงทุ้ม: "ซงลู่ เรียกคนมาสองคนให้พาตัวพวกนางกลับไป เรื่องที่เหลือค่อยมาคุยกันพรุ่งนี้”"เจ้าค่ะคุณหนู" ซงลู่เรียกสาวใช้มาสองสามคนทันที จากนั้นลากนางหลิ่วและซ่งหว่านฉิงออกไปเหมือนลากสุนัขที่ตายแล้ว นางหลิ่วจ้องไปที่เสิ่นจิ้น ดวงตาเต็มไปด้วย
เมื่อได้ยินอย่างนั้นเสิ่นอวี้รู้สึกตะขิดตะขวงเล็กน้อย นางรีบส่ายหัวและเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ต่อไป.....ข้ากับองค์ชายสามจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก แม้ว่าจะมี แต่ก็เป็นความสัมพันธ์แบบความเป็นความตาย และไม่มีอะไรที่ไป๋ชีจะรู้ไม่ได้ ” เมื่อได้ยินสิ่งนี้เสิ่นจิ้นตกตะลึงเล็กน้อย เขามองนางด้วยความไม่เชื่อ "เจ้าทําได้หรือ?” ถ้าเขาจําไม่ผิด ลูกสาวตัวน้อยของเขาตั้งแต่อายุเจ็บแปดขวบก็ตะโกนอย่างไร้ยางอายทุกวันเกี่ยวกับความสุขของนางกับองค์ชายสาม และเวลาก็ผ่านมาเจ็ดแปดปีแล้ว มีที่ไหนกันที่พูดว่าตัดขาดก็จะตัดขาดเลย? เสิ่นอวี้รู้สึกอับอายอย่างมาก แต่ก็ยังพูดว่า "เมื่อก่อนเพราะอวี้เอ๋อร์ไม่รู้ความ คำพูดมากมายล้วนฟังมาจากนางหลิ่วและซ่งหว่านฉิง หลังจากที่พวกนางพูดกรอกหูข้ามาเป็นเวลานาน ข้าจึงคิดว่าท่านอ๋องหมิงหยางนั้นด้อยกว่าองค์ชายสามจริงๆ และคิดว่าคนในใจของข้าคือองค์ชายสาม ” “แต่ตอนนี้อวี้เอ๋อร์โตขึ้นแล้ว และก็มีวิจารณญาณของตัวเอง ข้าไม่ได้รักองค์ชายสาม มันเป็นเพียงภาพลวงตาที่นางหลิ่วและซ่งหว่านฉิงมอบให้ข้า แต่กับอ๋องหมิงหยางนั้น......" เสิ่นอวี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ใบหน้าก็แดงระเรื่อ นาง
ในชาติที่แล้ว ตนฉีกทะเบียนสมรสต่อหน้าสาธารณะ ท่านอ๋องเฒ่าก็โกรธมาก จนทำให้สุดท้ายจ้านอวิ๋นเซียวต้องออกมาช่วยชีวิตนาง ทั้งยังคุกเข่าอยู่นอกประตูจวนอ๋องเป็นเวลาสามวันสามคืน ถึงกระนั้น ท่านอ๋องเฒ่าและองค์หญิงใหญ่ก็ยังไม่สามารถขจัดความโกรธของพวกเขาได้ ท่านอ๋องเฒ่าและองค์หญิงใหญ่ก็ถือว่าตระกูลเสิ่นเป็นหนามยอกอก แล้วรวมกลุ่มกับขุนนางในราชสำนักเพื่อปราบปรามตระกูลเสิ่น โดยต้องการขับไล่ตระกูลเสิ่นออกจากเมืองหลวง ตระกูลเสิ่นตกอยู่ในภาวะตกต่ำอย่างยิ่ง พี่หญิงใหญ่ที่เด่นทั้งด้านศีลธรรมและศิลปะ เพื่อรักษาตระกูลเสิ่นไว้จึงต้องแต่งงานกับ อ๋องฉีเฒ่า น้องชายของฮ่องเต้ในฐานะอนุ และสูญเสียชีวิตทั้งชีวิตของนางไป เมื่อเสิ่นอวี้คิดถึงสิ่งเหล่านี้ในตอนนี้ ก็ยังคงรู้สึกผิดมาก นางมองไปที่เสิ่นจิ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะสำลัก "เป็นเพราะอวี้เอ๋อร์ไม่ดี ทำให้ท่านพ่อของข้าต้องทนทุกข์ทรมาน” "ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร" เสิ่นจิ้นถอนหายใจ “ท่านอ๋องเฒ่าย่อมต้องโกรธ แต่ไม่ว่าเขาจะโกรธแค่ไหน เขาก็ต้องคํานึงถึงผลประโยชน์ของทั้งสองตระกูลด้วย นอกจากนี้ทะเบียนสมรสก็ยังคงอยู่ องค์ชายสามและเจ้ากรมซุนก็เอะอะไปครั้
เสิ่นจิ้นส่งสัญญาณให้เสิ่นฉือปิดประตู เมื่อเห็นสิ่งนี้หัวใจของเสิ่นอวี้ก็ยิ่งกลัดกลุ้มและเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ เสิ่นจิ้นยิ่งเก็บเป็นความลับมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งไม่กล้าแพร่งพรายมากเท่านั้น และยิ่งพิสูจน์ว่าความจริงนั้นเลวร้ายยิ่งกว่านั้นอีก หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครแอบแนบหูฟังอยู่ข้างนอก เสิ่นจิ้นกล่าวว่า " ในตอนนั้นองค์หญิงใหญ่และเซี่ยฉางหลิวแพทย์ของฮ่องเต้เป็นคู่รักกันในวัยเด็ก เดิมทีพวกเขาคุยเรื่องแต่งงานกันแล้ว แต่กลับถูกท่านอ๋องเฒ่าจ้านต้องตา และขอฮ่องเต้แต่งงานก่อน” เมื่อเสิ่นอวี้ ได้ยินชื่อนี้ก็รู้แจ้งไปถึงจิตวิญญาณ " องค์หญิงใหญ่มีชื่อตำแหน่งว่า 'ฉางหลิว' นั่นเกี่ยวข้องกับเซี่ยฉางหลิวคนนี้หรือไม่” เสิ่นจิ้นพยักหน้า "มีความเกี่ยวข้อง เจ้าฟังก่อน ข้าจะค่อยๆพูด” "หลังจากที่ท่านอ๋องเฒ่าจ้านขอแต่งงาน องค์หญิงใหญ่ก็คุกเข่าท่ามกลางพายุฝนและขอร้องให้ฮ่องเต้ยกเลิกสัญญาการแต่งงาน แต่ฮ่องเต้ปฏิเสธนาง โดยอ้างว่าท่านผู้เฒ่าจ้านเพิ่งเสียชีวิตไป และบอกให้นางแต่งงานกับท่านอ๋องเฒ่าจ้านโดยไม่มีคำอธิบาย......" "กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ องค์หญิงใหญ่เป็นหมากในมือของอดีตฮ่องเต้ เพื่อเอาใจท่านอ๋อ
คืนนั้นองค์หญิงใหญ่สูญเสียผู้เป็นที่รักและใจสลาย ท่านอ๋องเฒ่าจ้านก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่นางไปหาเซี่ยฉางหลิว แล้วดื่ม เหล้า หลังจากกลับมา เพราะฤทธิ์เหล้าเขาจึงบีบบังคับร่วมหอกับนางได้”“......” คําพูดของเสิ่นจิ้นทําให้เสิ่นอวี้และฮูหยินใหญ่ตกตะลึง "ท่านอ๋องเฒ่าจ้านคนนี้ไม่ใช่มนุษย์!" ฮูหยินใหญ่อดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ถ้าอย่างนั้น ท่านอ๋องหมิงหยางก็อยู่ในครรภ์ในคืนนั้นใช่หรือไม่? ไม่น่าแปลกใจที่ในเวลานั้นองค์หญิงใหญ่มักจะอยากฆ่าลูก ข้ายังคิดว่าร่างกายนางไม่สบายตรงไหน แล้วไม่เหมาะที่จะคลอดลูก ......" "ตอนนี้มาคิดดูแล้ว เกรงว่าหัวใจขององค์หญิงใหญ่น่าจะเกลียดเด็กอย่างสุดขั้วหัวใจ" นั่นเป็นพยานมีชีวิตที่น่าอับอายของนาง ตราบใดที่จ้านอวิ๋นเซียวอยู่ในท้องของนาง คลอดออกมา และอยู่รอดได้หนึ่งวัน นางก็จะรังเกียจเพิ่มขึ้นอีกวัน ทําให้นางนึกถึงอดีตซ้ำแล้วซ้ำอีก ตายไปยังดีกว่ามีชีวิตอยู่ เมื่อได้ยินสิ่งนี้เสิ่นอวี้ก็เกือบจะน้ำตาไหล นางเห็นอกเห็นใจองค์หญิงใหญ่ และรู้สึกสงสารจ้านอวิ๋นเซียว จ้านอวิ๋นเซียวไร้เดียงสา เขาเป็นแค่เด็ก แต่เขากลับเกิดมาสัมผัสกับความขยะแขยงของมารดา เช่นนั้นตอนที
“น้องหญิง ข้ามาส่งเจ้าเดินทางแล้ว” ฤดูหนาวเดือนสิบสอง พายุหิมะโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าภายในคุกที่มืดสลัวและหนาวเหน็บ ผู้หญิงผอมแห้งและสีหน้าซีดเซียวคนหนึ่งขดตัวเป็นก้อน อาภรณ์บนกายขาดรุ่งริ่ง ผิวหนังปริเนื้อปลิ้น คราบเลือดสีแดงเข้มแข็งตัวแล้วนางขดตัวเป็นก้อนราวกับตายแล้ว ในดวงตาที่บวมแดงและเหือดแห้งเหลือเพียงความเกลียดชังอันบริสุทธิ์ผู้พูดคือซ่งหว่านฉิ่งลูกพี่ลูกน้องของนางนางสวมชุดเพ้าหงส์ที่ปราศจากมลทิน ใบหน้าที่มีความจริตจะก้านแต่เดิมก็ถูกมงกุฎหงส์อันหรูหราบั่นทอนลง และมีความเย่อหยิ่งเพิ่มขึ้นหลายส่วนเสิ่นอวี้เงยหน้ามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าผ่านไปครู่หนึ่ง จึงจะเอ่ยปากอย่างเคร่งขรึม “แรกเริ่มคุกเข่าต่อหน้าข้า อ้อนวอนให้ข้ารับเจ้าเข้าจวนโหว[footnoteRef:1] เจ้ามันก็เป็นแค่สุนัขไร้บ้าน” [1: โหว เป็นตำแหน่งขุนนางขั้นสูงของจีนโบราณ เทียบเท่าเจ้าพระยา] ตระกูลเสิ่นเลี้ยงนางสิบสี่ปี นางรักษามดลูกเย็นของผู้หญิงคนนี้ด้วยมือจนหายขาด แต่ใครจะคาดคิดว่ากลับเลี้ยงออกมาเป็นคนเนรคุณเช่นนี้“หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ต่อให้นำยาของข้าไปเลี้ยงสุนัข ก็ไม่ให้เจ้ากิน!” สายตาเสิ่นอวี้ไปต