ในชาติที่แล้ว ตนฉีกทะเบียนสมรสต่อหน้าสาธารณะ ท่านอ๋องเฒ่าก็โกรธมาก จนทำให้สุดท้ายจ้านอวิ๋นเซียวต้องออกมาช่วยชีวิตนาง ทั้งยังคุกเข่าอยู่นอกประตูจวนอ๋องเป็นเวลาสามวันสามคืน ถึงกระนั้น ท่านอ๋องเฒ่าและองค์หญิงใหญ่ก็ยังไม่สามารถขจัดความโกรธของพวกเขาได้ ท่านอ๋องเฒ่าและองค์หญิงใหญ่ก็ถือว่าตระกูลเสิ่นเป็นหนามยอกอก แล้วรวมกลุ่มกับขุนนางในราชสำนักเพื่อปราบปรามตระกูลเสิ่น โดยต้องการขับไล่ตระกูลเสิ่นออกจากเมืองหลวง ตระกูลเสิ่นตกอยู่ในภาวะตกต่ำอย่างยิ่ง พี่หญิงใหญ่ที่เด่นทั้งด้านศีลธรรมและศิลปะ เพื่อรักษาตระกูลเสิ่นไว้จึงต้องแต่งงานกับ อ๋องฉีเฒ่า น้องชายของฮ่องเต้ในฐานะอนุ และสูญเสียชีวิตทั้งชีวิตของนางไป เมื่อเสิ่นอวี้คิดถึงสิ่งเหล่านี้ในตอนนี้ ก็ยังคงรู้สึกผิดมาก นางมองไปที่เสิ่นจิ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะสำลัก "เป็นเพราะอวี้เอ๋อร์ไม่ดี ทำให้ท่านพ่อของข้าต้องทนทุกข์ทรมาน” "ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร" เสิ่นจิ้นถอนหายใจ “ท่านอ๋องเฒ่าย่อมต้องโกรธ แต่ไม่ว่าเขาจะโกรธแค่ไหน เขาก็ต้องคํานึงถึงผลประโยชน์ของทั้งสองตระกูลด้วย นอกจากนี้ทะเบียนสมรสก็ยังคงอยู่ องค์ชายสามและเจ้ากรมซุนก็เอะอะไปครั้
เสิ่นจิ้นส่งสัญญาณให้เสิ่นฉือปิดประตู เมื่อเห็นสิ่งนี้หัวใจของเสิ่นอวี้ก็ยิ่งกลัดกลุ้มและเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ เสิ่นจิ้นยิ่งเก็บเป็นความลับมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งไม่กล้าแพร่งพรายมากเท่านั้น และยิ่งพิสูจน์ว่าความจริงนั้นเลวร้ายยิ่งกว่านั้นอีก หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครแอบแนบหูฟังอยู่ข้างนอก เสิ่นจิ้นกล่าวว่า " ในตอนนั้นองค์หญิงใหญ่และเซี่ยฉางหลิวแพทย์ของฮ่องเต้เป็นคู่รักกันในวัยเด็ก เดิมทีพวกเขาคุยเรื่องแต่งงานกันแล้ว แต่กลับถูกท่านอ๋องเฒ่าจ้านต้องตา และขอฮ่องเต้แต่งงานก่อน” เมื่อเสิ่นอวี้ ได้ยินชื่อนี้ก็รู้แจ้งไปถึงจิตวิญญาณ " องค์หญิงใหญ่มีชื่อตำแหน่งว่า 'ฉางหลิว' นั่นเกี่ยวข้องกับเซี่ยฉางหลิวคนนี้หรือไม่” เสิ่นจิ้นพยักหน้า "มีความเกี่ยวข้อง เจ้าฟังก่อน ข้าจะค่อยๆพูด” "หลังจากที่ท่านอ๋องเฒ่าจ้านขอแต่งงาน องค์หญิงใหญ่ก็คุกเข่าท่ามกลางพายุฝนและขอร้องให้ฮ่องเต้ยกเลิกสัญญาการแต่งงาน แต่ฮ่องเต้ปฏิเสธนาง โดยอ้างว่าท่านผู้เฒ่าจ้านเพิ่งเสียชีวิตไป และบอกให้นางแต่งงานกับท่านอ๋องเฒ่าจ้านโดยไม่มีคำอธิบาย......" "กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ องค์หญิงใหญ่เป็นหมากในมือของอดีตฮ่องเต้ เพื่อเอาใจท่านอ๋อ
คืนนั้นองค์หญิงใหญ่สูญเสียผู้เป็นที่รักและใจสลาย ท่านอ๋องเฒ่าจ้านก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่นางไปหาเซี่ยฉางหลิว แล้วดื่ม เหล้า หลังจากกลับมา เพราะฤทธิ์เหล้าเขาจึงบีบบังคับร่วมหอกับนางได้”“......” คําพูดของเสิ่นจิ้นทําให้เสิ่นอวี้และฮูหยินใหญ่ตกตะลึง "ท่านอ๋องเฒ่าจ้านคนนี้ไม่ใช่มนุษย์!" ฮูหยินใหญ่อดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ถ้าอย่างนั้น ท่านอ๋องหมิงหยางก็อยู่ในครรภ์ในคืนนั้นใช่หรือไม่? ไม่น่าแปลกใจที่ในเวลานั้นองค์หญิงใหญ่มักจะอยากฆ่าลูก ข้ายังคิดว่าร่างกายนางไม่สบายตรงไหน แล้วไม่เหมาะที่จะคลอดลูก ......" "ตอนนี้มาคิดดูแล้ว เกรงว่าหัวใจขององค์หญิงใหญ่น่าจะเกลียดเด็กอย่างสุดขั้วหัวใจ" นั่นเป็นพยานมีชีวิตที่น่าอับอายของนาง ตราบใดที่จ้านอวิ๋นเซียวอยู่ในท้องของนาง คลอดออกมา และอยู่รอดได้หนึ่งวัน นางก็จะรังเกียจเพิ่มขึ้นอีกวัน ทําให้นางนึกถึงอดีตซ้ำแล้วซ้ำอีก ตายไปยังดีกว่ามีชีวิตอยู่ เมื่อได้ยินสิ่งนี้เสิ่นอวี้ก็เกือบจะน้ำตาไหล นางเห็นอกเห็นใจองค์หญิงใหญ่ และรู้สึกสงสารจ้านอวิ๋นเซียว จ้านอวิ๋นเซียวไร้เดียงสา เขาเป็นแค่เด็ก แต่เขากลับเกิดมาสัมผัสกับความขยะแขยงของมารดา เช่นนั้นตอนที
“น้องหญิง ข้ามาส่งเจ้าเดินทางแล้ว” ฤดูหนาวเดือนสิบสอง พายุหิมะโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าภายในคุกที่มืดสลัวและหนาวเหน็บ ผู้หญิงผอมแห้งและสีหน้าซีดเซียวคนหนึ่งขดตัวเป็นก้อน อาภรณ์บนกายขาดรุ่งริ่ง ผิวหนังปริเนื้อปลิ้น คราบเลือดสีแดงเข้มแข็งตัวแล้วนางขดตัวเป็นก้อนราวกับตายแล้ว ในดวงตาที่บวมแดงและเหือดแห้งเหลือเพียงความเกลียดชังอันบริสุทธิ์ผู้พูดคือซ่งหว่านฉิ่งลูกพี่ลูกน้องของนางนางสวมชุดเพ้าหงส์ที่ปราศจากมลทิน ใบหน้าที่มีความจริตจะก้านแต่เดิมก็ถูกมงกุฎหงส์อันหรูหราบั่นทอนลง และมีความเย่อหยิ่งเพิ่มขึ้นหลายส่วนเสิ่นอวี้เงยหน้ามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าผ่านไปครู่หนึ่ง จึงจะเอ่ยปากอย่างเคร่งขรึม “แรกเริ่มคุกเข่าต่อหน้าข้า อ้อนวอนให้ข้ารับเจ้าเข้าจวนโหว[footnoteRef:1] เจ้ามันก็เป็นแค่สุนัขไร้บ้าน” [1: โหว เป็นตำแหน่งขุนนางขั้นสูงของจีนโบราณ เทียบเท่าเจ้าพระยา] ตระกูลเสิ่นเลี้ยงนางสิบสี่ปี นางรักษามดลูกเย็นของผู้หญิงคนนี้ด้วยมือจนหายขาด แต่ใครจะคาดคิดว่ากลับเลี้ยงออกมาเป็นคนเนรคุณเช่นนี้“หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ต่อให้นำยาของข้าไปเลี้ยงสุนัข ก็ไม่ให้เจ้ากิน!” สายตาเสิ่นอวี้ไปต
เมื่อถึงเดือนห้าเดือนหก สภาพอากาศของอิ๋งโจวก็ฝนตกเสียงปรอยๆ ไม่รู้จบหยาดฝนกระทบหน้าต่าง เสิ่นอวี้นอนหมดสติอยู่บนเตียงสาวใช้ซงลู่เดินเข้าเรือนอย่างเร่งรีบ พลางกล่าว “ฮูหยินใหญ่กลับมาแล้ว บอกว่าหมอหลวงในวังไปจวนอ๋องหมิงหยางกันหมด ตอนนี้ไม่มีใครว่างเลย เจ้าเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้คุณหนูอีก…”“อ๋องหมิงหยางยังไม่ฟื้นหรือ?”ถานเซียงเงยหน้า สีหน้าเคร่งขรึม “อ๋องหมิงหยางเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของจวนอ๋อง ตอนนี้เพื่อช่วยคุณหนูของเราจึงบาดเจ็บสาหัส หากไม่ฟื้น อย่าว่าแต่คุณหนูตามหาหมอเลย จวนอ๋องรื้อถอนจวนของเราก็อาจเป็นได้!” ซงลู่ขมวดคิ้วแน่น “ใช่ นายท่านไปขอโทษที่จวนอ๋องแล้ว ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร…หลิ่วอี๋เหนียง[footnoteRef:1]คนนี้อย่างไรก็เป็นแม่แท้ๆ ก็ไม่รู้จักช่วยหาหมอเสียเลย วันๆ รู้จักแต่เป็นห่วงคุณหนูซ่ง!” [1: อี๋เหนียง / อนุ = เมียน้อย ถือว่าเป็นเมีย มีหน้ามีตาระดับหนึ่ง แต่อยู่ต่อหน้าเมียหลวงก็เรียกแทนตัวเองว่าบ่าว และลูกของอี๋เหนียงต้องเรียกเมียหลวงว่าแม่] ถานเซียงได้ยินอดไม่ได้ที่จะพร่ำบ่นเล็กน้อย “พูดถึงคุณหนูของเรานี่ก็จริงๆ เลย มีหมั้นหมายกับอ๋องหมิงหยางดีๆ ไม่เอา จะตามเกาะ
จื่อซูเข้าเรือน เมื่อเห็นเสิ่นอวี้ฟิ้นแล้ว ใบหน้าที่เปียกปอนเผยให้เห็นรอยยิ้มทันที “คุณหนูฟื้นแล้ว? นี่มันเยี่ยมไปเลย!”ถานเซียงอดไม่ได้ที่จะกล่าว “นางมาทำอะไรเวลานี้? หากไม่ใช่เพราะนางกับหลิ่วอี๋เหนียงยุแยงตะแคงรั่ว คุณหนูของเราก็ไม่เดินมาถึงขั้นนี้…”เสิ่นอวี้ได้ยินแล้วยิ้มอย่างขมขื่นสาวใช้ทั้งหลายต่างก็มองเข้าใจมากว่านาง รู้ว่าซ่งหว่านฉิ่งกับหลิ่วอี้เหนียงไม่มีเจตนาดี มีแต่นางที่มักจะรู้สึกว่าหลิ่วอี๋เหนียงคือแม่แท้ๆ ของนาง ซ่งหว่านฉิ่งคือลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ ของนางโดยเฉพาะหลังจากเข้าตระกูลเสิ่น ซ่งหว่านฉิ่งยิ่งช่วยนางทุกอย่าง ทำให้นางเชื่อใจนางมากขึ้นเพียงแต่นางมองข้ามไปหนึ่งอย่างความช่วยเหลือของนาง ไม่ได้ช่วยไปในทางที่ดี แต่เป็นการผลักนางลงนรกตอนนั้น นางกับหลิ่วอี๋เหนียงสองคน เมื่อว่างก็จะพูดข้อเสียของจ้านอวิ๋นเซียวให้นางฟัง เปรียบเทียบกันว่าองค์ชายสามดีอย่างไรเมื่อนานวันเข้า นางหลงใหลองค์ชายสามขึ้นเรื่อยๆ และรังเกียจจ้านอวิ๋นเซียวหากไม่มีอะไรผิดพลาด นางฝ่าท่ามกลางสายฝนมาครั้งนี้ น่าจะมาเพื่อหนุนคลื่นลมให้สูง อยากให้นางกับจวนอ๋องหมิงหยางแตกคอกันอย่างสมบูรณ์ บีบคั้นตระ
พลันเสิ่นอวี้ชะงัก น้ำฝนที่หนาวเย็นเทลงมาจากศีรษะถานเซียงรีบกางร่ม พลางกล่าวเกลี้ยกล่อม “คุณหนู หรือท่านไม่ต้องไปแล้วเจ้าค่ะ เรื่องมันมาถึงขั้นนี้ บ่าวรู้ว่าท่านอยากชดใช้ แต่มันทำอะไรไม่ได้แล้ว”ซงลู่กล่าว “ใช่เจ้าค่ะ ด้วยอิทธิพลของจวนอ๋องหมิงหยาง ต้องเรียกหมอทุกคนไปแล้วแน่นอน ท่านจะไปหาใครได้อีกล่ะ? ปล่อยให้พวกท่านโหวเฒ่ากับคุณชายใหญ่จัดการเถอะเจ้าค่ะ”“ยังมีคนคนหนึ่ง”เสิ่นอวี้ส่ายศีรษะ ผลักสาวใช้ทั้งสองออก “เพียงแต่คนผู้นี้นิสัยแปลกประหลาด หากข้าอยากเชิญเขาออกจากเขา ต้องไม่เปิดเผยตัวตนของเขา และห้ามพาคนไปด้วย…พวกเจ้ารอท่านแม่กลับมา ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ”กล่าวจบก็วิ่งไปที่คอกม้าโดยตรงหลังจูงม้าตัวหนึ่งออกจากคอกม้า ก็พุ่งออกจากเรือนโดยไม่สนใจสุขภาพของตนเองโดยตรงฟ้าร้องครึกโครม สายฝนตกกระหน่ำอากาศหนาวเหน็บมาก เสิ่นอวี้ที่อยู่บนหลังม้าหนาวจนตัวสั่น รู้สึกเพียงปวดหัวแทบระเบิดหวังว่าจะสามารถฝืนทนจนเสวียโส่วตอบตกลงนะม้าพยศใต้ร่างวิ่งอย่างบ้าคลั่ง เสิ่นอวี้โคลงเคลงอยู่ข้างบน หนึ่งคนหนึ่งม้าพุ่งตรงไปยังตรอกชิงหลิ่ว อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวในอดีตนางกับเสวียโส่วรู้จักกั
ก่อนเสวียโส่วเอ่ยปาก เสิ่นอวี้ไม่คิดว่าตกลงเงื่อนไขที่เขาเสนอนั้นจะน่ากลัวเพียงใดเขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่ลึกซึ้งมองดูนางผ่านไปครู่ใหญ่ จึงจะดึงสายตากลับ พลางหยิบยาสีดำออกมายื่นให้เสี่ยวสือโถวหนึ่งเม็ด “ให้นางกินเถอะ”พูดพลางมองไปทางเสิ่นอวี้ “ก่อนที่จะพูดเรื่องเงื่อนไข เจ้าต้องกินของสิ่งนี้ก่อน ทันทีที่เจ้าเปลี่ยนใจ และทำเรื่องที่เป็นภัยต่อข้าหลังจากรู้แล้ว ข้าก็จะตัดยาแก้พิษของเจ้า มาเอายาแก้พิษสามเดือนครั้ง ไม่สามารถรักษาหายขาด เจ้าคิดดีๆ”เสี่ยวสือโถวยกน้ำเข้ามา พลางมองทางเสิ่นอวี้ “หรือไม่…ช่างเถอะ? อย่างไรเจ้าก็ไม่ได้ชอบผู้ชายคนนั้นอยู่แล้ว”เสิ่นอวี้จ้องยาเม็ดสีดำสนิทในมือเขา ชั่วพริบตามีเรื่องราวมากมายแล่นผ่านหัวเมื่อก่อนเหมือนว่านาง…จะไม่ชอบจริงๆหรืออาจเพราะหลิ่วอี๋เหนียงกับซ่งหว่านฉิ่งทำให้นางคิดว่าตนเองไม่ชอบแต่ตอนนี้…เสิ่นอวี้ยกมือขึ้นหยิบยาเม็ดนั้นกลืนลงไปเงยหน้าขึ้นมองไปทางเสวียโส่ว “ท่านอาจารย์ ตอนนี้ท่านพูดได้แล้วเจ้าค่ะ” เวลาไม่คอยคน นางไม่ว่างมาเสียเวลาที่นี่เสวียโส่วมองนางอย่างลึกซึ้ง “คิดไม่ถึงจริงๆ เจ้าเป็นคนนิสัยเช่นนี้…ก็ดี”ในแววตาเขามีอารมณ์ปร