เมื่อพูดถึงนิยายแฟนตาซีที่เล่นกับทั้งเรื่องเทพ นิยายสืบสวนใจ และการตามหาตัวตน '
เทียนซ่อนแสง' เป็นเรื่องเล่าที่ผสมความลึกลับกับความอบอุ่นแบบไม่เหมือนใคร เรื่องหลักเล่าถึงตัวเอกที่มีอดีตซับซ้อน — คนที่มีความสัมพันธ์
พัวพันกับโลก
บนสวรรค์และโลกมนุษย์ แต่ความทรงจำถูกปิดบังไว้เหมือนแสงที่ถูกซ่อนในเงามืด เป้าหมายของตัวเอกคือการค้นหาที่มาของตัวเอง คลี่คลาย
ปริศนาเกี่ยวกับสายเลือด พลัง และเหตุการณ์ในอดีตที่เปลี่ยนชะตากรรมของหลายคนในโลกนั้น
เส้นเรื่องหลักไม่ได้วิ่งตรงเพียงเส้นเดียว แต่โยงใยไปมาระหว่างการผจญภัยภายนอกและการสำรวจภายใน ผู้เขียนถักทอฉากการต่อสู้ด้วยพลัง 'แสง' กับองค์กรหรือวิญญาณที่ต้องการใช้แสงเป็นเครื่องมือ ขณะเดียวกันก็แทรกบทสนทนาเชิงปรัชญาเกี่ยวกับหน้าที่ ความรับผิดชอบ และการให้อภัย โลกในเรื่องมีทั้งวัดโบราณ เมืองที่ถูกคุมด้วยพิธีกรรม และเขตที่มืดมนซึ่งแสงแทบส่องไม่ถึง การเดินทางแต่ละตอนจึงเป็นทั้งการแก้ปริศนาและการเรียนรู้ด้านอารมณ์ เช่น ฉากที่ตัวเอกต้องตัดสินใจเลือกระหว่างการรักษาชีวิตคนที่รักหรือการปกป้องความลับที่อาจเปลี่ยนโลก ทั้งสองทางเลือกมีผลตามมาที่หนักหน่วง ทำให้เนื้อเรื่องไม่ใช่แค่บทผจญภัย แต่เป็นบททดสอบศีลธรรม
ตัวละครรองที่ปรากฏมีความหลากหลาย — คนที่เป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำ คนที่เคยเป็นศัตรูแต่กลายมาเป็นพันธมิตร เพื่อนวัยเด็กที่ยังยึดมั่นในความจริง และบุคคลลึกลับจากอดีตของสวรรค์ ทุกตัวละครถูกปั้นให้มีมิติ ไม่ใช่ดีหรือเลวแบบตายตัว จุดแข็งของงานชิ้นนี้คือการผสมกลิ่นอายแฟนตาซีกับความเป็นมนุษย์ ทำให้เราไม่เพียงลุ้นการเปิดเผยความลับของพลังเท่านั้น แต่ยังอินกับการเติบโตทางอารมณ์ของตัวละครด้วย นอกจากนี้โทนของเรื่องเปลี่ยนได้ตั้งแต่เงียบขรึมไปจนถึงมีมุกตลกเบาๆ ที่ช่วยคลายความตึงเครียดได้ดี
สรุปภาพรวมแล้ว 'เทียนซ่อนแสง' เป็นนิยายที่อ่านสนุกเพราะมีทั้งปริศนา การเมืองในโลกสวรรค์ การต่อสู้ที่ออกแบบมาอย่างชาญฉลาด และฉากที่ทำให้หัวใจสั่นได้จริง ๆ ในฐานะแฟนแนวนี้ ฉันชอบที่มันไม่พยายามอธิบายทุกสิ่งด้วยคำตอบเดียว แต่ให้ผู้อ่านค่อย ๆ ต่อจิ๊กซอว์ไปพร้อมกับตัวเอก ตอนจบบางช่วงทิ้งความสะเทือนใจเอาไว้จนทำให้นอนคิดถึงตัวละครอยู่นาน มันเป็นงานที่ทำให้รู้สึกว่าความมืดกับแสงอาจถูกซ่อนหรือปะทะกัน แต่ท้ายที่สุดก็ขึ้นกับว่าใครเลือกจะจุดไฟและใครเลือกจะปิดม่าน