อันที่จริงเพลงธีมหลักจาก '
วิมานไฟ' มักจะได้รับความนิยมสูงสุด เพราะมันจับจังหวะอารมณ์ของเรื่องได้แบบตรงๆ ตั้งแต่ทำนองที่เรียบง่ายแต่กินใจจนถึงเนื้อร้องที่สะท้อนความขัดแย้งในใจตัวละคร หลายคนจดจำเพลงนี้จากฉากไคลแม็กซ์ที่ปะทะด้วยแสง-เงา แล้วเพลงนั้นก็ดันขึ้นมาแบบพอดี ทำให้คนดูทั้งห้องน้ำตาซึม เพลงประกอบเพลงนี้จึงกลายเป็นตัวแทนทางอารมณ์ของงานทั้งหมดและถูกแชร์ต่อในสื่อสังคมออนไลน์อย่างรวดเร็ว
มุมมองส่วนตัวเลยคิดว่าอีกเหตุผลคือการโปรดิวซ์ที่ไม่
อลังการ แต่เลือกองค์ประกอบที่ทำให้ร้องตามได้ง่าย เสียงประสานของเครื่องดนตรีกับเสียงร้องหลักสร้างบรรยากาศที่เข้าถึงได้ ไม่ต้องฟังหลายรอบก็ซึมเข้าไปในความทรงจำ ทำให้ผู้ชมแยกออกว่าฉากไหนคือเวทีสำหรับเพลงนี้และเมื่อไหร่ที่เรื่องราวจะพลิกผัน เพลงนี้ยังมักถูกนำไปคัฟเวอร์ทั้งในรายการทีวีและช่องยูทูบของแฟนคลับ จนเกิดเวอร์ชันหลากหลายซึ่งช่วยขยายวงผู้ฟังจากคนดูละครไปสู่คนฟังเพลงทั่วไป
อีกแง่ที่น่าสนใจคือเพลงประกอบบางชิ้นจาก 'วิมานไฟ' แม้จะไม่ได้เป็นธีมหลักก็ได้รับความนิยมในวงจำกัด เช่น บทดนตรีสั้นๆ ที่เล่นในฉากความหลัง หรือเพลงบรรเลงที่ตามหลังบทสนทนาสำคัญ พวกนี้มักถูกใช้เป็นเสียงเรียกอารมณ์ในมิกซ์วิดีโอของแฟนๆ และบางครั้งคนทำคอนเทนต์ก็หยิบไปทำมิวิกซ์ที่ทำให้เพลงธีมหลักเด่นขึ้นไปอีก ดังนั้นความนิยมจึงไม่ใช่แค่ตัวเพลงเดียว แต่มาจากการเชื่อมโยงระหว่างเพลงกับภาพและความทรงจำของผู้ชม
พูดแบบตรงๆ ผมยังคงฟังเพลงธีมหลักของ 'วิมานไฟ' บ่อยๆ เวลาที่อยากย้อนอารมณ์ของละคร มันทำหน้าที่เหมือนกลิ่นที่พาเรากลับไปสู่ฉากที่จำได้ดี และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเพลงนี้ถึงครองใจคนดูได้ยาวนาน — เป็นความนิยมที่มาจากความเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ซึ่งทำให้เพลงยังคงมีชีวิตอยู่ในเพลย์ลิสต์ของคนดูแม้ละครจะจบไปแล้ว