“ถึงโรงพยาบาลแล้วจ้า”
มินตาบอกด้วยเสียงยินดี มีเสียงเหมือนระบายลมหายใจแบบโล่งอกตามติดมาด้วย ในย่านชานเมืองแบบนี้หล่อนได้ขับรถเที่ยวหาโรงพยาบาลเอกชนสักแห่งที่ดูดีสักหน่อยจนคนเจ็บได้โอดโอยว่ากว่าจะพบเลือดคงจะไหลออกจากบาดแผลหมดตัวเสียก่อนเป็นแน่แท้
“โชคนายยังดี เลือดยังไหลออกไม่หมด...”
หล่อนเลี้ยวรถขึ้นไปตามทางที่ลาดขึ้นสูง ไปสู่ทางจอดตรงประตูกระจกชั้นล่างของโรงพยาบาลพอดี
“เฮ้ย...ระวังคันหน้า ทำไมต้องไปจ่อติดแบบนั้นด้วย”
“ฉันก็ระวังแล้ว”
หล่อนบอก แต่ฝีมือการขับรถของหล่อนออกจะย่ำแย่สักหน่อย...เพราะเมื่อรถคันหน้าจอดลง ก็มีเสียงกระแทกโครมตามติดมา พร้อมกับเสียงโวยวายของหล่อนลั่นรถ จนเพื่อนหนุ่มเอามือข้างที่ไม่มีบาดแผลอุดหูทันที แต่กระนั้นเสียงหล่อนก็ยังเข้าไปในหูอีกข้างจนได้
“เขาเบรกกะทันหันนะ เขาผิด ฉันไม่ผิด”
“เออ...แก้ตัวเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน จะต้องเสียงเงินอีกตามเคย”
คนที่นั่งทำตัวงอๆ จมลงไปกับเบาะที่นั่งข้างๆ คนขับยืดคอขึ้นมาก่อน แล้วจึงชะเง้อขึ้นมาทั้งตัว
“ชนกับไอ้รถใหม่เอี่ยมป้ายแดงเชียวนะ...เอาไอ้กระป๋องบาดทะยักคันนี้ไปชนกับรถผู้ดีอีกแล้ว เจ้ามิน”
“เขาผิด”
มินตายังบอกย้ำ หล่อนเกาะพวงมาลัยอยู่นิ่งๆ ยามหน้าโรงพยาบาลวิ่งมาดู พร้อมกับเตียงคนป่วยที่ถูกเข็นผ่านประตูกระจก ที่เปิดเลื่อนโดยระบบอัตโนมัติออกมาโดยบุรุษพยาบาลรูปร่างแข็งแรงวิ่งกันมาไขว่ไปหมด
มินตาเบิกตากว้าง...หล่อนกระทุ้งข้อศอกเข้ามาถูกแขนของธันวา แขนข้างที่มือเจ็บพันเอาไว้ด้วยผ้าสีขาวหนาและมีเลือดเปรอะไปหมด ได้ยินเสียงโอดโอยเหมือนเจ็บหนัก
“เขาเอาเตียงมาเข็นนายด้วยล่ะ...ที่นี่บริการเยี่ยมเลยนะ...คนเจ็บมาก็เข็นเข้าไป...นายทำหน้าสวยๆ หน่อยนะตอนนอนเข้าไปน่ะ อย่าทำเจี๋ยมเจี้ยมเป็นหมูต้มล่ะ...”
มินตาเปิดประตูรถก้าวลงมา เรื่องที่หล่อนคิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่คือรถชนท้ายรถคันข้างหน้ากลายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครมาสนใจสักนิด หล่อนเห็นคนเข้าไปรุมล้อมรถใหม่เอี่ยมสีเขียวคันนั้น แล้วเมื่อประตูตอนหลังเปิดออก หล่อนก็เห็นว่ามีการหามหัวหามท้ายผู้หญิงคนหนึ่งออกมา หล่อนชะเง้อคอมอง...แล้วจึงหันมาบอกธันวาเหมือนกับจะผิดหวังไม่น้อย เมื่อเตียงนั้นถูกเข็นเข้าไปโดยมีผู้หญิงคนนั้นนอนเข้าไปด้วย
“นายคงจะต้องเดินเข้าไปเองแล้ว เตียงเขาเอามารับรถคันโน้น...เป็นอะไรน้อ...หน้าซีดจนเกือบจะเขียว แล้วเลือดก็เปื้อนมาเต็มกระโปรง”
ธันวาย่องแย่งมายืนอยู่เคียงข้าง เขามีคำตอบแก้ข้อข้องใจของมินตาเพียงมองไปแวบเดียว
“ตกเลือดน่ะ”
เขากระซิบเบาๆ ที่ริมหูหล่อน แล้วมินตาก็ทำให้เขาหน้ามุ่ยเมื่อหล่อนหันกลับมาถามย้ำ
“นายว่าไงนะ...ตกเลือด...เป็นยังไง ตกเลือดนี่น่ะ”
เสียงของหล่อนไม่เบานัก...บุรุษร่างสูงที่ยืนอยู่เงียบๆ แล้วโดดเด่นเหนือบุรุษคนอื่นๆ นับจากมาดและการแต่งตัวของเขาจึงหันมา ดวงตาสีเข้มนั่นลุกวาวขึ้น เหมือนไม่พอใจ ทำให้ธันวาส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้ กระชากมินตาเข้ามาใกล้ตัว โดยลืมไปว่ามือที่ใช้นั้นคือมือที่เจ็บ เขาสะบัดมือออกเร่าๆ เมื่อกำมือเข้าหากันจึงกระเทือนบาดแผลเลือดไหลออกมาอีกแล้วก็เปื้อนเสื้อของมินตา
“หุบปากซะ เจ้ามิน...เห็นลูกกะตาไอ้หมอนั่นไหม...มันมองยังกะจะกินเลือดเนื้อ”
มินตาเห็นแล้ว หล่อนยืนอยู่ห่างจากผู้ชายคนนั้นไม่มากนัก หล่อนมองเห็นเขาเต็มตา แล้วเขาก็ก้าวเข้ามาหยุดเบื้องหน้าหล่อนโดยไม่พูดจาอะไรสักคำ แต่ดวงตาของเขาเหลือร้ายนัก มันเหมือนเขามีกองไฟอยู่ในดวงตาแผดเผาทำลาย...มินตากลืนน้ำลายลงคอ หล่อนก้าวถอยหลังมานิดหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจแล้วไปยืนแอบอยู่เบื้องหลังธันวา
“รถผมเสียหาย”
เขาก้มๆ ลงไปมองท้ายรถของตัวเองนิดหนึ่ง...เสี้ยวหน้าด้านข้างนั่นคุ้นสายตาเหลือเกิน มินตายกมือลูบคางอีกมือกอดเอาไว้ใต้อก อันเป็นท่าที่หล่อนจะใช้ยามเมื่อใช้ความคิดอย่างหนัก เหมือนหล่อนเคยเห็นคนหน้าตาแบบนี้...
เคยเห็นแน่ๆ แต่ที่ไหนกันหนอ...
หล่อนอยากจะทุบหัวตัวเอง เวลานึกอะไรที่มันช่างนึกไม่ออกแล้วกลายเป็นเรื่องยาก
เมื่อเขายืดตัวขึ้นมา ได้มองเห็นกันตรงๆ รูปหน้าสี่เหลี่ยมแนวขากรรไกรกว้างแข็งแรง เหมือนรูปปั้นสมบูรณ์แบบเหลือเกิน...หล่อนลดมือลงจากปลายคางเมื่อได้ยินเสียงของเขาแจ้งข้อกล่าวหา
“รถผมไฟแตก กันชนบุบ...ผมจะเรียกบริษัทประกันมาตกลงกับทางคุณ”
“อะไรกัน”
มินตาก้าวออกไปอย่างลืมตัว... “ไฟแตก กันชนบุบเชียวหรือ ไหน...เป็นรถใหม่ ป้ายแดง ทำไมบุบง่ายนักเล่า”
หล่อนก้มลงไปดูบ้าง แล้วเมื่อยืดตัวขึ้นมาอีกหนหล่อนก็เห็นดวงดาวระยิบระยับ เมื่อศีรษะโขกเข้ากับอะไรอย่างหนึ่งแข็งๆ หล่อนไม่ได้ร้อง แต่ได้ยินเสียงร้องเบาๆ จากปากเขา แล้วมินตาจึงได้รู้ว่าหล่อนเอาหัวไปกระแทกคางของเขา
“ตายจริง” หล่อนอุทาน...แล้วธันวาก็สั่นศีรษะเหมือนระอาใจ อย่างหนักกับการที่ได้เห็นเพื่อนหญิงของเขาจับแขนผู้ชายแปลกหน้าคนนั้น แล้วยื่นมือแตะตรงปลายคางเหลี่ยมๆ มีรอยผ่านิดๆ ...
ธันวาได้แต่ส่งเสียงครางอยู่ในใจ
...เอาละ ไอ้ตัวยุ่ง เริ่มยุ่งแล้ว...
“คุณเจ็บหรือเปล่า ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
แล้วมือของมินตาก็ตกผล็อยลง เมื่อเขามองหล่อนเหมือนจะฆ่าหล่อนเสียให้ได้ ดวงตาคมจัดคู่นั้นทำให้หล่อนตัวสั่นได้อย่างประหลาด หล่อนค่อยๆ ถอยจนติดตัวถังรถของตัวเองแล้วก็เลื่อนตัวปราดๆ มายืนเคียงธันวาอีกหน ปากของหล่อนเท่านั้นที่ยังส่งเสียงได้เจื้อยแจ้วอยู่
“ฉันขอโทษแล้วนี่”
“ผมจะรวมเข้าไปในค่าเรียกร้องก็แล้วกัน”
แล้วเขาก็หันหลังกลับเดินดุ่มๆ จากไป ประตูกระจกนั่นเลื่อนเปิดรับเขาเข้าไปแล้ว มินตาแทบจะเต้นเร่าๆ
“ต๊าย...อีตางก คนรวยนี่มันงกเหมือนกันหมดเลยนะ ยิ่งรวยยิ่งงก อะไรๆ ก็ตีค่าเป็นเงินทั้งนั้น ยากหรอกย่ะ ฉันจะไม่จ่ายสักสลึง ฉันไม่ได้ผิด...” แล้วหล่อนก็ยิ้มหวานเจี๊ยบให้กับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่มาขอร้องให้หล่อนเอารถลงไปจอดชั้นล่าง เพราะมีรถกำลังจะเลี้ยวขึ้นมาเพื่อส่งคนไข้...
“ค่ะ” มินตารับคำ...หล่อนไล่ธันวาเข้าไปข้างใน
“ดูมือนายซิ เลือดไหลออกมาอีกแล้ว เข้าไปหาหมอก่อน เดี๋ยวฉันจะตามเข้าไป...เอารถไปจอดข้างล่างก่อน ไม่ใช่คนรวยมาจากไหนนี่...จะได้มีคนมาเอารถไปจอดให้”
ปากหนอปาก...ธันวานึกในใจ เพื่อนของเขาคนนี้ปากดีนัก หล่อนสามารถแกว่งปากไปหาเรื่องได้ไม่ยากเลย เขาเดินระทดระทวยเข้ามา...ไปหยุดยืนรีๆ รอๆ อยู่หน้าห้องฉุกเฉินตามคำบอกของนางพยาบาลที่ออกมาต้อนรับเมื่อมองเห็นมือโชกเลือดของเขา แต่เขาก็ยังเข้าไปในห้องนั้นไม่ได้นอกจากมองผ่านเข้าไปทางช่องกระจกใสๆ ที่อยู่ตรงระดับสายตาพอดี เขาเห็นหมอและพยาบาลกำลังวิ่งกันวุ่นข้างในนั้น
คงเป็นแม่สาวที่ถูกหามลงมาจากรถคันเมื่อครู่ หล่อนอาจจะแท้ง...แล้วเขาก็หันกลับ...เกือบจะชนกับบุรุษหนุ่มหน้าตาแววตาดุๆ จนเกือบจะเป็นโหดเหี้ยมคนนั้นเข้าแล้ว
เขาหลีกทางให้เจ้าของดวงตาดุนั้น พอดีกันมินตาขึ้นมาจากชั้นล่าง หล่อนเข้ามาหาเขา...
“คุณธันวา...”
พยาบาลที่ไปทำบัตรให้กับเขาเดินมาเรียก แล้วให้เขาก้าวผ่านเข้าไปในห้อง มีมินตาทำท่าเหมือนจะตามเข้ามาด้วยเหมือนกัน แต่มีเสียงขอร้องอ่อนหวานเสียก่อน
“ข้างในห้องคนมากค่ะ เชิญนั่งรอข้างนอกนะคะ”
มินตาหน้าแห้ง พยักหน้ากับเพื่อน แล้วเดินกลับไปกลับมา หล่อนชะเง้อมองเข้าไปหลายหน แต่หล่อนมองไม่เห็นว่าธันวาเข้าไปตรงไหนของห้องนั้น หล่อนได้เห็นแต่เจ้าหนุ่มคู่กรณีของหล่อน เห็นเขาเข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ เตียงของแม่สาวที่ธันวาบอกว่าตกเลือด ไม่ใช่เมียก็อาจจะเป็นคู่รักกระมัง...หล่อนพินิจมองเขา...ก่อนจะนึกออก หล่อนดีดนิ้วออกมาแรงๆ สีหน้าสดใสขึ้น เมื่อนึกได้ว่าเขาคือใครมิน่าเล่า หน้าตาถึงคุ้นเหลือเกินธันวาเดินหน้าตาซีดเซียวออกมาจากห้องนั้นในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา มินตารีบลุกไปหา “หน้าตานายเหมือนคนใกล้ตาย”“เจ็บนี่หว่า”เขาพูดจาแบบนี้กับมินตา...ใครๆ ก็พูดกับหล่อนแบบนี้ เพราะในออฟฟิศนั้นมินตาเหมือนเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง หล่อนเป็นสาวคนเดียวที่ออฟฟิศมี และจากการทำงานกันนานวันเข้า มินตาก็ทำเหมือนหล่อนไม่ใช่ผู้หญิง หล่อนแข็งแกร่งพอจะยืนหยัดไปพร้อมๆ กับเพื่อนคนอื่นๆ หลายหนเข้าทุกคนจึงลืมเหมือนกันว่าหล่อนเป็นผู้หญิง พูดจากับหล่อนก็ไม่ค่อยจะอ่อนโยน และมินตาก็ไม่เคยถือสา หล่อนมีนิสัยง่ายๆ ตรงไปตรงมา แต่หล่อนก็ขีดเส้นเอาไว้เหมือนกัน ไม่มีใครก้าวล้ำเส้นนั่นไปได้ มินตาเป็นผู้หญิงรักตัวเอง...หล่อนไม่มีแฟน และทำท่า
มินตาเข้าบ้านมาอย่างเงียบๆ หล่อนลงนั่งที่บันไดขั้นล่างแล้วถอดรองเท้าผ้าใบออก ถอดถุงเท้าออกตาม แล้วม้วนถุงเท้าเป็นก้อนกลมๆ ยัดเข้าไปในรองเท้า หิ้วรองเท้าขึ้นบันไดด้วยฝีเท้าแผ่วเบา จนเกือบจะไม่น่าเชื่อว่านี่คือมินตา...นี่หากเพื่อนร่วมงานมาเห็นท่าเดินเหมือนเท้าแทบจะไม่ได้แตะพื้นของหล่อนละก้อ คงจะได้หัวเราะกันเกรียว เพราะยามอยู่ในออฟฟิศ มินตาจะมีก้าวย่างหนักแน่นรุนแรงเป็นจังหวะ บางทีแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็รู้กันแล้วว่าเป็นหล่อนประตูด้านหน้ายังไม่ได้ปิดลงกลอน แต่แง้มๆ เอาไว้ หล่อนค่อยๆ ผลักเข้าไปอย่างแผ่วเบา...แต่บานพับที่ค่อนข้างจะฝืดสักหน่อยก็ให้เสียงเอี๊ยดอ๊าด...มินตาจับประตูให้อยู่นิ่งๆ หล่อนกลัวว่าเสียงนี้จะปลุกให้มารดาตื่นลงมา...หล่อนกลับบ้านดึกเสมอก็งานล่วงเวลามันเงินดีเหลือเกิน หล่อนจะยอมให้พลาดไปอย่างไรได้ วันนี้ก็งานล่าช้าเพราะอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ที่ธันวาได้รับ หล่อนเลยมีงานให้สะสาง เพราะเอาเวลาขับรถพาธันวาไปส่งโรงพยาบาลพรุ่งนี้ก่อนออกจากบ้าน หล่อนจะเอาน้ำมันมาหยอดบานพับเสียหน่อย ไม่ให้มีเสียงแบบนี้เกิดขึ้นมาอีกย่องๆ จะไปถึงหน้าห้องของหล่อนอยู่แล้ว มินตาก็ชะงักเมื่อแสงสว่างพึ
...พี่จะรีบกลับบ้านให้ไวที่สุด พี่เปลี่ยนใจที่จะไปยุโรปกับญี่ปุ่นต่อแล้ว จะตรงกลับกรุงเทพทันทีหลักจากที่เที่ยวทางภาคตะวันตกของอเมริกานี่เรียบร้อย พี่มีเรื่องบางอย่างที่จะต้องกลับมาสะสางต่อ เรื่องของหัวใจจ้ะ ขอปิดเป็นความลับก่อนนะ แต่เขาประทับใจพี่มาก ขอให้วาดภาพของเขาได้เลยว่าสง่างามเหมือนเจ้าชาย ร่ำรวย และหล่อระเบิด...มินตาย่นจมูกนิดๆ หล่อนไม่เห็นภาพพจน์อย่างที่มิ่งขวัญบอก ก็พี่สาวของหล่อนเป็นแบบนี้เสมอ หลงใหลง่าย...เห็นหนุ่มๆ ร่ำรวยเข้าหน่อย มิ่งขวัญก็ตาโตเนื้อเต้นไปได้ทุกหน“พี่มิ่งเอ๊ย...เจ้าชายจริงหรือเปล่า เดี๋ยวก็เป็นเจ้าชายเสกของนางฟ้าเข้าหรอก...เดี๋ยวนี้เจ้าชายเดินดินกินข้าวแกงกันแล้วทั้งน้าน...ฝันหวานจะกลายเป็นฝันสลาย”////////////////////////////////////////////////////กางเกงยีนส์เก่าๆ กับเสื้อเชิ้ตที่หล่อนสวมใส่อยู่ ทำให้คุณมารศรีย่นจมูกเข้าใส่เมื่อมินตาเดินเข้ามาในห้องอาหาร หล่อนรีบเอาซองยาวๆ ที่ข้างในเป็นเช็คส่วนตัวของหล่อนเลื่อนไปตรงหน้าเธอโดยเร็ว หล่อนอาจจะบาปก็เป็นได้ ที่ปิดปากมารดาด้วยเงิน แล้วก็ได้ผลเสียด้วยเมื่อหน้าที่บึ้งๆ อยู่เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มได้“ค่าอะไรอีกล
มินตาเอารถเข้าไปจอดด้านหลังของภัตตาคารหรูๆ แห่งนี้ หล่อนไม่ทันได้เห็นว่าตัวเองตกอยู่ในสายตาคนคนหนึ่งตลอดเวลานับจากหล่อนเลี้ยวรถเข้ามาแล้ว หญิงสาวเปิดประตูก้าวลงมา แล้วด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง หล่อนก้าวเดินฉับๆ ไม่ทันสังเกตว่าหล่อนถูกมองด้วยดวงตาหลายๆ คู่ ก่อนจะมารู้สึกว่าหล่อนเป็นเหมือนตัวประหลาดตรงทางเข้านี่เองมินตาก้มลงมองตัวเอง แล้วหล่อนก็จึงรู้ว่าอะไรเป็นเหตุ ทำให้เจ้าหนุ่มตรงทางเข้าที่มักจะโค้งต้อนรับลูกค้ามองหล่อนด้วยแววตาชอบกล เสื้อผ้าของหล่อนนี่เอง หญิงสาวเพิ่งนึกเสียใจเป็นหนแรกที่หล่อนแทบจะไม่เคยนุ่งกระโปรงออกจากบ้านมาทำงาน และเสื้อกางเกงชุดนี้ก็ไม่ใช่ชุดลำลองของสาวสมัยเสียด้วย มันดูบึกบึนตามแบบสาวทำงานมากกว่า“คุณจองโต๊ะไว้หรือเปล่าครับ”หล่อนได้ยินคำถาม ตอนแรกมินตาก็ไม่แน่ใจว่าถามหล่อน จนกระทั่งได้ยินเสียงถามอีกหน หล่อนจึงจิ้มอกตัวเองเหมือนย้อนถามกลับ“คุณแหละครับ...จองโต๊ะไว้หรือเปล่า”“ฉันไม่รู้ เพื่อนฉันนัดฉันที่นี่”“อาจจะมีการเข้าใจผิดก็ได้นะครับ”เลือดขึ้นหน้ามินตานิดๆ แล้ว ริมฝีปากเม้นเข้ากัน นี่หล่อนกลายเป็นตัวอะไรไปแล้วหรือถึงได้รับการปฏิบัติแบบนี้...กะแค่เสื้อผ้
“พยายามดูหน่อยแล้วกัน คุณหมี...” เขาบอก นึกเวทนาหล่อนมากกว่า ผีการพนันไม่เคยปรานีผู้ที่หลงใหลได้ปลื้มในมันเป็นอันขาด และตอนนี้สิ่งที่เขารู้เพิ่มเติมก็คือผู้ชายอนาคตไกลคนนั้นก็เป็นอีกคนที่เป็นผีพนันด้วย หางตาเขายังมองเห็นสาวิตต์อยู่ ยังไม่ได้ปล่อยให้ไปพ้นจากความสนใจ แต่ชายหนุ่มนิ่งเกินกว่าลักษมีที่อยู่ร่วมโต๊ะเดียวกันกับเขาจะสังเกตเห็นได้ด้วยซ้ำไป“หมีก็อยากจะเลิกนะคะ...ที่ไหนบ้างที่มีการบำบัดรักษาคนติดการพนัน ติดบุหรี่ ติดเหล้าติดยายังพอจะมีที่ไป”“มันอยู่ที่ใจ เรื่องใหญ่มันอยู่ตรงนั้น”“แต่หมีก็แพ้ใจตัวเองทุกครั้งไป”หล่อนยิ้มเศร้าๆ“อย่างที่ผมขอ ไปพยายามดูใหม่ เงินมันชักจะมากขึ้นแล้วนะ ผมกลัวว่าจะหมุนไม่ทัน แล้วจะพาตัวไปลำบาก...มีตัวอย่างที่เคยเห็นๆ แล้วไม่ใช่หรือ การพนันมันให้คุณกับใครบ้าง มีแต่โทษ จะรวยก็ไม่ทน แต่จนน่ะนานทีเดียว”ลักษมีก้มหน้าลงน้อยๆ โดยรูปลักษณ์ภายนอกของหล่อนนั้น เป็นสาวสวย ใครจะเชื่อว่าอีกด้านหนึ่งของชีวิตหล่อนนั้นมืดดำ ลักษมีเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงเอง...ด้วยความลำพองว่าหล่อนจะไม่ยึดติด แล้วสุดท้ายหล่อนก็พ่ายแพ้เป็นทาส ยิ่งนานวันหล่อนยิ่งเล่นหนักข้อขึ้น“คุณศิ...ห
“ไปไหนมา” มีคนถามหล่อนนับจากเปิดประตูกระจกเข้ามารับไอเย็นระรื่น “หน้าตาเหมือนไปกินรังแตนมา” เพราะหน้าหล่อนเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม้จะยังนวลแป้งก็ไม่มีรอยยิ้มแถมยังมีดวงตาขวางๆ เหมือนจะบอกกล่าวผู้พบเห็นอีกด้วยว่า พูดผิดหูหรือมีอะไรขวางตาหล่อนอาจจะอาละวาดก็เป็นได้“อยากฆ่าคน”“เฮ้ย...”เสียงขัดดังลั่น “ได้ติดคุกจนตายปะไร...แกยังเป็นสาวอยู่นา เจ้ามิน...ไปติดคุกแล้วจะเสียดายว่าหมดโอกาสมีผัว”เท่านั้นเองก็ได้ยินเสียงกรี๊ดของหล่อนไปทั่วหน้า แต่ไม่ยักจะมีใครถือสากลับมีเสียงหัวเราะครื้นเครงประสานกันขึ้นมา“เออ...ยังกรี๊ดเป็น ยังเป็นผู้หญิงอยู่ว่ะ”นั่นเท่ากับว่าหล่อนจะถูกยั่วแหย่ หากไม่ยอมยุติ แม้จะทำตาขุ่นหน้าขึงเข้าใส่ก็หาได้มีคนกลัวเกรงหล่อนสักนิด“ฉันอารมณ์ไม่ดีมาจริงๆ นะ อย่ามายั่ว...เดี๋ยวจะทลายห้องนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง”“มันเอาจริงว่ะ”ธันวาก้าวออกมาข้างหน้า มาเอียงคอมองดูเพื่อนสาวอย่างประหลาดใจในพฤติกรรมที่มินตาแสดงออกมือข้างที่เจ็บยังอยู่ในผ้าพันแผลหนาๆ“โมโหอะไรนักหนาเล่า มิน” ธันวาทำเสียงปลอบและนั่นทำให้มินตาอารมณ์ดีขึ้นมานิดหนึ่ง “ไอ้พวกปากหมานี่ถือสาได้ที่ไหนกัน มันพูดยั่วเล่น...ว่
เขาก้าวเข้ามา...พอดีกับพิมสุดาเบือนหน้ามาช้าๆ เธอยิ้มให้กับเขา ยิ้มสวยเหมือนนางฟ้าที่ศิลาคุ้นเคยดี เป็นยิ้มที่พิมสุดาให้กับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ยิ้มแบบเสแสร้งอันใดเลยชุดผ้าเพ้นท์ลายกล้วยไม้อ่อนหวานเข้ากันได้ดีกับชุดโซฟาสีครีมและหมอนอิงโทนสีน้ำตาลหวานนุ่มนวล...พิมสุดางดงามเสมอ ดวงหน้าของเธอเนียนด้วยเครื่องสำอางไม่มากและไม่น้อยเกินไปยังสวยพริ้ง...และสาวแฉล้มราวกับไม่ใช่วัยห้าสิบกระนั้น“ไปไหนมาจ๊ะ”คำทักทายอ่อนโยนัก“ลักษมีนัดทานมื้อเที่ยง”“อือม์...” เสียงรับคำอือออ “เป็นไงบ้างล่ะ แม่ดาราดังนั่น”“ก็ย่ำแย่ฮะ ยังไม่ยอมเลิกสักที”“นี่แหละน้า เป็นทาสแล้วก็ยากจะถอนตัว เตือนๆ หน่อยซิ ไม่อยากจะเห็นอนาคตที่รุ่งโรจน์ดับวูบ”“ผมก็เตือนแล้วนะฮะ ไม่รู้จะได้ผลแค่ไหน ถลำลงไปมากแล้วนี่ ผมก็ห่วง”พิมสุดามองเขาเหมือนจะค้นหา และนั่นทำให้ชายหนุ่มรีบพูดต่อโดยเร็ว“แค่ห่วงใยฉันท์เพื่อนเท่านั้นฮะ ไม่ได้มีอะไรเกินเลยกัน”เธอถึงกับหัวเราะออกมา “โธ่...ศิลา ทำราวกับว่าแก้ตัวไม่มีผิด นี่ไม่ได้จ้องจับผิดเธอเลยนะ”“ไม่รู้ซิ เห็นมองแปลกๆ แล้วยังทำท่าเหมือนคาดคั้นผมซะอีก”เขานั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน กางแข
พิมสุดาไม่ใช่ผู้หญิงเลวมาก่อน ที่ผลักดันเธอมาอยู่ตรงนี้รุนแรงเกินพอ และเขาก็รู้ว่ามันเป็นธุรกิจที่คนดีๆ หลายคนเมินหน้าหนีและยังประณามหยามเหยียดสาปแช่ง แต่มันก็ทำให้คนอีกหลายคนมีกินมีใช้ มีชีวิตอยู่ได้...และนี่เป็นธุรกิจหนึ่งในหลายสิ่งที่พิมสุดาทำ...แต่เธอก็กำลังจะวางมือ ล้างตัวออกไปจากแวดวงนี้ หลังจากคลุกคลีมานานปี จนอาบอิ่มไปด้วยสิ่งที่คนอื่นๆ เรียกกันว่าน้ำกาม...เขาเข้าใจเธอไม่ใช่เพราะลำเอียงจนมองไม่เห็นเขารู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งดีงามอันใด แต่ตราบใดที่พิมสุดาไม่ได้ทำร้ายใคร...และต่อสู้อยู่บนหนทางของเธอ เขาไม่อาจจะซ้ำเติมเธอได้ นอกจากคอยช่วยเหลือดูแลสมญามือขวาของเจ้าแม่แหม่มจึงปรากฏอยู่ในเมื่อเขาเติบโตเป็นหนุ่ม เขาก็อยู่ข้างกายพิมสุดามาตลอด...โดยไม่มีใครรู้ถึงความสัมพันธ์แท้จริงของเขากับเธอผู้ชายหลายคนเขม่นหน้าเขา เรียกเขาว่าแมงดาบรรดาศักดิ์ เกาะพิมสุดาไม่ยอมปล่อยซึ่งศิลาก็ไม่ใส่ใจกับเรื่องนั้นสักนิดเขามองดูเธอเดินกลับมา...ผมสีแดงจ้าของหล่อนเหมือนเปลวเพลิง...ล้อมดวงหน้าเนียนผ่อง...ผิวขาวลออที่ทำให้เธอเหมือนลูกครึ่งฝรั่ง...หลายคนคิดว่าย้อมสีผม...แต่เขาซิรู้ว่าผมเดิมของพิมสุดาก็ไม่เค
“ไม่ใช่ห้องนี้”มินตาตัวแข็ง เมื่อเขาเปิดประตูห้องที่หล่อนเป็นคนตกแต่งเพื่อเป็นห้องหอของเขากับมิ่งขวัญหล่อนพยายามจะถอยกลับ แต่ศิลาผลักหล่อนออกเดินไปข้างหน้า“ฉันยอมมาที่นี่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ห้องนี้” หล่อนยังเสียงแข็งและมีท่าทีปฏิเสธ ไม่ยอมรับ“คุณแต่งมันเอง...ก็ใช้เสียเองซิ” เขาบอกนุ่มๆ “ที่ทางของคุณเอง“ฉันทำเพื่อพี่มิ่ง” หล่อนยืนยัน หล่อนรักมิ่งขวัญไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น“แต่มันเป็นสิ่งที่คุณชอบ” เขาดักคอ “ผมรู้ว่ารสนิยมของมิ่งขวัญเกิดจากตัวคุณเป็นหลัก...ลืมซะว่าผมเคยสั่งว่าอย่างไร นั่นเป็นข้ออ้างจะเอาตัวคุณมาทำงานต่างหากเล่า ถ้าผมไม่บอกว่าเป็นห้องหอมีหรือที่คุณจะยอมมาทำ ตอนนั้นคุณชังน้ำหน้าผมจะแย่”“ตอนนี้ก็ใช่”“ผมไม่เชื่อ ไม่มีวันเชื่อ...”เขาปิดประตูไว้ข้างหลังแล้วยืนพิงอยู่อย่างนั้น ตอบหล่อนด้วยถ้อยคำหนักแน่นเขาจะไม่ยอมเสียหล่อนไปศิลาบอกตัวเองว่าเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสมปรารถนาให้จงได้ ต่อให้ยากเท่ายากก็ตามที“เราจะต้องคุยกันตามลำพังสองต่อสองแล้วละ มินตา”เขาบอกด้วยเสียงนุ่มทุ้ม และแน่นอนว่ามีกังวานของความรักอยู่มากมาย เขาไม้ปฏิเสธใจตัวเอง“ไม่...” หล่อนป
พิมสุดามาแล้วกลับไปแล้ว ปล่อยให้มินตาได้ครุ่นคิดตามลำพัง แม้จะมีปรางคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ แต่มินตาก็เหมือนอยู่คนเดียว...หล่อนคิดถึงอนาคตวันข้างหน้าเมื่อไม่มีบ้าน ไม่มีพ่อ ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้คว้าติดอีกหล่อนจะทำอย่างไรดีนั่นคือสิ่งที่มินตาต้องคิด...มันไม่ใช่เรื่องเล็กเสียด้วย เพราะเท่ากับต้องเอาอนาคตมาเป็นเดิมพัน...อนาคตที่มินตาไม่แน่ใจ และหล่อนก็รู้ว่าเพราะตัวเขานั่นแหละที่ทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นมา/////////////////////////////ผู้ชายสองคนต่างวัยแต่มีสายเลือดส่วนหนึ่งเหมือนกันได้เผชิญหน้ากันอีกครั้ง คนแก่ดูจะยิ่งแก่ ในขณะที่คนหนุ่มก็มิได้ทำท่าลำพองว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ ต่างคนต่างมองกันชั่วอึดใจในความเงียบงันแล้วศิลาก็เป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน “สาวิตต์เป็นอย่างไรบ้าง”“ก็ยังเหมือนเดิม...เก็บตัวเอง...และไม่พูดไม่จากับใครเลย”“เขาคงจะหายสักวันหนึ่ง“นั่นคือความหวัง”“ผมจะเอาใจช่วยแล้วกัน”คุณทรงศักดิ์ทำท่าเหมือนไม่คาดคิดเมื่อได้ยินเช่นนั้น“ต่อ...ให้อภัยพ่อกับพี่แล้วใช่ไหม”ชายหนุ่มส่ายหน้า นั่นคือความจริง เขายังไม่อาจจะให้อภัย เพียงแต่เขาคิดว่าเขาจะวางมือในส่วนนี้...หลายปีที่เ
“ไล่ปรางหรือคะ...” มินตาแสนจะตกใจ “ทำไมล่ะคะ ปรางทำผิดตรงไหน”“มันเป็นพวกแกนี่ รับเอาไปซิ นังนั่นมันเลี้ยงไม่เชื่อง หวังว่าที่พูดมานี่แกคงจะเข้าใจนะ”“ค่ะ มินตารับคำ ดวงหน้าสลด ครอบครัวของหล่อนคือซาก...มันคืออดีตที่เหมือนจะเนิ่นนานผ่านมาแล้ว ดวงตาของหล่อนซุ่มไปด้วนน้ำตา ป่วยการจะพูดมากไปกว่านี้อีกเมื่อคุณมารศรีและมิ่งขวัญปั้นปึ่งใส่ มินตามาไหว้พ่อ นั่งพับเพียบอยู่นานจนศิลาต้องเป็นฝ่ายสะกิดหล่อน“กลับดีกว่ามั้ง มินตา...เขาประคองหล่อนลุกขึ้น ท่าทีถนอมเป็นนักหนาบาดตาของมิ่งขวัญสุดขีด หล่อนไม่อาจจะยอมรับออกมาดังๆ ว่าลึกลงไปนั้นหล่อนเจ็บปวดกับการที่ถูกทิ้ง...ทั้งที่หล่อนเคยทระนงในตัวเองมาตลอด ผู้ชายคนนั้นคือชายที่หล่อนรักและเมื่อความจริงเปิดเผยออกมารักกลายเป็นร้าง และขมขื่นที่สุดจะหารสชาติใดมากกว่านี้ ในชีวิตคงจะไม่มีอีกแล้วแน่นอน“แม่คะ...มิ่งตัดสินใจแน่นอนแล้ว พอเสร็จงานพ่อ มิ่งจะไปอยู่เมืองนอก เราไปด้วยกันไหนคะ แม่...เอาบ้านนี้ให้เช่า...ถ้าไม่คิดจะขาย เราคงจะพอมีเงินสักก้อนไปเที่ยวเล่นด้วยกัน พอให้มิ่งหายช้ำใจแล้วค่อยกลับมาใหม่...หรือบางทีเราอยู่ทางโน้นกันเลยก็ได้ มิ่งก็พอจะมีเพื่อนที
ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง และมินตาก็นิ่งงันปราศจากเสียงกรีดร้องจนเขาใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าหล่อนเสียใจแค่ไหนกันการรับรู้ในการสูญเสียหนนี้ มือของเขาลูบไล้เส้นผม“มินตา ได้ยินผมหรือเปล่า”“ก็ดีเหมือนกัน” หล่อนพึมพำออกมา “จะได้จบสิ้นกันแท้จริงๆ”“ไม่....” เขาปฏิเสธเสียงลั่น“เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”“อย่าพูดแบบนี้...ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ข้างหลัง แล้วเราเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน ที่ผ่านมาผมรู้ว่าผมผิด จะไม่ให้อภัยคนที่รู้สำนึกหรอกหรือ มินตา...ใช่ว่าผมจะไม่เสียใจหรือไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ เพียงแต่ ตอนนั้นความแค้นทำให้ผมบ้าเลือดและลากคุณเข้ามาพัวพันด้วย”“ฉันให้อภัย แล้วก็โยนมันทิ้งเอาไว้ตรงนั้นแหละ...”ศิลากำลังจะพูดอีก แต่เสียงเคาะประตูห้องขัดจังหวะเสียงก่อนและประตูเปิดเข้ามาหลังจากนั้นครรชิตเดินนำหน้าธันวาเข้ามาพร้อมกับกระเช้าดอกไม้ใหญ่ที่บรรจุดอกไม้สวยงามสีสันสดใสชายหนุ่มขยับห่างออกจากเตียงนิดหนึ่ง ครรชิตทักทายและแสดงความห่วงใย ต่อสภาพบาดเจ็บของเขาสักห้านาทีก่อนจะหันไปหามินตา“ไง...มิน หน้าตาเหมือนคนเจ็บหนัก”“เกือบจะตายแต่ไม่ยักจะตาย...”“ประชดใครล่ะนั่น”ถูกดักคอแบบนี้มินตาทำตาวาว “มินไม่มี
สาวิตต์นอนอยู่บนเตียง...ขาของเขาข้างหนึ่งที่ถกขากางเกงขึ้นไปถูกพันด้วยผ้าขาวหนาเปอะ แล้วหน้าตาของเขาก็เหมือนไม่ใช่ลูกชายคนเดิมของเธอ มีรอยช้ำปูดโปนนั่นยังทำใจได้ว่ามันจะหาย แต่ดูซิ...ดูสีหน้าและแววตาของเขามันดูเลื่อนลอย...และมองมาทางเธอย่างว่างเปล่า“เอ...”เธอถลาเข้าไปหาเขา แล้วก็หยุดอีกหนหนึ่ง เมื่อสาวิตต์ทำเหมือนไม่รับรู้ด้วย เขายังมองเบิ่งไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าเธอ คุณสีดาหันขวับมาหาสามี ถามเสียงสั่น“อะไรกันคะนี่ ตาเอเป็นอะไร...ทำไมเขาทำหน้าตาแบบนั้น”คุณทรงศักดิ์โอบบ่าของภรรยาเอาไว้ ร่างแบบบางของเธอสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น“หมอบอกว่าเหมือนเขาจะช็อก พูดกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เป็นพักๆ เหมือนคนสะเทือนใจมากเกินไป”“แล้วแกจะหายไหม”“ต้องอาศัยเวลา แต่ตอนนี้เขาต้องรักษาตัว บางทีอาจจะต้องลางาน...หรืออาจจะต้องถึงขั้นลาออกก็ได้”“ไม่!”เธอร้อง หันมาซบหน้ากับบ่าของสามี นานแล้วที่คนสองคนไม่เคยหันหน้าเข้าหากันอีก ต่างมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง ความบาดหมางในเรื่องเล็กน้อยถูกทำให้ใหญ่มากขึ้น และไม่อาจจะเชื่อมต่อติดกันได้อีกเลยแต่ตอนนี้หัวอกของความเป็นพ่อแม่ที่จะต้องรับผิดชอ
ปืน...มินตาบอกเมื่อเห็นสาวิตต์หยิบมันออกมาวางไว้บนโต๊ะกลมเล็กข้างๆ เก้าอี้ที่เขานั่งลง แววตาที่เขามองดูศิลาทำให้มินตายะเยือกไปตลอดตัว มันบ่งบอกว่าหากเขาจะลั่นไกปืน เขาก็จะทำได้โดยไม่ต้องหยุดคิดชั่งใจอีกเลย มินตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อพูดกับสาวิตต์ดีๆ“คุณเอ ขอให้มินนะ...อย่าถึงกับฆ่ากันเลย...”“บอกแล้วว่าอย่ายุ่ง ไม่ฆ่าเธอด้วยก็บุญเท่าไหร่รึว่าอยากตายตามผัว”“คุณเอจะทำไมได้นะคะ”“ทำไมพี่จะทำไม่ได้ นึกถึงที่มันทำกับพี่ซิ เพราะมัน...” สาวิตต์ชี้มือไปยังศิลาอย่างคั่งแค้น นั่นคือชายที่ร่วมสายเลือดเดียวกัน แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็กึ่งหนึ่งที่เหมือนกัน เขาไม่เคยเชื่อใครพูดอย่างไร เขาก็มักจะหัวเราะขบขันเสียเสมอว่าทุกคนที่พูดนั้น ล้วนแล้วแต่มีอาการทางจิตที่คิดมากเกินการไปเองทั้งนั้น แต่แล้วเขากลับมารู้เป็นคนสุดท้าย รู้เพื่อทำให้โลกที่เคยสวยงามสำหรับเขามันพังทลายลงมาต่อหน้าต่อตาเขาจึงมองหาทางออกใดไม่พบนอกจากทางนี้ ฆ่าศิลาเสีย ก็เท่ากับฆ่าไอ้เด็กเวรคนนั้นด้วย เมื่อหนนั้นมันเลือกรอดได้อาจจะเพราะดวงมันแข็ง แต่คราวนี้ไม่มีวันที่ดวงมันจะแข็งเท่าครั้งนั้นอีก มันจะต้องตายนั่นคือทางที่เขาเลือกให้มั
สาวิตต์เดินปังๆ จากไปแล้ว ก่อนที่เขาจะกระแทกประตูบ้านด้านหน้าปิดลั่นกุญแจ ปรางก็เสนอหน้าเข้ามา“จะช่วยคุณมินทำแผลให้กับเขา”ปรางบอก หล่อนยืนให้ห่างจากสาวิตต์เข้าไว้ ด้วยไม่แน่ใจในความบ้าของเขาและเขาก็ยอมปล่อยปรางเข้ามาโดยดี ปรางมาคุกเข่าดูศิลาอยู่อีกด้านหนึ่งของเขา“เลือดทั้งนั้นเลย...” ปรางพึมพำ “ทำแผลก่อนนะคะ คุณมินจะเอาอะไรบ้าง”“ต้มน้ำร้อนให้ฉันสักกระติก แล้วหาผ้าสะอาดๆ มา...มีพวกผ้าเช็ดหน้าของฉันเหลืออยู่บ้างมั้งในตู้...แล้วก็พวกผ้าขนหนูผืนเล็กๆ นั่นด้วยก็ได้ คุณเอขังเราเอาไว้ในบ้านแล้วนี่ หยูกยาที่นี่ไม่มีสักอย่าง”“ปรางมีทิงเจอร์กับยาแดง...แล้วก็ยาล้างแผล...” ปรางบอกล้วงมือเข้าไปในกางเกงสามส่วนหยิบยาที่บอกออกมา “เอามาได้แค่นี้ค่ะ จะเอาสำลีกับผ้าพันแผลมาด้วย กลัวคุณมิ่งจะเห็น จะเอาอะไรมาไม่ได้สักอย่าง”“ขอบใจมา ปราง”มินตาคว้าขวดยาพวกนั้นมาด้วยมืออันสั่นเทา ตัวหล่อนเองนั้นสภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนที่ยังนอนทอดร่างนิ่งๆ นี่สักเท่าไหร่ หล่อนรู้ตัวว่าตัวเองก็แย่ เจ็บในช่องท้องจี๊ดๆ เตือนเป็นระยะอย่างไม่เคยเป็น แล้วหล่อนก็อยากล้มตัวลงนอน แล้วหลับให้นานโดยไม่ต้องตื่นขึ้นมารับรู้ใดๆ อีกเ
“คุณมินเป็นอะไร...”แตะตัวมินตาแล้วก็พอว่าไม่ขยับสักนิด ปรางเงยหน้าหล่อนได้เห็นสาวิตต์นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง สีหน้าของเขาดูน่ากลัวอย่างไม่เห็นมาก่อนเลยหันกลับมามองมิ่งขวัญก็เห็นสีหน้าแย้มเยาะประหลาดนัก“คุณมินสลบนะคะ”“ฉันให้แกมาดู ไม่ได้ให้มาพูดมาก แกมีหน้าที่คอยพยาบาลเอาไว้ แต่แกห้ามยุ่งมากไปกว่านี้อีก”“ค่ะ”“พาเข้าไปในห้องนอนซะ”มิ่งขวัญออกคำสั่ง แล้วหล่อนจึงเดินเข้ามาหาสาวิตต์...จับมือของเขาไปบีบเหมือนจะให้กำลังใจแก่เขา“มิ่งเข้าใจว่าคุณเอกำลังเฮิร์ทมาก อีกไม่นานค่ะทุกอย่างจะเรียบร้อยมันจะกลายเป็นปุ๋ยจมดินไปเลย จะไม่มีใครเห็นซากของมันอีก...อย่างนั้นใช่ไหมคะ...ที่นี่มีที่มากมายให้ฝังมัน...”“เมื่อไหร่มันจะมา” คำถามของสาวิตต์เลื่อนลอย“ใจเย็นหน่อยค่ะ ยังไงซะมันก็จะต้องมา”“มันทำกับพี่เจ็บปวดนัก...” เขาหลับตาลง “รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”“จะไม่มีใครรู้...” หล่อนลูบบ่าของเขาเบาๆ ด้วยมือที่เหลืออยู่ปลอบโยนเขา “มิ่งสัญญาว่าจะเอาตัวมันมาให้”“แล้วยายมินล่ะ...”“ขายมันซิ คุณเอ...หลังจากจัดการหมอนั่นแล้ว เอายายมินไปขาย” น้ำเสียงของมิ่งขวัญเหี้ยมเกรียม เขาแหงนหน้ามอง “มิ่งพูดจริงๆ นะ ไม่
“คุณมินเป็นอะไร...”แตะตัวมินตาแล้วก็พอว่าไม่ขยับสักนิด ปรางเงยหน้าหล่อนได้เห็นสาวิตต์นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง สีหน้าของเขาดูน่ากลัวอย่างไม่เห็นมาก่อนเลยหันกลับมามองมิ่งขวัญก็เห็นสีหน้าแย้มเยาะประหลาดนัก“คุณมินสลบนะคะ”“ฉันให้แกมาดู ไม่ได้ให้มาพูดมาก แกมีหน้าที่คอยพยาบาลเอาไว้ แต่แกห้ามยุ่งมากไปกว่านี้อีก”“ค่ะ”“พาเข้าไปในห้องนอนซะ”มิ่งขวัญออกคำสั่ง แล้วหล่อนจึงเดินเข้ามาหาสาวิตต์...จับมือของเขาไปบีบเหมือนจะให้กำลังใจแก่เขา“มิ่งเข้าใจว่าคุณเอกำลังเฮิร์ทมาก อีกไม่นานค่ะทุกอย่างจะเรียบร้อยมันจะกลายเป็นปุ๋ยจมดินไปเลย จะไม่มีใครเห็นซากของมันอีก...อย่างนั้นใช่ไหมคะ...ที่นี่มีที่มากมายให้ฝังมัน...”“เมื่อไหร่มันจะมา” คำถามของสาวิตต์เลื่อนลอย“ใจเย็นหน่อยค่ะ ยังไงซะมันก็จะต้องมา”“มันทำกับพี่เจ็บปวดนัก...” เขาหลับตาลง “รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”“จะไม่มีใครรู้...” หล่อนลูบบ่าของเขาเบาๆ ด้วยมือที่เหลืออยู่ปลอบโยนเขา “มิ่งสัญญาว่าจะเอาตัวมันมาให้”“แล้วยายมินล่ะ...”“ขายมันซิ คุณเอ...หลังจากจัดการหมอนั่นแล้ว เอายายมินไปขาย” น้ำเสียงของมิ่งขวัญเหี้ยมเกรียม เขาแหงนหน้ามอง “มิ่งพูดจริงๆ นะ ไม่