ทั้งสองฝ่ายต่างกำลังอยู่ในอารมณ์ที่เย็นชาที่สุดและต้องการให้ความร่วมมือกับอีกฝ่ายน้อยที่สุด และมันกำลังทำให้ความคับข้องใจภายในอกของมาร์คเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น“โครงการซ่อมแซมนี้จะมีค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 100,000 ดอลลาร์ แค่สำหรับการซ่อมแซมขั้นพื้นฐาน และนี่เป็นเพียงการประมาณการขั้นต้นเท่านั้น! สำหรับบ้านที่มูลค่าประมาณ 1.5 ล้านดอลลาร์แบบนั้นมันจะต้องแพงกว่านั้นแน่นอน มันอาจสูงถึงหลายล้านเลยก็ได้!” มาร์คกล่าวแอเรียนเข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการพูดถึงเงินของเขา เขากำลังพยายามที่จะทำให้เธอใจอ่อนเพราะความมีน้ำใจของเขา! แต่เธอจะไม่ยอมจำนน ดังนั้นเธอจึงโต้กลับว่า “โอ้ เข้าใจแล้ว ฉันมีเงินเก็บอยู่สองสามแสน ดังนั้นฉันจะถอนทั้งหมดมาเพื่อสิ่งนี้และยืมเงินส่วนที่ขาดจากคุณ ไม่ต้องห่วง ฉันจะคืนมันให้คุณแน่นอน ฉันอาจจะไม่ได้ทำงาน แต่ฉันยังมีรายได้เสริมจากคาเฟ่ของฉัน วันหนึ่งฉันจะสามารถคืนหนี้ทั้งหมดให้คุณได้แน่นอน”มาร์คสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างขุนเคืองว่า “ทำไมเธอต้องพูดแบบนั้นด้วย? ใครบอกว่าฉันต้องการให้เธอคืนเงินนั้น?”“ถ้านั่นไม่ใช่ปัญหา แล้วคุณจะพูดถึงค่าใช้จ่ายทำไมล่ะ?” เธอ
ไม่นานหลังจากนั้นแมรี่ก็กลับมาพร้อมกับข่าวร้าย “ฉันพยายามโทรหาเธอแล้ว แต่ฉันติดต่อเธอไม่ได้เลย! เธอบอกไว้ว่าเธอตั้งหน้าตั้งตารอวันแห่งความสนุกสนานอย่างอิสระเป็นเวลาหลายวันแล้ว ดังนั้นบางทีเธออาจจะตั้งใจปิดโทรศัพท์ไว้ตลอดเพื่อไม่ให้ใครสามารถรบกวนเธอได้…? ตะ-ตะ-แต่เราควรจะทำอย่างไรดี?”ริมฝีปากของมาร์คสั่นเมื่ออารมณ์ดิบเถื่อนเข้าครอบงำเขาอย่างช้า ๆ “โอ้ ก็ได้… เอาอย่างนั้นก็ได้… อยู่กันสองคนก็ได้! ปล่อยให้เธออยู่ข้างนอกนั่นแหละ! อยู่ข้างนอกนั่นและอย่ากลับมาอีกล่ะ! ผมดูแลลูกชายตัวเองได้ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว! ผมจะพาเขาไปที่บริษัทด้วย! ผมคนหนึ่งแหละที่ไม่เชื่อว่าเธอจะอดที่จะไม่กลับมาหาลูกตัวเองเป็นเดือน ๆ ได้! ครั้งนี้ผมจะไม่ขอร้องให้เธอกลับมาหรอก!”แมรี่มองการณ์ไกลและต้องการที่จะหลบให้ไกลที่สุดเพื่อที่จะปกป้องชีวิตตัวเอง เธอมองเห็นมันอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง สงครามได้เริ่มต้นขึ้นเพราะทั้งสองฝ่ายปฏิเสธที่จะยอมกันเมื่อยามแปดโมงเช้า ตามที่วางแผนไว้ แจ็คสัน เวสต์ก็ได้ปรากฏตัวที่ทางเข้าหลักขององค์กร สมิธบริษัทของอเลฮานโดรถูกก่อตั้งที่อายาเช่ ตอนนี้พวกเขากำลังพยายามที่จะมีจุดยืนในเมืองหลวง และแ
เจตต์ต้องยอมรับว่าอเลฮานโดรหัวดีมาก เขาอาจจะยอมแพ้ที่จะบอกทิฟฟานี่ให้เอาเด็กออกด้วยตัวเอง แต่เขารู้ว่าเขาจะต้องพูดอะไรเพื่อหลอกให้แจ็คสันทำงานที่สกปรกแทนเขา บทสนทนาเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อกี้นี้เพียงพอที่จะปลูกฝังความคิดในหัวของแจ็คสันได้ว่าเด็กคนนั้นอาจจะไม่ใช่ลูกของเขาโดยเล่นกับความไม่มั่นใจและความทุกข์ของชายคนนั้นอย่างไรก็ตาม ฉากก่อนหน้านี้ทำให้เจตต์กังวลมาก เขาเป็นลูกน้องของดอน สมิธเสมอมา ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะรับใช้อเลฮานโดรแล้ว แต่เขาก็ยังถูกคาดหวังให้ต้องทำงานให้ดอนอยู่ดี จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาเมื่อความจริงของงานเขาถูกเปิดเผย? ดอนอาจจะต้องการให้เขาตาย หรืออเลฮานโดรอาจทำให้เขาตายก็ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ชะตากรรมเดียวที่รอเขาอยู่ก็คือความตาย นั่นคือฝันร้ายของการทำงานให้กับทั้งสองฝ่ายที่แย่ที่สุดคือ ในระยะหลัง ๆ นี้ดอนได้ติดต่อเขาบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ มันต้องไม่ใช่ลางที่ดีแน่นอนเจตต์ยังคงเข็นอเลฮานโดรเข้าไปในอาคารต่อและสังเกตว่าระดับความวิตกกังวลภายในอาคารดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นถึงระดับสิบเอ็ดอเลฮานโดรเองก็เริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศได้เช่นกัน แต่หลังจากที่พวกเขาผลักประตูเข้าไปใ
“คุณไม่เคยมองผม หลานชายตัวน้อยที่น่าขยะแขยงของคุณเป็นคนที่วันหนึ่งจะอยู่เคียงข้างคุณในขณะที่คุณตายอยู่แล้วหนิ” อเลฮานโดรกล่าวอย่างแข็งกระด้าง “ทำไม? คุณลืมเรื่องบ้า ๆ ที่คุณเคยทำไปแล้วเหรอ? ตอนนี้คุณกลับต้องการที่จะเพลิดเพลินกับชีวิตของคุณปู่ที่ถูกล้อมรอบด้วยหลาน ๆ ของเขางั้นเหรอ? ขอร้องล่ะ ลูกชายของคุณตายไปหมดแล้ว และทายาทคนเดียวที่คุณเหลืออยู่ก็คือหลานชายที่เป็นง่อยและยุ่งเกินกว่าที่จะมีเวลาเล่นบอลกับคุณปู่ของเขา ให้บอดี้การ์ดของคุณเล่นเป็นเพื่อนคุณสิตาเฒ่า ถ้าคุณอบรมผมเสร็จแล้วก็หลีกทางผมหน่อย ผมมีธุระที่ต้องจัดการ”สีหน้าของดอนแดงก่ำด้วยความโกรธ “ไอ้ชาติหม*”เจตต์เข้ามาแทรกและหยุดเขา “นายท่านดอนครับ คุณสมิธสบายดีครับ บริษัทก็ดำเนินการไปได้ด้วยดี เขาประสบความสำเร็จค่อนข้างมากตั้งแต่ที่มาถึงเมืองหลวง คุณหายห่วงได้ครับ”ดอนจ้องไปที่เจตต์สองสามวินาทีก่อนจะตอบว่า “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นนายก็ช่วยดูแลเขาดี ๆ ด้วยนะ ฉันไปล่ะ”เจตต์ตอบรับเบา ๆ และก้มหน้าลงเพราะกลัวว่าดอนอาจจะเจอเบาะแสบางอย่างบนใบหน้าของเขา “การดูแลอเลฮานโดร” เป็นวลีลับที่บอกให้เขาสอดส่องอเลฮานโดรให้มากขึ้นแน่นอนว่าเจตต
ทิฟฟานี่สับสนไปหมด เธอไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในหัวของแจ็คสันได้ แน่นอนว่าเธอต้องการที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานของเธอ แต่เธอไม่เคยคิดที่จะสละลูกตัวเองเพียงเพื่อสิ่งนั้น เมื่อเธอรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ ความปีติยินดีที่แท้จริงก็ได้ครอบงำเธออย่างน่าประหลาดใจ นับตั้งแต่ที่เธอได้เห็นความน่ารักของสมอร์ เธอก็อยากจะมีลูกเป็นของตัวเองมาโดยตลอดทิฟฟานี่วางแผนไว้ว่าเธอจะขอลาคลอดเมื่อใกล้ถึงวันที่กำนดแล้วกลับมาทำงานต่อหลังจากที่วันลาของเธอหมดลง เธอไม่เคยมีความคิดที่จะเอาเด็กออกเลยสักครั้ง"ไม่ ฉันจะไม่เอาเด็กคนนี้ออก ฉันไม่คิดว่าเขาจะส่งผลกระทบต่องานของฉันแต่อย่างใดด้วย” เธอกล่าวแจ็คสันเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ฟังผมนะ ไปเอาเด็กออกเถอะ”ตอนนั้นเองที่ทิฟฟานี่ตระหนักว่าแจ็คสันไม่เคยพิจารณาเรื่องนี้จากมุมมองของเธอเลยการตระหนักรู้นั่นทำให้เธอเย็นชา "ทำไม? บอกฉันทีว่าทำไม? อย่างน้อยคุณก็ช่วยบอกเหตุผลฉันหน่อยไม่ได้เหรอ? คุณจะ… คุณไม่สามารถบอกให้ฉันเอาเด็กคนนึงออกโดยที่ไม่มีเหตุผลได้หรอกนะ! ถ้าคุณไม่ต้องการแต่งงานกับฉัน ก็ได้ เราจะไม่แต่งกัน ฉันมีงานทำ และฉันสามารถเลี้ยงลูกไ
“เธอมาทำอะไรที่นี่คนเดียว?” ทิฟฟานี่ถามพลางสะอื้นไห้เป็นช่วง ๆ เมื่อเธอพบกับแอเรียน “สมอร์อยู่ไหน? เธอทิ้งเขาไว้ที่บ้านจริง ๆ เหรอ?”แม้ว่าแอเรียนจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่เธอก็ไม่ได้แสดงมันออกมา “ไม่ต้องห่วง พ่อของเขาอยู่กับเขา มีอะไรให้ต้องกังวลอีกเหรอ? ฉันตัดสินใจที่จะมาที่นี่สักสองสามวันเพื่อที่จะได้พักผ่อนและอยู่เป็นเพื่อนเธอไง ระหว่างเธอกับแจ็คสันเป็นยังไงบ้าง?”“เขาคิดว่าอเลฮานโดรเป็นพ่อของเด็กในท้องฉัน” ทิฟฟานี่สะอื้นไห้ “เขาต้องการให้ฉันเอาเด็กออก ฉันวางสายใส่เขาด้วยความโกรธ และตั้งแต่ตอนนั้นมาเขาก็ยังไม่โทรหาฉันอีกเลย เขากำลังจะทำให้ฉันเป็นบ้า…”แอเรียนเช็ดน้ำตาให้ทิฟฟานี่ “เอาล่ะ อย่าร้องไห้สิ สตรีมีครรภ์ไม่ควรร้องไห้นะ ทารกสามารถรับรู้ได้ทุกครั้งที่เธอเศร้า มันไม่ใช่แค่ตำนานนะ มันเป็นเรื่องจริง ความสงสัยเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุด มันสามารถทำลายความไว้วางใจระหว่างคนสองคนได้โดยสิ้นเชิง ตอนนี้เราสามารถแก้ไข้ปัญหานี้ได้ด้วยสองวิธี เธอจะต้องคุยกับแจ็คสันดี ๆ และโน้มน้าวเขาให้ได้ว่าเขาเป็นพ่อของเด็ก หรือเธอจะทำแบบทดสอบความเป็นพ่อและแสดงหลักฐานให้เขาดูก็ได้ ไม่ว่าจะยังไงฉันก็จะไม่แนะน
มาร์คดึงโทรศัพท์ออกมาด้วยความรู้สึกที่อยากจะโทรหาแอเรียนนับครั้งไม่ถ้วน อย่างไรก็ตาม เขากลับกลัวว่าเธอจะปฏิเสธสายของเขาอีกครั้ง นั่นจะทำให้เขาอารมณ์เสียมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเขาจะต้องทนต่อไป เขาจะต้องหยุดตามใจเธอ และนั่นรวมถึงแอริสโตเติลด้วย พวกเขาทั้งคู่ต่างนิสัยเสียมากเกินไปทันใดนั้นก็มีคนผลักประตูเข้ามาในห้องทำงานเขาเบา ๆ หญิงสาวร่างสูงเพรียวและรูปงามในชุดทำงานที่มัดผมหางม้าแบบหลวม ๆ ก้าวเข้ามาในห้อง "คุณเทรมอนต์” เธอพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ผู้อำนวยการขอให้ฉันนำเอกสารเหล่านี้มาส่งให้คุณค่ะ ฉันไม่ได้เคาะประตูก่อนเพราะกลัวว่าจะรบกวนลูกของคุณ ฉันควรวางเอกสารเหล่านี้ไว้บนโต๊ะของคุณเลยไหมคะ?”มาร์คพยักหน้า “วางไว้ที่โต๊ะเลย” เขาตอบเบา ๆ “ผมจะดูให้เมื่อผมมีเวลา” ขณะที่เขาพูดเขาก็สังเกตเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นได้ถอดรองเท้าส้นสูงของเธอและถือมันไว้ในมือเมื่อตอนที่เข้ามา เธอไม่ได้ใช้รองเท้าแตะแบบที่ใช้แล้วทิ้งที่ถูกจัดเตรียมไว้หน้าห้องเขา “หน้าประตูมีตู้รองเท้าพร้อมกับรองเท้าแตะแบบที่ใช้แล้วทิ้งนะ”หญิงสาวยิ้ม “อ้อ ฉันไม่ทราบค่ะ ฉันเพิ่งเข้ามาทำงานในบริษัทนี้ และฉันยังเป็นแค่เด็กฝึกงาน ฉัน
การประชุมใช้เวลาไม่นานนักเนื่องจากมาร์คไม่สามารถหยุดกังวลถึงแอริสโตเติลได้ การประชุมที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมงจึงถูกเร่งให้สั้นลงจนเหลือเพียงหนึ่งชั่วโมงเพราะลูกชายของเขา เขาข้ามผ่านทุกเรื่องที่ไม่ได้สำคัญหรือเร่งด่วนนักเมื่อมาร์คกลับมาที่ห้องทำงานตัวเอง เขาก็พบว่าแอริสโตเติลหยุดร้องไห้ไปแล้ว ต้องขอบคุณความพยายามอย่างมากในการปลอบเขาของเจนิซ หนุ่มน้อยจึงกำลังจ้องมองเธอด้วยความว่างเปล่า เขาดูไม่มีความสุข แต่อย่างน้อยเขาก็หยุดร้อง มาร์คถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนที่จะเดินเข้าไปหาเธอแล้วพูดว่า “คุณเลี้ยงเด็กเก่งจริง ๆ ด้วย ไม่มีใครสามารถปลอบสมอร์ได้เลยยกเว้นแม่ของเขา”เจนิซเริ่มสงวนตัวมากขึ้นเล็กน้อยเมื่อเขากลับมา เธอก้าวออกมายืนข้าง ๆ “สมอร์เหรอคะ? สมอร์น้อย? ช่างเป็นชื่อเล่นที่น่ารักมาก!”มาร์คมองลูกชายตัวเองแล้วยิ้ม “ใช่ แม่ของเขาตั้งชื่อให้เขาน่ะ เราเรียกเขาแบบนั้นจนติดปากไปแล้ว ชื่อจริงของเขาคือแอริสโตเติล เทรมอนต์”เจนิซจ้องมาร์คด้วยความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนในสำนักงานต่างบอกว่าเขาไม่ได้ยิ้มมาเป็นเวลานานแล้ว เธอไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะดูดีขึ้นไปอีกเมื่อเขายิ้ม มันทำให้เขาดูอ