หลังจากทำแผลเสร็จแล้ว เธอเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุด เธอเอนกายพักผ่อน เธอรู้ตัวเองดีกว่ากระทำของตัวเองไม่ได้น่าภูมิใจมากนัก แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไรมันอีกแล้วพักอยู่ครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงแม่นมฉีบ่นด้วยความกังวลใจ “พระชายา เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”หยวน ชิงหลิง ดันตัวเองขึ้นจากโต๊ะอย่างช้า ๆ แล้วยืนให้เรียบร้อย ก่อนเรียกแม่นมฉี “เข้ามาเถอะ”เสียงผลักประตูดังขึ้น แม่นมฉีกับลวี่หยาเมา ทั้งสองคนรีบวิ่งไปดูฮั่วเกอเอ๋อร์ พบว่าลมหายใจสม่ำเสมอดี แม่นมฉีจึงถอนหายใจได้อย่างโล่งอกหยวน ชิงหลิง ยกกล่องยาขึ้นแล้วพกกับทั้งคู้ว่า “เรื่องในคืนนี้ พวกเจ้าทั้งสองจงเก็บเป็นความลับ อย่าได้บอกอ๋องฉู่หรือคนในจวนแม้แต่คนเดียว” แม่นมฉีและลวี่หยามองหน้ากันและคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายลวี่หยาเข้าไปพยุง หยวน ชิงหลิง “พระชายา หม่อมฉันพยุงพระองค์กลับไปนะเพคะ” “ไม่เป็นไร เจ้าเฝ้าเขาเถอะ ที่หัวเตียงข้าวางยาเอาไว้ สองชั่วยามให้เขากินหนึ่งครั้ง ถ้ากินหมดแล้ว ค่อยมาหาข้า” หยวน ชิงหลิง ปล่อยมือลวี่หยาแล้วเดินออกไปข้างนอกอย่างยากลำบาก “พระชายาเพคะ!” จริง ๆ แล้วนางอยากพูดขอบคุณสักคำ แต่พอนึกเรื่องเมื่อก่อนที่
เธอมีความรู้สึกแยกไม่ออกแล้วว่านี่เป็นความจริงหรือความฝัน ก่อนจะดันกล่องยากลับไปที่ใต้เตียงอย่างสั่นเทา แต่ทันทีที่กล่องยาเข้าไปใต้เตียง มันก็หายไปเธอกลั้นหายใจไปสามวินาที ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะใต้เตียง มันไม่มีอะไรเลยจริง ๆตัวเธอสั่นเทา และค่อย ๆ คลานกลับไปที่เตียง เธอหายใจแรงขึ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้เกินความรู้ความเข้าใจของเธอ ความรู้อย่างเป็นมืออาชีพ และที่ไม่ใช่มืออาชีพของเธอก็ไม่สามารถให้คำตอบกับเธอได้ มนุษย์มักกลัวสิ่งที่ไม่รู้ และมีความกลัวอยู่ลึก ๆ ในใจ และเธอรู้สึกกลัวจริง ๆประตูถูกผลักออกเสียงดัง "ปัง" หยวน ชิงหลิงยังไม่ทันจะเงยหน้าขึ้นมอง และไม่รู้สึกถึงบรรยากาศเย็นชาที่เต็มไปรอบ ๆ เธอเพียงรู้สึกเจ็บที่หนังศีรษะเท่านั้น จากนั้นตัวเธอก็ถูกโยนลงพื้น“เจ้าคิดจะสำออยแกล้งตายงั้นรึ? เจ้าอยากจะตายเสียในตอนนี้ หรือลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับวังไปกับข้า” เสียงเย็นชาดังขึ้นเหนือศีรษะของเธอ และร่างเธอกูถูกพลิกอย่างรุนแรงป่าเถื่อน หลังเธอกระแทกกับพื้น เจ็บจนทำให้ทั้งร่างกายของเธอสั่นสะท้าน และยังไม่ทันที่เธอจะสูดหายใจ คางของเธอก็ถูกมือบีบไว้อย่างแรงจนรู้สึกเหมือนจะ
หลังจากดื่มยาเข้าไป เธอก็รู้สึกในท้องอุ่นขึ้นมา มันทำให้เธอรู้สึกสบายตัวขึ้นมาก แม่นมฉีกล่าวอย่างแผ่วเบา: “พระชายา หลังจากพระองค์กลับจวนแล้ว ข้าจะค่อย ๆ ให้บำรุงร่างกายพระองค์ ตอนนี้ได้โปรดหลับตาและพักผ่อนสักครู่ เดี๋ยวก็ดีขึ้น” หยวน ชิงหลิงหลับตาลง รู้สึกเพียงว่ามีแสงไฟกระพริบในหัวรู้สึกเหมือนจะระเบิด และเสียงที่ยุ่งวุ่นวายบางอย่างสะท้อนกลับมา “เจ้าไม่มีค่าพอให้ข้าเกลียดเจ้า ข้าแค่ขยะแขยงเจ้า ในสายตาข้าเจ้าเป็นเหมือนแมลงวันเน่าเหม็นที่ทำให้ผู้คนเกลียด ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่จำเป็นต้องดื่มยาเพื่อมาร่วมหอกับเจ้า” มันคือเสียงของท่านอ๋องฉู๋ อวี่ เหวินห่าวน้ำเสียงเต็มไปด้วยความแค้นและความเกลียดชัง เธอไม่เคยได้ยินคำพูดที่ทำร้ายความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน และมีบางคนกำลังร้องไห้ฮือฮืออยู่ที่ข้างหู และแสงไฟในหัวก็กลายเป็นแอ่งเลือด หลังจากนั้นทุกอย่างก็ค่อย ๆ สงบลง ราวกับว่าเส้นประสาทนับพันในหัวของเธอได้ผ่อนคลายในที่สุด ความเจ็บปวดค่อย ๆ หายไป หรือจะพูดได้ว่า มันไม่ได้หายไปแต่กลับชาไปแล้ว เธอลืมตาขึ้นเห็นลวี่หยายืนอยู่ที่เตียงขมวดคิ้วมองเธอ “พระชายา รู้สึกดีขึ้นบ้างไหมเพคะ?” ลวี่หย
กล่องเล็ก ๆ นั้น มีขนาดประมาณครึ่งกำปั้น ไม่ใช่สิ่งของอย่างอื่น แต่เป็นกล่องยาที่หายไปของเธอเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร? ทำไมกล่องยาถึงเล็กลงและซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเธอ?ร่างกายที่ชาของ หยวน ชิงหลิงก็มีอาการขนลุกขึ้นทันทีมีเสียงเท้าตามหลังเธอ แล้วเธอก็รีบยัดกล่องยาเล็ก ๆ กลับเข้าไปในกระเป๋าแขนเสื้อ“ข้าเดินไปส่งพระชายา” ลวี่หยาพยุงเธอ “ข้าจะขอร้องกับท่านอ๋องและขอเข้าวังพร้อมพระองค์”หยวน ชิงหลิงรู้สึกสับสน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลวี่หยาพูดอะไร ก่อนที่จะพยักหน้าอย่างงง ๆ และเดินตามเธอออกไปเดินผ่านซุ้มประตูต่าง ๆ ขึ้นไปตามทางเดิน หลังจากเดินคดเคี้ยวได้ซักพัก ก็ถึงทางเข้าลานด้านหน้ารถม้าเตรียมพร้อมอยู่ที่หน้าประตูแล้ว อวี่ เหวินห่าวไม่ได้นั่งอยู่ในรถม้า แต่กลับนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำตัวหนึ่งเขาสวมชุดสีทองและมงกุฏหยกสีทอง ใบหน้ามืดมนเหมือนสภาพอากาศและแววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เมื่อเห็นเธอเดินมาก็เพียงแค่เหลือบมอง และพูดอย่างเย็นชาว่า"เตรียมตัวขึ้นมา"“ท่านอ๋อง ต้องการให้ข้าตามเข้าไปในวังหรือไม่เพคะ?” หลี่หยาถามขึ้นอย่างดื้อรั้นอวี่ เหวินห่าวเหลือบมองที่หลี่หยาแล้วพูดว่า “ก็ดี ประหยั
รถม้าตรงไปที่ประตูวังภายใต้การนำทางของอวี่เหวินห่าว จนถึงวันนี้หยวนชิงหลิงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นสงสัยอะไรเกี่ยวกับพระราชวังเลยมองเห็นถนนในวังที่ทอดยาวลึกเข้าไป กับกำแพงวังที่ทำจากอิฐสีแดง ซึ่งมีรอยกระดำกระด่าง ผ่านทางช่องผ้าม่านที่สะบัดไปมาเท่านั้นตลอดทางสัญจรไม่สามารถมองไปในระยะไกลได้ มีหอคอยสูงตระหง่านอยู่เป็นระลอก ๆ หลังคาปูด้วยกระเบื้องเคลือบแลดูงดงามจับตาเมื่อต้องแสงแดดรถม้าหยุดลง หยวนชิงหลิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ลวี่หยาก็พยุงเธอให้ลงจากรถม้าแสงแดดส่องกระทบกับกำแพงสีแดงสด กระเบื้องเคลือบสัทองสะท้อนแสงเจิดจ้าในระยะไกล ดวงตาของเธอพร่ามัวแทบจะบอด เธอทำตัวเหมือนตัวเองเป็นผีไม่สามารถเห็นแสงสว่างได้อย่างไรอย่างนั้น รีบยกมือขึ้นมาบังแสงอาทิตย์ที่ส่องหน้าเธอโดยไม่รู้ตัวอวี่เหวินห่าวก็ลงจากม้าแล้ว ทั้งรถม้าและม้าถูกมัดไว้ที่นี่ แล้วเดินต่อไปเมื่อมาถึงนอกห้องโถงเสียวหยุ๋น ลวี่หยากระซิบเบา ๆ ว่า: "พระชายา ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป พระองค์เดินอย่างระมัดระวังด้วยเพคะ"หยวน ชิงหลิงรู้ว่าห้องโถงเสียวหยุ๋น เป็นวังที่ไท่ซ่างหวงอาศัยอยู่ ข้างนอกนั้นเต็มไปด้วยบ่าวจากจวนต่าง ๆ มากมาย เธอสูด
หยวน ชิงหลิงเงยหน้าขึ้น และได้พบกับดวงตาที่อ่อนโยนและห่วงใยของ ฉู่ หมิงชุ่ย “อยากนั่งพักสักหน่อยไหม” ฉู่ หมิงชุ่ยถาม หยวน ชิงหลิงส่ายหัวและดึงมือของเธอออกโดยไม่รู้ตัว "ไม่ ขอบคุณ" อ๋องฉี อวี่ เหวินชิงรีบดึง ฉู่ หมิงชุ่ยกลับมาพร้อมกับเหลือบมองไปที่ใบหน้าของ หยวน ชิงหลิง ด้วยสายตาที่ไม่พอใจและพูดกับ ฉู่ หมิงชุ่ย "คนแบบนั้น จะสนใจไปทำไม?" ฉู่ หมิงชุ่ยกลับมายืนข้างกายท่านอ๋องฉี และเหลือบมอง หยวน ชิงหลิงแวบหนึ่ง เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เธอกระซิบว่า "อย่างไรก็เป็นคนในตระกลู ” “เจ้าช่างมีเมตตา” อ๋องฉีจับมือ ฉู่ หมิงชุ่ย ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันราวกับเทพเจ้าและเทพธิดาคู่หนึ่ง เป็นคู่ครองที่ดูเหมาะสมอย่างยิ่ง หยวน ชิงหลิงรู้สึกถึงความเย็นรอบ ๆ ตัวของเธอ ซึ่งความเย็นนี้มาจาก อวี่ เหวินห่าว คนที่ตัวเองรัก ยืนข้างชายผู้อื่น แล้วเขาจะไม่รู้สึกปวดใจและโกรธได้อย่างไร? หยวน ชิงหลิง คิดอย่างนั้น ภายในห้องโถง มีเสียงร้องไห้ดังขึ้น ทุกคนดูประหลาดใจ และมองไปที่ประตูพร้อมกัน ผ้าม่านถูกม้วนขึ้น ขันทีที่มีผมสีขาวเหมือนหิมะเดินออกมา ตาของเขาแดงและบวม ใบหน้าของเขาเศร้าและดูอ้างว้าง เสียงแหบ
ไท่ซ่างหวงละสายตาไปมองยังศีรษะมากมายของผู้ที่คุกเข่าบนพื้น ปากสั่นเทา ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใด ๆ ออกมา ถอนหายใจเบา ๆ และดูโศกเศร้ามากหยวน ชิงหลิงรู้ว่าพวกเขาคุกเข่าอยู่ที่นี่เพื่อรอไท่ซ่างหวงสิ้นลม ตั้งแต่ที่เพิ่งเข้ามา ดูเหมือนว่าไท่ซ่างหวงใกล้จะสิ้นลม และท่านจะจากไปในไม่ช้าแต่เมื่อมองดูเขาตอนนี้ เปรียบเสมือนตะเกียงที่ยังมีน้ำมัน และการหายใจของเขาดูแข็งแรงขึ้นมากเพียงแต่ว่า อาจจะเป็นเพราะแพทย์หลวงเพิ่งจะให้ยาแก่เขาดูเหมือนว่าไท่ซ่างหวงจะเป็นโรคหัวใจ และโรคหัดเยอรมันด้วยดังนั้นตอนนี้ กลัวว่าจะหัวใจล้มเหลวหัวใจล้มเหลว หายใจลำบาก...เธอมีโดพามีนอยู่ในกล่องยาของเธอหยวน ชิงหลิงคิดในใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ภาษาสุนัขที่เธอเข้าใจได้นั้นยังคงทำให้เธอตกใจ และเธอกำลังเผชิญหน้ากับบททดสอบชีวิต อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเธอจะสับสนแค่ไหนเธอก็รู้ว่าไม่มีใครเชื่อเธอ และยอมให้เธอรักษาไท่ซ่างหวงดังนั้น สิ่งเดียวที่เธอจะทำได้ก็คือ ต้องดูไท่ซ่างหวงหมดลมไปต่อหน้าเธอสำหรับผู้ที่เป็นแพทย์ นี่ถือเป็นเรื่องที่ทรมานมากสั่นไหวโอนเอน ท่าคุกเข่าของเธอนั้นเป็นอะไรที่อึดอัดและต้องเกร็งตัวจนแข็งทื่อไปหมด เนื่องจ
หลังจากองค์ชายที่สี่ของจักรพรรดิหมิงหยวนและพระชายาของเขาเข้าไปข้างใน ต่อไปคือ อวี่ เหวินห่าว และ หยวน ชิงหลิงหยวน ชิงหลิงค่อย ๆ หายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ ปรับอารมณ์ของเธอ และไม่สนต่อความรู้สึกไม่สบายทางร่างกายทั้งหมดเธอไม่สามารถทนต่อเรื่องความเป็นและความตายได้ฉางกงกงกล่าวว่า "ท่านอ๋องฉู่และพระชายา เชิญเข้าไปข้างใน"หยวน ชิงหลิงลุกขึ้นเดินตาม อวี่ เหวินห่าว เขาเดินนำหน้าเธอ เปิดม่านและเข้าไปข้างใน อวี่ เหวินห่าวคุกเข่าข้างเตียง หยวน ชิงหลิงคุกเข่าอยู่ข้างหลังเขา และรีบหยิบกล่องยาของเธอออกมา หลังจากที่มันตกลงที่พื้นกล่องยาก็ใหญ่ขึ้น หยวน ชิงหลิงไม่มีเวลาคิดว่าทำไมกล่องยาถึงเป็นแบบนี้ ทำเพียงแค่รีบนำเข็มฉีดยาชาออกมาอย่างรวดเร็วอวี่ เหวินห่าว ผู้ซึ่งจมอยู่ในความเศร้าโศก และไม่ได้สังเกตพฤติกรรมของเธอ เขาสะอื้น และเรียก "ท่านปู่... "หยวน ชิงหลิงจับมือของเขา ทันใดนั้นเขาก็หันกลับมาอย่างไม่รู้ตัวและลืมตาขึ้น หยวน ชิงหลิง ก็ฉีดยาชาเข้าไปที่มือของเขาเขาสะดุ้งตกใจ ดวงตาของลุกวาวเต็มไปด้วยความโกรธ หยวน ชิงหลิงเอื้อมมือไปหาเขาแล้วพูดว่า “ท่านปู่ หลานขอคุกเข่าต่อหน้าท่าน...”นับในใจ หนึ่ง