๗
เบญจมาศในหมู่ภมร
“ พี่ชายเจ้าไม่มากินข้าวอีกแล้วหรือแม่รำพึง ”
ท่านเจ้าคุณเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่อยู่กินข้าวเช้ามาหลายวัน คิ้วหนาแซมขาวขมวดมุ่นจนคนนั่งร่วมสำรับอึดอัด
“ รับข้าวเถิดเจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ ”
แม่พุดตานเอ่ยเสียงเรียบ มือเรียวตักข้าวใส่จานของท่านเจ้าคุณ
“ นังจวงไปตามพ่อรักษ์มา ”
“ จะ...เจ้าค่ะ ”
นังจวงสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงที่ปนไปด้วยความโกรธส่งตรงมาที่ตน มันตอบรับคำสั่งรีบวิ่งไปตามพ่อรักษ์ที่เรือนบ่าว
“ เรียกข้ามีกระไรหรือขอรับคุณพ่อ ”
พ่อรักษ์ขึ้นเรือนมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใช้หางตาปรายมองหญิงสาวสองคนที่นั่งร่วมสำรับอย่างไม่ชอบใจ
“ นั่งลง ”
“ คุณพ่อแจ้งมาได้เลยขอรับว่ามีกระไรกับข้า ”
“ กูบอกให้มึงนั่งลงไอ้รักษ์ ”
“ หากคุณพ่อไม่มีกระไรเพียงแต่อยากเรียกข้ามาให้ร่วมสำรับกับครอบครัวของคุณพ่อ ข้าไม่ต้องการขอรับ ข้ากินข้าวที่เรือนบ่าวกับแม่ปรุงอิ่มแล้วขอรับ ”
“ ไอ้ลูกไม่รักดี มึงเห็นบ่าวดีกว่ากูที่เป็นพ่อของมึงเชียวรึไอ้รักษ์ ”
“ อย่างน้อยแม่ปรุงก็มิได้ยัดเยียดให้ใครมาแทนที่คุณแม่เหมือนที่คุณพ่อกระทำอยู่นี่ขอรับ ”
“ ไอ้รักษ์!! ”
เพล้ง
“ ว้าย ”
ท่านเจ้าคุณคว้าถ้วยกระเบื้องในสำรับปาเฉียดพ่อรักษ์ไปเพียงเสี้ยว ท่านเจ้าคุณลุกขึ้นยืนอย่างโกรธเกรี้ยว ชี้ไปยังหน้าของบุตรชาย
“ กูเป็นพ่อมึงไอ้รักษ์ กูชี้ให้มึงไปทางใดมึงก็ต้องทำตามกู ตราบใดที่มึงอยู่บนเรือนนี้อาศัยบารมีของกู มึงก็ต้องทำตามที่กูบอก ”
“ หากการอยู่ในเรือนของคุณพ่อ แล้วข้าต้องทำตามใจของคุณพ่อ ข้าก็ไม่ต้องการอยู่ขอรับ ”
พ่อรักษ์พูดจบก็หันหลังเดินลงจากเรือนไป ท่านเจ้าคุณโมโหจนเลือดขึ้นหน้า
“ ไอ้ลูกเนรคุณ กูจะดูซิว่ามึงจะอวดเก่งไปได้เสียกี่เพลากันไอ้ลูกเวร ”
“ เจ้าคุณพ่อ...ใจเย็น ๆ นะเจ้าคะ คุณแม่เจ้าคะให้บ่าวเตรียมสำรับใหม่เถอะเจ้าค่ะ ”
ด้วยความเคยชินของแม่รำพึง จึงเอ่ยบอกกับแม่พุดตานที่สีหน้าไม่สู้ดีนัก ใจของพุดตานกรุ่นไปด้วยความโกรธที่โดนพ่อรักษ์เปรียบตนต่ำต้อยกว่าบ่าวในเรือน แถมพอเกิดเรื่องยังโดนเด็กที่อ่อนกว่าอย่างแม่รำพึงสั่งให้ตนที่เป็นถึงเมียท่านเจ้าคุณ เมียที่พ่ออยู่หัวพระราชทานมาให้เยี่ยงบ่าว เจ้าตัวเก็บความไม่พอใจไว้ภายในแล้วหันไปสั่งนังจวงและบ่าวบนเรือนให้เก็บและเตรียมสำรับใหม่
‘ ไม่มีผู้ใดเห็นหัวกูเลยสักคน กูเป็นถึงเมียพระราชทาน แต่เปรียบกูต่ำเยี่ยงบ่าว ถึงคราที่กูเอาคืนได้เมื่อใด กูจะทำให้ได้รู้ว่ากู พุดตานคนนี้ สูงค่าและสูงศักดิ์เพียงใด ’
ตุบ
ไอ้เชิดวางเบี้ยตรงหน้าของหญิงร่างท้วมที่เป็นเจ้าของเรือนโคมแดง เจ้าหล่อนคว้าเบี้ยมานับก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไอ้เชิดที่ยืนรออยู่
“ ใครดีล่ะพ่อเชิด นังจำปาหรือจะเป็นนังหลั่นดี ”
“ อีจำเรียน ”
“ นังจำเรียนมันรับใช้คนอื่นไปแล้ว ”
“ มึงบอกกูมา ไอ้ตัวไหนมายุ่งกับอีจำเรียนของกู ”
ไอ้เชิดตวาดเสียงดังจนเจ้าของเรือนหน้าถอดสี เพราะรู้ตัวดีว่าไอ้เชิดมันเป็นนักเลงคุมอยู่ที่ตลาดวังหว้านี้ ใครขัดใจมันมีอันจะต้องเจ็บตัวเจียนตายไปเสียทุกราย
“ ก็พ่อรักษ์ลูกชายคนโตของท่านเจ้าคุณวรจิตรน่ะพ่อเชิด อย่าเพิ่งโมโหไปเลยคราที่แล้วเหล้ายาข้าแตกไปหลายไหยังมิได้กำรี้กำไรเลยจ้ะพ่อเชิด ”
“ ไอ้รักษ์มึงอีกแล้วรึ ไอ้ระยำไอ้มารหัวขน ”
" คุณรักษ์เจ้าขา ตื่นเถิดเจ้าค่ะ "
เสียงหวานใสเอ่ยเรียกพ่อรักษ์ที่ยังนอนเปลือยกายอยู่บนตั่งนอนที่ปูผ้าสีแดงไว้ ร่องรอยจากกิจกรรมเมื่อคืนยังคงเด่นชัดจนจำเรียนเองยังรู้สึกขัดเขินในรสสวาทที่พ่อรักษ์มีให้
“ ว้าย...คุณรักษ์ ”
แขนแกร่งเอื้อมตัวไปดึงร่างบางที่นั่งเปลือยท่อนบนอยู่ข้าง ๆ จนต้องนอนจมไปบนอกของพ่อรักษ์อย่างช่วยไม่ได้
“ ส่งเสียงได้เจื้อยแจ้วเช่นนี้ เห็นทีว่าข้าคงยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้เจ้าเหนื่อยได้กระมัง...จำเรียน ”
“ พูดกระไรกันเจ้าคะคุณรักษ์ แค่นี้จำเรียนก็แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงอยู่แล้วเจ้าค่ะ ”
“ แต่ข้ายังมีแรงเหลืออีกมากเลยแม่จำเรียน ยิ่งเห็นเนื้อตัวแม่จำเรียนเยี่ยงนี้แล้ว ข้าก็เหมือนอยากจะกลืนกินแม่ไปเสียทั้งตัว ”
“ คุณรักษ์...ว้าย ”
ร่างหนาคร่อมกายลงบนร่างของจำเรียน มอบรสสวาทที่ถึงแม้ว่าจำเรียนจะรับใช้ผู้ชายมามากมาย แต่หากเทียบกันแล้วสิ่งที่ได้รับจากพ่อรักษ์นั้นมันลึกซึ้งมากเกินกว่าชายใดในเมืองนี้จะมอบให้ได้
“ เอาเหล้ามาให้ข้าอีกไหป้า ”
“ คนเดียวสามไหแล้วหนาเจ้าคะคุณรักษ์ ”
“ ข้ายังไหว มิเมาง่าย ๆ ดอกป้า ”
เสียงพ่อรักษ์ที่ดูท่าจะเมามายตั้งแต่หัววันเอ่ยบอกป้าเจ้าของร้านเหล้าในตลาด ก่อนที่เจ้าของร้านจะเดินยกไหเหล้ามาวางไว้ที่โต๊ะ
“ เป็นถึงลูกเจ้าขุนมูลนาย กลับมาทำตัวเหลวแหลกเยี่ยงนี้ ข้าล่ะสงสารท่านเจ้าคุณวรจิตรเสียจริง ๆ ”
“ เห็นใคร ๆ ต่างก็ลือให้อื้ออึงว่าบุตรชายคนโตทำตัวเกเร บ้านเรือนไม่อยากกลับขลุกอยู่แต่ในโรงชำเราบุรุษ ได้ยินมาว่าติดพันอยู่กับอีจำเรียนด้วยหนา ”
เสียงซุบซิบนินทาเอ่ยดังแว่ว ๆ หากใครหูไม่หนวกก็คงจะได้ยินกันเสียหมด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พ่อรักษ์ติดใจเอาความกระไร เพราะทุกสิ่งที่ได้ยินคือเรื่องจริงทั้งนั้น นั่นจึงไม่ทำให้พ่อรักษ์โกรธเคืองผู้ใดที่เอ่ยถึงตนเลยแม้แต่น้อย
“ คุณรักษ์เจ้าคะ ตื่นเถิดเจ้าค่ะ ป้าจะปิดร้านแล้วเจ้าค่ะคุณรักษ์ ”
“ อืม...”
พ่อรักษ์ที่ไม่รู้ว่าเมาหลับไปตั้งแต่เมื่อใด ส่งเสียงในลำคอก่อนจะค่อย ๆ ยันตนเองให้ลุกขึ้นมานั่งมองรอบตัวอยู่ครู่ใหญ่ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน แสงแปรบปลาบจากฟ้าแลบสว่างจ้าเป็นพัก ๆ ดูท่าคืนนี้ฝนน่าจะตกลงมาห่าใหญ่
พ่อรักษ์เดินตุปัดตุเป๋ไปตลอดทางที่จะเดินกลับ จุดมุ่งหมายก็คือโรงชำเราที่เป็นที่นอนเหมือนทุก ๆ คืนที่ผ่านมา
ซ่า...
ห่าฝนตกลงมาอย่างหนัก พ่อรักษ์ยังคงเดินตากฝนไปอย่างช้า ๆ เนื่องจากฤทธิ์ของเหล้า แต่เพราะความเย็นของฝนก็ทำให้พ่อรักษ์สร่างเมาขึ้นมาบ้าง จนมองเห็นกลุ่มคนสามสี่คนยืนอยู่เบื้องหน้า
“ เมาเหมือนหมาเลยนะไอ้รักษ์ ”
“ กูจะเมาเหมือนหมาเหมือนแมวแล้วมึงจะมายุ่งเรื่องของกูทำไมวะ ”
“ พูดเยี่ยงนี้สงสัยต้องเอาเลือดจากปากมึงมาล้างตีนกูเสียแล้วกระมัง ”
พวกมันพูดจบก็กรูกันเข้ามาล้อมหน้าหลังของพ่อรักษ์ที่ยังคงโซซัดโซเซเพราะฤทธิ์เหล้าในร่างกาย ไอ้เชิดที่จงใจเปิดหน้ามาให้พ่อรักษ์เห็นเข้าไปปล่อยหมัดลุ่น ๆ เข้าไปที่โหนกแก้มของพ่อรักษ์ทันที
พ่อรักษ์ล้มลงเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว มือหนาจับไปที่ใบหน้าตัวเองเพราะความเจ็บ แต่ก็พยายามยันตนเองให้ลุกขึ้นยืน แต่ก็เพราะความเมาทำให้พ่อรักษ์ไม่สามารถมีสติพอที่จะรับมือกับกลุ่มของไอ้เชิดได้
“ นี่สำหรับเวลาของอีจำเรียนที่มึงแย่งมันไปจากกู ”
“ มึงไม่มีปัญญาเองมากกว่า หากมึงมีอัฐมากพอมึงก็ซื้อเวลาของจำเรียนมันได้ ”
“ ไอ้รักษ์ ”
ไอ้เชิดพูดจบก็ประเคนทั้งหมัดทั้งตีน พ่อรักษ์ได้แต่นอนงอตัวอยู่บนพื้นท่ามกลางฝนตกกระหน่ำ
“ นั่นพวกมึงทำกระไรกัน เจ้าข้าเอ๊ย ช่วยด้วยเจ้าค่า ”
เสียงชาวบ้านที่บังเอิญผ่านมาเห็น ทำให้พวกของไอ้เชิดตกใจและวิ่งหนีไปด้วยความเสียดายที่ยังจัดการกับพ่อรักษ์ได้ไม่มากพอเท่าที่มันต้องการ ชาวบ้านที่ผ่านมาเข้ามาดูพ่อรักษ์ที่นอนอยู่กลางสายฝน
“ ตายแล้ว นี่มันคุณรักษ์นี่ พวกเอ็งมาช่วยข้ามาพาคุณรักษ์ไปโรงหมอหน่อยเร็ว ”