ตุลธรกลับมาถึงห้องก็รีบทำธุระส่วนตัวจากนั้นก็นั่งอ่านหนังสือเหมือนกับกับทุกคืน แต่อ่านยังไงก็ไม่รู้เรื่องเพราะตอนนี้เขาคิดถึงแต่ใบหน้าเคร่งเครียดของปณิชา เขาอยากรู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงเป็นแบบนั้น ชายหนุ่มไม่อยากจะเก็บความสงสัยไว้นาน เขาเลยตัดสินใจไลน์ไปหาเธออีกครั้งเผื่อเธอจะใจอ่อนและยอมเล่าเรื่องที่ติดอยู่ในใจให้เขาฟัง
“เหมยนอนหรือยัง”
“ยังค่ะ” หญิงสาวตอบทันทีที่เขาส่งข้อความไป
“ทำอะไรอยู่”
“นั่งหายใจทิ้งค่ะ” ปณิชาตอบตามความจริงเพราะหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วเธอก็นั่งนิ่งอยู่บนโซฟารับแขก
“ผมว่าอาการคุณไม่ค่อยดีนะให้ผมไปอยู่เป็นเพื่อนไหม”
“เหมยไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”
“ผมรู้ว่าคุณมีเรื่องไม่สบายใจนะ คุณไม่ต้องเล่าให้ผมฟังก็ได้ ผมแค่อยากนั่งเป็นเพื่อนเท่านั้นเอง”
“แต่นี่มันดึกแล้วหมอไม่รีบนอนเหรอคะ”
“ปกติผมก็นอนเกือบจะเที่ยงคืนนี่มันเพิ่งจะสี่ทุ่มตกลงให้ผมไปอยู่เป็นเพื่อนนะ”
“ได้ค่ะ”
เพราะอยู่คอนโดเดียวกันตุลธรเลยไม่ต้องเปลี่ยนชุดให้ยุ่งยากเขาเลยเดินลงไปกดออดที่หน้าห้องนอนของปณิชาทั้งที่ยังใส่ชุดนอนอยู่ รอไม่นานเจ้าของห้องก็เดินมาเปิดด้วยชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นซึ่งเขาพอจะเดาออกว่านั่นก็คือชุดนอนของเธอเช่นกัน
“เชิญค่ะ หมอจะดื่มอะไรไหมในห้องเหมยมีเบียร์นะคะ”
“ปกติคุณดื่มเบียร์ด้วยเหรอ”
“เปล่าหรอกค่ะ เหมยซื้อมาหมักผมแต่ไหนๆ คืนนี้ก็นอนไม่หลับแล้วกินสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร หมอเอาด้วยไหมคะ พรุ่งนี้หมอมีตรวจตรวจคนไข้แต่เช้าหรือเปล่า”
“พรุ่งนี้ผมมีตรวจเช้าแต่กินแค่กระป๋องเดียวคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
“งั้นหมอนั่งรอหน้าทีวีเลยค่ะเดี๋ยวเหมยเอา”
ปณิชาเดินมาหยิบเบียร์ในตู้ที่มีทั้งหมดสี่กระป๋องส่งให้คุณหมอหนุ่มหนึ่งกระป๋องและของตัวเองอีกหนึ่งกระป๋องทั้งสองคนนั่งกันเงียบๆ ก่อนที่เจ้าของห้องจะหันมาถามเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก
“หมอจะดูทีวีไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“งั้นเหมยเปิดเพลงได้ไหม”
“ได้สิ”
“ปกติหมอชอบฟังเพลงแบบไหนคะ”
“ผมชอบฟังเพลงสากลนะแล้วเหมยล่ะครับ”
“เหมยก็ชอบฟังเพลงสากลค่ะ แต่ไม่ใช่เพราะว่าเหมยเก่งภาษาอังกฤษหรอกนะคะ”
“แล้วเพราะอะไรล่ะครับ” เมื่อเห็นท่าทางของหญิงสาวผ่อนคลายตุลธรก็ชวนเธอคุยมากขึ้น
“เพราะเหมยไม่ค่อยเข้าใจความหมายมันค่ะ ก็เลยทำให้ฟังซ้ำได้หลายๆ รอบ”
“แต่งานที่คุณทำอยู่มันก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษนะครับ”
“มันไม่เหมือนกันหรอกค่ะ ภาษาที่ใช้กับคนไข้มันก็เป็นภาษาพื้นๆ ส่วนภาษาที่อยู่ในเพลงบางครั้งมันก็ยากที่เราจะเข้าใจความหมายแต่พอฟังไปก็รู้สึกเพลินค่ะ” ปณิชาพูดจบก็หยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมาแล้วเปิดเพลงที่ตนเองฟังประจำเบาๆ พอให้ทั้งห้องไม่เงียบจนเกินไป
“หมอคะ”
“ว่าไงครับ”
“หมอว่าเหมยเป็นยังไงบ้าง”
“เป็นยังไงบ้างในที่นี้หมายถึงอะไร”
“ก็หมายถึงรวมๆ ค่ะหน้าตานิสัย”
“คุณเป็นคนที่สวยนะ นิสัยก็ดีน่ารักอีกอย่างคุณเป็นคนร่าเริงเข้ากับเด็กได้ดีเลยทีเดียว”
“แต่เหมยไม่มีเสน่ห์มัดใจผู้ชายเลยใช่ไหมคะ”
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ มีอะไรหรือเปล่า”
“เหมยก็แค่สงสัยค่ะว่าเพราะอะไรคนคนหนึ่งถึงได้หายไปจากชีวิตเราโดยไม่มีเหตุผล ทำเหมือนเราเป็นธาตุอากาศ”
“นี่คือเหตุผลที่คุณซึมเย็นนี้ใช่ไหมล่ะ เล่าให้ผมฟังสิ”
“หมอตอบคำถามเหมยมาก่อนว่าในสายตาของผู้ชายเหมือนสวยใช่ไหม”
“สวยสิคุณเป็นคนสวยมากโดยเฉพาะเวลายิ้มมันดูมีเสน่ห์คุณดูสดใสนะ”
“ถ้าเหมยมีสวยเสน่ห์แล้วทำไมเขาถึงเลือกที่จะมองข้ามเหมยไปล่ะคะ”
“เขาคงเป็นผู้ชายที่โง่มาก”
“หมอคิดแบบนั้นเหรอคะ”
“ไม่รู้สิเท่าที่ผมรู้จักคุณมาหลายเดือนคุณเป็นผู้หญิงที่น่ารักและมีเสน่ห์ถ้าเกิดผมเป็นแฟนคุณก็ไม่มีทางที่จะทิ้งคุณไปหรอก”
“แล้วถ้าเกิดสมมุติว่าหมอและเหมยเป็นแฟนกันหมอจะทิ้งเหมยไหมคะ”
“มันตอบไม่ได้นะว่าจะทิ้งไหม มันต้องดูด้วยว่าก่อนหน้านั้นเราทะเลาะกันหรือผิดใจกันเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เลยค่ะ เราไม่เคยทะเลาะไม่เคยผิดใจกันเหมยตามใจเขาทุกอย่าง เขาก็ตามใจเหมยทุกอย่าง”
“ถ้าเป็นแบบที่คุณพูดมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะทิ้งคุณหรือเขามีคนอื่น”
“แล้วถ้าเป็นหมอตุลย์ หมอจะมีคนอื่นไหมคะ”
“ถ้าผมมีแฟนแล้วแฟนผมน่ารักนิสัยดีเข้ากับผมได้ทุกอย่างมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะไปมีคนอื่นนะ”
“นั่นสิคะเหมยไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมผู้ชายถึงเข้าใจยากนักนะ”
“ผู้ชายมันไม่ได้เข้าใจยากทุกคนหรอกนะเหมย มันอยู่ที่ว่าเขาอยากให้เราเข้าใจเขาหรือเปล่า ไหนๆ คุณก็เราพูดมาถึงขนาดนี้แล้วลองเล่ามาซิว่าเขาเป็นใคร”
“หมอสัญญาได้ไหมก่อนได้ไหมคะ ถ้าเหมยเล่าให้ฟังแล้วหมอจะไม่หัวเราะเยาะเหมยและจะไม่มองเหมยเป็นผู้หญิงไร้ค่า”
“เหมยอย่าดูถูกตัวเองแบบนั้นสิ ที่ผมอยากเล่าให้เหมยฟังก็เพราะอยากให้เหมยได้ระบายมันออกมาแล้ว มันจะรู้สึกดีขึ้น”
ปณิชามองหน้าเขาอย่างลังเลแต่ถ้าไม่ได้ระบายความรู้สึกออกมาให้ใครสักคนฟังคืนนี้เธอคงได้อกแตกตายแน่ๆ ถึงแม้เขาจะมีอาชีพเดียวกับคนต้นเหตุที่แต่มันก็ยังดีกว่าอึดอัดอยู่คนเดียว
“เรื่องมันเกิดนานแล้วค่ะ ตอนนั้นเหมยเพิ่งเรียนจบแล้วเหมยก็เจอกับเขา เขาชื่อหมอเอกวิทย์ค่ะ”
“เอกวิทย์รุ่นน้องของผมด้วยเหรอ”
“ค่ะ รุ่นน้องของหมอนั่นแหละค่ะ”
จากนั้นปณิชาก็เล่าเรื่องระหว่างเธอกับเอกวิทย์ให้กับหมอตุลธรฟังอย่างละเอียดเหมือนกับที่เล่าให้พาขวัญและอารดาฟังเมื่อวันก่อน
ตุลธรนั่งฟังและพยายามใช้ความคิดตามไปด้วยเขานึกไม่ออกเลยว่าเพราะเหตุผลอะไรเอกวิทย์ถึงทิ้งผู้หญิงที่น่ารักและจิตใจดีอย่างปณิชาไปได้ เพราะถ้าเป็นเขา เขาจะไม่มีทางทิ้งผู้หญิงคนนี้เป็นอันขาด
พอฟังจบเพราะเราจบปณิชาก็หัวเราะ เมื่อได้ระบายความรู้สึกออกมาจนก็รู้สึกโล่งมาก
“ผมว่ามันไม่เมคเซ็นส์เลยนะ คุณได้ถามเขาไหมว่าเพราะอะไร ผมว่ามันต้องมีเหตุผลสิ”
“ก็อย่างที่เล่าค่ะ เหมยถามจนอายตัวเองแล้วแต่เขาก็ไม่เคยตอบ แล้วหมอเห็นไหมล่ะวันนี้ที่เขาเจอกับเหมย เขาทักทายเหมยเหมือนว่าระหว่างเหมยกับเขาไม่เคยเกิดอะไรขึ้น”
“คุณยังรักเขาอยู่ไหม” ที่ถามเพราะถ้าปณิชายังรักเอกวิทย์เขาก็จะถอยออกมาจากชีวิตเธอ ถึงแม้จะรู้สึกชอบปณิชามากแค่ไหนแต่เขาก็ไม่อยากเป็นตัวแทนของใคร
“ไม่เลยค่ะ บางทีเหมยอาจจะไม่เคยรักเขาก็ได้นะคะ มันอาจจะเป็นแค่ความหลงอย่างที่เพื่อนเหมยบอก”
“แต่เหมยดูเหมือนมีอะไรในใจ”
“ค่ะ ในหัวเหมยมีแต่ความสงสัยและอยากรู้ว่ามันเพราะอะไรเขาถึงเป็นแบบนั้น”
“เพราะอะไรถึงอยากรู้ละครับ”
“เหมยอยากปลดล็อกความรู้สึกของตนเองค่ะ ถ้ามันยังคาใจอยู่แบบนี้เหมยก็คงไม่กล้าคบกับใครอีก”
“หลังจากเลิกกับเขาคุณมีแฟนอีกไหม”
“ไม่มีค่ะ”
“หมายความว่าถ้าคุณไม่รู้สาเหตุคุณก็จะอยู่เป็นโสดแบบนี้ไปตลอดเหรอครับ ผมว่ามันไม่ยุติธรรมเลยนะ เขาไปแต่งงานมีครอบครัวแต่เหมยยังจมอยู่กับความคิดว่าตัวเองไม่ดีแบบนี้”
“เหมยไม่ได้คิดจะเป็นโสดไปตลอดหรอกค่ะ เหมยแค่รอเวลาและรอใครสักคนที่คิดว่ารักเหมยจริงและจะไม่ทิ้งเหมยไปอีก”
“ผู้ชายแบบไหนที่เหมยชอบล่ะ”
“เหมยชอบคนใจเย็นและเอาใจเก่งค่ะ นิสัยก็ต้องดี ไม่รำคาญเวลาที่เหมยอยู่ใกล้ เหมยติดสกินชิพค่ะ ที่สำคัญต้องหล่อด้วยค่ะ หมอตุลย์ว่ามันมากไปไหม”
“ไม่หรอกครับ แต่ผมได้ยินมาว่าเหมยไม่ชอบอาชีพหมอ”
“ก็ประมาณนั้นค่ะ เหมยไม่อยากเสียใจเหมือนเดิม”
“หมอไม่ได้เป็นแบบนั้นทุกคนนี่ครับ” ตุลธรคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่เธอจะมองหมอในแง่ลบเพียงเพราะผิดหวังจากหมอแค่คนเดียว