เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นนอกห้องหนังสือในยามสาย ขณะซูหรงยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงโต๊ะ กลิ่นหมึกจาง ๆ จากพู่กันยังคงอวลอยู่ในอากาศ แต่ก็ต้องจางลงไปเมื่อบานประตูไม้เลื่อนออกอย่างนุ่มนวล จากนั้นชายหนุ่มผู้สวมชุดผ้าฝ้ายเรียบสีเทาเดินเข้ามาอย่างเงียบงัน
“เจ้าคงกำลังครุ่นคิดอยู่ล่ะสิ”
เสียงทุ้มนุ่มของอวี้ไป๋เฉินที่เปิดประตูเข้ามาเอ่ยขึ้น ทำให้ซูหรงเงยหน้าขึ้นจากสมุดตรงหน้า
“ใช่ ข้ากำลังครุ่นคิดตรึกตรองอะไรหลายอย่าง” นางตอบเบา ๆ “โดยเฉพาะเรื่องที่ข้าคิดว่าข้าเข้าใจมันดีแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า... ไม่ใช่เลย”
อวี้ไป๋เฉินยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้ซักถามอะไรเพิ่มเติม เขาก้าวเข้ามานั่งฝั่งตรงข้าม หยิบถ้วยชาเปล่ามารินน้ำร้อนอย่างคุ้นเคย
“ส่วนข้าก็มีเรื่องหนึ่งที่คิดอยู่ ตอนนี้ข้าว่าเฉินอี้เก่งขึ้นมาก ในด้านการต่อสู้ เขาเอาชนะคนจากสำนักคุ้มภัยที่เป็นระดับหัวหน้าหน่วยได้ ฝีมือไม่ธรรมดาเลย ต่อไปคงฝากร้านได้ถ้ามีใครจะมาก่อเรื่อง” เขาเอ่ยขณะมองน้ำชาอู่หลงที่หมุนวนในถ้วย
ซูหรงได้ฟังก็เงียบไปอึดใจ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าบ่าวหนุ่มผู้นั้น จะสามารถใช้ท่วงท่าระดับนั้นในการต่อสู้ได้อย่างไร ทั้