เมื่อศิษย์เอกของเซียนหญิงผู้ยิ่งใหญ่ เลือกทิ้งวิถีเซียนไปแต่งงานกับบุคคลผู้ไม่น่าไว้วางใจ เซียนหญิงจึงมิอาจนิ่งเฉย ต้องติดตามไปดูแลชีวิตของศิษย์ตัวดี แต่ดันต้องมาติดอยู่ในร่างสาวใช้ธรรมดา ๆ กลับร่างไม่ได้เสียอย่างนั้น แล้วนางจะทำอย่างไรต่อกับชีวิตกันล่ะ?!
view moreยอดเขาหลิงอวิ๋นยามย่ำรุ่งยังคงแวดล้อมด้วยม่านหมอกสีขาวนวลราวสายไหม สายลมบางเบาพัดพาใบสนให้สั่นไหวเบา ๆ คล้ายเสียงกระซิบของภูตพรายในแดนสวรรค์ ดอกเหมยที่เบ่งบานอยู่ตามซอกผาหินส่งกลิ่นหอมเย็นจาง ๆ เคล้ากับกลิ่นไอของเหมันต์ที่ยังไม่เลือนจากยอดเขาสูงเสียดฟ้าแห่งนี้
ท่ามกลางธรรมชาติอันสงบนิ่ง มีตำหนักไม้หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมหน้าผา บนระเบียงตำหนักนั้น หญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่อย่างสงบนิ่งพิงเสาไม้หอม นางคือ "ลั่วชิง" เซียนหญิงผู้เร้นกายจากโลกมนุษย์มาเนิ่นนาน ชุดยาวสีขาวดุจหิมะสะอาดตา ผ้าคลุมโปร่งบางแนบแน่นกับลำตัวเพราะลมจากหน้าผา แววตานิ่งลึกคล้ายผืนน้ำสงบใต้เงาจันทร์ จ้องมองไปยังเส้นขอบฟ้าที่เริ่มแต้มแสงทองของอรุณรุ่ง ผมของนางดำขลับยาวสลวยเลยสะโพก ขึ้นมวยบางเบาด้วยปิ่นหยกเงาวับ ใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวละเอียดราวหิมะบนยอดเขา คิ้วเรียวยาวพาดเฉียงเหนือดวงตากลมโตสีดำสนิท ดวงตานั้นแม้จะดูสงบเยือกเย็น หากแต่ลึกลงไปกลับซ่อนร่องรอยของความโศกเศร้าและความผูกพันบางประการ ปลายจมูกเล็กโด่งอย่างเหมาะเจาะ ริมฝีปากบางสีจางคล้ายกลีบเหมยยามหนาวจัด ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นความงามที่ไม่เย้ายวนหากแต่น่าเกรงขาม
ในห้วงเวลากว่าสองพันปีที่ผ่านมา ลั่วชิงใช้ชีวิตอยู่บนยอดเขาหลิงอวิ๋น ฝึกบำเพ็ญเพียรตามวิถีเซียน ถูกขนานนามว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา และใจ ทว่าแม้นางจะเปลีกวิเวก ไม่แสวงหาเกียรติยศหรือลาภยศ ก็ยังมีลูกศิษย์ที่ได้มาร่ำเรียนธรรมะและวิชาเซียนจากนางอยู่ไม่น้อย หลายคนดั้นดันฟันฝ่าอุปสรรคและบททดสอบนานาเพื่อขึ้นมาบนเขา ให้ได้รับการยอมรับเป็นศิษย์จากนาง หลายคนถูกช่วยเอาไว้จากความตาย แล้วนางได้รับเลี้ยงเอาไว้เสมือนบุตร
หนึ่งในนั้นคือเด็กสาวนามว่า "ซูหรง"
ซูหรงปรากฏตัวเมื่อสิบห้าปีก่อน ในวันที่หิมะตกหนาทึบ นางยังเป็นเพียงเด็กหญิงวัยไม่ถึงสามขวบ ถูกทิ้งไว้ที่ตีนเขาพร้อมผ้าห่มเก่า ๆ และโอสถแปลกประหลาดที่ใช้รักษาโรคต้องห้าม เหล่าศิษย์ของลั่วชิงเห็นเข้าจึงมารายงาน และด้วยความเมตตา เซียนหญิงจึงตัดสินใจเก็บนางมาเลี้ยงไว้เอง และตั้งชื่อให้นาง
ซูหรงเติบโตมาใต้ชายคาแห่งตำหนักเซียน ในความสงบของยอดเขา นางมีรูปลักษณ์งดงามเกินเด็กทั่วไป ผิวขาวอมชมพู ใบหน้ารูปไข่ ดวงตาโตกลมโตเป็นประกาย คิ้วโค้งราวจันทร์เสี้ยว จมูกเล็ก ริมฝีปากสีชมพูดูสดใสราวดอกท้อ ผมยาวสีดำธรรมชาติ มีสีเหลือบแดงเล็กน้อยเมื่อโดนแดด นางมีน้ำเสียงใสและหัวเราะง่าย แม้ในวัยเด็กก็แสดงออกถึงอุปนิสัยเปี่ยมด้วยอารมณ์ ซุกซน หากแต่จิตใจดีและซื่อตรง
ตลอดเวลาที่อยู่บนเขา ซูหรงเรียกลั่วชิงว่า "อาจารย์แม่" และยึดถือเสมือนมารดา นางเรียนรู้วิชากระบี่ วิชาการฝึกพลังภายใน และวิถีธรรมเบื้องต้นได้เร็วกว่าผู้อื่นมาก และยิ่งเติบโต ยิ่งงามสง่า กลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่เก่งกล้าสามารถกว่าศิษย์อื่นที่ใช้เวลาศึกษาเท่า ๆ กัน ซึ่งยังอยู่ในขั้นผู้ฝึกปราณพื้นฐานเท่านั้น
กระนั้นสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน คือดวงใจที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ อยากเห็นในโลกเบื้องล่าง ซึ่งเป็นสถานที่ที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน นอกจากฟังเรื่องเล่าจากเหล่าศิษย์พี่และอาจารย์
เมื่ออายุครบสิบแปด ซูหรงจึงขออนุญาตลงเขาเพื่อแจกโอสถช่วยชาวบ้าน ลั่วชิงรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้าง แต่นางก็มิได้ขัดขวาง หากแต่มอบโอสถหลายขนานให้ และสั่งสอนเอาไว้ว่า
“ระดับของเจ้าในตอนนี้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนก็จริง แต่พรสวรรค์ของเจ้านั้น อนาคตอาจพัฒนาเข้าสู่กระแสธรรมชาติเป็นชั้นเซียนเบิกนภา ควบคุมห้าธาตุและก้าวเหนือชะตากรรมจนเป็นเซียนเชื่อมจิตดารา และอาจขึ้นมาเป็นเซียนเหนือเมฆาเช่นข้าได้ หรืออาจก้าวข้ามข้าจนกลายเป็นเซียนแดนสวรรค์ก็ได้”
"แต่โลกเบื้องล่างมีทั้งแสงและเงา อาจทำให้ใจเจ้าสั่นไหว หากเป็นเช่นนั้น กิเลสในใจเจ้าจะเป็นดังเปลวไฟที่แผดเผาตนเอง และอาจจะทำให้พลังปราณ และจิตใจของเจ้าไม่อาจพัฒนาได้ถึงขั้นนั้น"
ซูหรงหัวเราะคิกคัก แม้นไม่กล้าจะลบล้างคำพูดอาจารย์ แต่ก็เพียงกล่าวยอกย้อนว่า
"อาจารย์ไม่ได้มีกิเลสเท่าผู้คนทั่วไป อาจารย์รู้ได้อย่างไรว่าไฟมันเผาหรืออบอุ่น?"
ลั่วชิงได้ยินคำกล่าวของศิษย์ที่เลี้ยงมาแต่น้อย ก็นิ่งเงียบ ไม่กล่าวตอบใด ๆ นางเพียงยืนมองร่างของศิษย์สาวเดินห่างออกไปทางทางแคบริมหน้าผา แผ่นหลังเล็ก ๆ ในชุดคลุมสีชมพูอ่อน ค่อย ๆ จมหายไปในม่านหมอกหนา
.
ในเมืองเล็กตีนเขา โรงเตี๊ยม "ไป๋อวิ๋น" เป็นสถานที่เงียบสงบ รายล้อมด้วยกลิ่นหอมของชาจีนและกลิ่นซุปที่ต้มจากเครื่องยาจีนอ่อน ๆ ท่ามกลางเสียงคนและรถม้า มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินตรวจความเรียบร้อยอยู่เสมอ เขาคือ "อวี้ไป๋เฉิน"
อวี้ไป๋เฉินเป็นชายหนุ่มราวยี่สิบห้า ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาเรียวยาวแต่ซ่อนแววอ่อนโยน จมูกโด่ง ริมฝีปากบางเป็นเส้นตรงคล้ายคนไม่ยิ้มง่าย ทว่าหากยิ้มขึ้นมา จะเปล่งประกายจนหญิงสาวต้องเบือนหน้าหนีด้วยความเขินอาย ผิวคล้ำแดดเล็กน้อยเพราะทำงานกลางแจ้ง แต่สะอาดสะอ้าน ท่วงท่าทุกก้าวเดินราวนักกระบี่ผู้มีชั้นเชิง
เมื่อซูหรงลงเขา นางแวะพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ และเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับอวี้ไป๋เฉิน เขาเป็นผู้ให้ที่พัก ให้น้ำชา และไม่ถามที่มา นั่นทำให้นางรู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด
มันเริ่มจากตรงนั้น
ซูหรงเริ่มแวะที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้บ่อยขึ้น แม้จะอ้างว่าเพราะอยู่ใกล้กับหมู่บ้านที่นางต้องไปแจกโอสถ ทว่าเมื่อสายตาของอวี้ไป๋เฉินทอดมองมายังนาง และนางเผลอยิ้มตอบโดยไม่รู้ตัว ลั่วชิงที่เฝ้าดูเหตุการณ์จากกระจกวารีในตำหนักก็รู้ในทันที
ความรัก...ได้บังเกิดขึ้นในหัวใจของศิษย์นางเข้าแล้ว
แม้นางจะรู้ แต่ลั่วชิงก็มิได้ขัดขวาง นางใช้เวลาไปกับการฝึกสมาธิให้ลึกกว่าเดิม และปล่อยให้เรื่องราวดำเนินต่อไปตามครรลองของมัน ซูหรงก็มักลงไปเยี่ยมเยียนโลกเบื้องล่าง อ้างว่าไปใช้วิชาเซียนช่วยเหลือผู้คนตกทุกข์ได้ยากบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ แต่นั่นเป็นข้ออ้างที่จะได้พบชายหนุ่มที่นางพึงใจเท่านั้น ทั้งคู่พัฒนาสายสัมพันธ์มากขึ้นเรื่อย ๆ จนยากที่จะทำลาย เหนี่ยวรั้งเซียนฝึกหัดอย่างซูหรงให้ถูกดึงเข้าสู่ทางโลกอย่างมิอาจจะถอนตัว
จนกระทั่งวันหนึ่ง ซูหรงกลับมาบนยอดเขาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เพื่อฝึกวิชา ไม่ใช่เพื่อมาขอโอสถ หากแต่เพื่อกล่าวคำลาสุดท้าย
"อาจารย์... ข้าจะไปใช้ชีวิตกับเขา ไป๋เฉินขอข้าแต่งงานแล้ว"
ลั่วชิงนิ่งเงียบ นางรู้ดีว่าสักวันเรื่องนี้จะต้องมาถึง นางมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ เพียงพยักหน้าช้า ๆ แล้วกล่าว
"จงตั้งสติ ใช้ปัญญาพิจารณาถึงผลดีร้ายที่จะตามมา อย่าให้ตาเจ้าบอดด้วยความรัก อย่าให้เปลวไฟแห่งอารมณ์แผดเผาอนาคตของเจ้า เจ้ายังอาจบรรลุในวิถีที่สูงส่งกว่านี้มากนัก"
“หากอนาคตของข้าถูกแผดเผาด้วยรัก ข้าก็ยินดี ข้ายอมอยู่ที่ระดับนี้โดยมีคนรักเคียงกาย ดีกว่าขึ้นไประดับสูงส่งโดยไร้ความรักเช่นท่าน อาจารย์โปรดอย่าห้ามข้าเลย”
ซูหรงน้ำตาคลอ แต่ยังยิ้ม นางก้มลงกราบงาม ๆ สามครั้ง ก่อนจะเดินจากไปอีกครั้ง ลงจากเขา และครั้งนี้ ลั่วชิงรู้ว่าอาจเป็นการลาจากตำหนักเซียนที่ไม่อาจจะหวนคืนกลับมาได้ของนาง
เซียนหญิงยืนนิ่งอยู่หน้าตำหนัก ปล่อยให้ลมหนาวพัดกลีบดอกเหมยกระทบผ้าแพรบางเบาของนางอีกครั้งหนึ่ง นางรำพึงกับตัวเองเมื่อศิษย์สาวเดินลงเขาไปจนลับตา
“เด็กน้อยเอ๋ย ความรักไม่ได้มีเพียงเท่าที่เจ้าเข้าใจเสียหน่อย ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้ารู้ว่าเจ้าหาได้คิดถูกไม่”
คืนหลังจากที่ซูหรงเเละสามีปรับความเข้าใจกันได้ เสียงหรีดหริ่งเรไรยามราตรีขับขาน ลมเย็นในยามค่ำคืนพัดผ่านม่านโปร่งของห้องพักชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น พัดพากลิ่นหอมอ่อน ๆ จากโคมไฟน้ำมันซึ่งซูหรงเพิ่งจุดไว้เมื่อครู่ให้หอมอบอวลอยู่ในห้อง นางยืนอยู่ริมหน้าต่างในชุดคลุมบางเบาสีแดงเลือดนกที่แฝงประกายทองจาง ๆ เมื่อถูกแสงจันทร์สาดส่อง อวี้ไป๋เฉินมองนางจากทางประตูหลังเดินเข้ามาเงียบ ๆ ราวกับกลัวทำลายความสงบอันละเอียดอ่อนนี้ “ข้าเคยฝันถึงคืนนี้อยู่หลายครั้ง...” นางเอ่ยเสียงเบาพลางหันกลับมา แววตาอบอุ่นดั่งผู้หญิงธรรมดาที่รอผู้ชายคนหนึ่งกลับมา หลังจากเขาผ่านพ้นจากสงครามในหัวใจ อวี้ไป๋เฉินเดินเข้ามาช้า ๆ พลางยื่นมือออกไปแตะแผ่นหลังบางที่สั่นเพียงเล็กน้อยยามลมพัด “ข้าก็ฝันเช่นกัน...” เขาโน้มตัวลงกระซิบข้างหู ขณะที่สองมือโอบรอบเอวของนางแน่นขึ้น ซูหรงหลับตาแนบกับอกเขา แผ่นอกที่เคยอบอุ่น ตอนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อและกลิ่นไม้เก่า ๆ จากการทำงานในโรงเตี๊ยม หากแต่สำหรับนาง มันหอมเสียยิ่งกว่าดอกไม้ใด ๆ “ข้าเคยคิดว่าเราจะเสียความสัมพันธ์สามีภรรยาไปแล้ว...” นางเอ่ยเสียงสั่น ก้มหน้าลงหลบสายตา “เมื่
วันต่อมา หลังจากศึกเขาอู่ฮุ่ย แสงแดดยามสายส่องลอดหลังคากระเบื้องเก่า เสียงนกกระจิบร้องประสานกับกลิ่นหอมของน้ำเต้าต้มหวานจากในครัว โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นกลับมาสงบอีกครั้งแม้สถานการณ์จะวุ่นวายเพราะต้องซ่อมแซมอาคารหลายจุดหลังเหตุการณ์พรรคมารบุกโจมตี แต่ซูหรงกลับดูสดใสเป็นพิเศษ นางเดินเคียงอวี้ไป๋เฉินสามีของนาง ท่าทีดูสนิทสนมกว่าแต่ก่อนนัก เพราะหลังจากกลับมาเมื่อรู้ความจริงจากเซี่ยหง ทั้งคู่ได้นั่งคุยกันถึงเรื่องในอดีตที่เคยไม่เข้าใจกัน ด้วยความเข้าใจในที่สุดว่าสามีนางไม่ได้ตั้งใจทรยศ ไม่ได้หลอกลวงนางเพราะผลประโยชน์ใดในยุทธภพ หากแต่เป็นชายผู้พยายามละทิ้งอดีตอันโหดร้ายของพรรคมารเพื่อตั้งต้นใหม่อย่างสงบ“เจ้ารู้หรือไม่...” ซูหรงเอ่ยเสียงเบา “ข้าเคยโกรธเจ้ายิ่งนัก ที่เจ้าปิดบังเรื่องพรรคมาร... แต่ตอนนี้ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าทำเพื่อจะตัดขาดจากอดีตนั้นอย่างแท้จริง”อวี้ไป๋เฉินไม่ตอบ แต่เพียงยิ้มเศร้า ๆ ขณะที่นางกุมมือเขาแน่นขึ้น“เรากลับมาเป็นครอบครัวอย่างแท้จริงเถิด... ไม่ใช่แค่สามีภรรยาในนาม แต่เป็นสองคนที่เข้าใจกัน&rdqu
หลังการเจรจากับเฉินอี้เหมือนจะจบลง ลั่วชิงก็มิได้กล่าวคำใดต่ออีก นางเพียงมองเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความเข้าใจ แล้วหมุนกายหันไปหาซูหรงที่ยืนอยู่ห่างออกไป“ซูหรง” เสียงของนางเรียบนิ่งแต่เปี่ยมด้วยพลัง “พาเขากลับไปที่โรงเตี๊ยม… ดูแลเขาให้ดี”ปลายนิ้วเรียวของลั่วชิงแตะที่อากาศเบื้องหน้า วงแหวนอักขระยันต์เรืองแสงสีเงินค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนพื้น ขนาดใหญ่พอจะให้คนยืนได้สองคน ก่อนที่นางจะเอ่ยถ้อยคำอำลา“เคลื่อนย้ายแสนลี้สำหรับกลับโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น พาเขากลับไป แล้วใช้ชีวิตต่อไปให้ดีล่ะ พวกเจ้าเติบโตขึ้นมามากแล้ว คงใช้ชีวิตกันต่อไปได้แม้จะไม่มีข้า แต่ก็อย่าได้หลงลืมตัวข้าหรือสิ่งที่ข้าได้สอนพวกเจ้าล่ะ”“เจ้าค่ะ... ถึงข้าจะอยากให้ข้ากับท่านอาจารย์อยู่ด้วยกันต่อไป ทว่าข้าเองก็ได้เลือกว่าจะกลับไปอยู่ในโลกมนุษย์ จัดการความเข้าใจผิดที่มีกับสามี กับถ่ายทอดความรู้หลายอย่างแก่ผู้คนเบื้องล่าง ป้องกันไม่ให้คนหลงใหลในวิถึมารอีก... อย่างนั้นน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ... ลาก่อนนะเจ้าคะ” ซูหรงค้อมศีรษะ ก่อนจะเดินนำบ่าวหนุ
ลั่วชิงไม่ได้ตอบอะไรบ่าวหนุ่ม นางยังคงยืนนิ่ง ขณะที่พวกเซียนพากันไปรับตัวอู๋เป่ยและจ้าวหยางที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากพวกเซี่ยหงถูกจับกุมและตราประทับมารถูกยึดคืนไปเรียบร้อยแล้ว ร่างของทั้งสองเต็มไปด้วยบาดแผลจนแทบไม่อาจขยับตัว พวกศิษย์เซียนพาพวกเขานอนลงบนแคร่หามวิเศษที่ลอยกลางอากาศเองได้แม้ไม่มีคนยก แล้วลอยมาถึงลั่วชิงและอีกสองผู้นำเซียน“ท่านทั้งสองคนนี้ คือผู้บาดเจ็บจากการป้องกันประตูเงามารไว้ก่อนพวกเราจะมาถึง เป็นผู้กล้าหาญและมีคุณธรรมยิ่ง” ลั่วชิงละสายตาจากเฉินอี้ ไปกล่าวต่อหน้าผู้นำเซียนทั้งสองที่มาด้วยกัน “ข้าคิดว่าพวกเขาควรได้อะไรตอบแทนความกล้าหาญนี้”ผู้นำเซียนเครายาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย อีกผู้หนึ่งคือเซียนอ้วนพุงพลุ้ยหัวเราะเสียงดัง พร้อมหยิบเครื่องรางสองชิ้นออกมา แล้วกล่าวขึ้น“ของวิเศษพวกนี้ ข้าคงมอบให้พวกเขาตอบแทนในความกล้าหาญ แต่ตอนนี้พาพวกเขาไปที่เขาหลิงอวิ๋นเถอะ พวกข้าจะรักษาพวกเขาเอง”ลั่วชิงใช้ยกมือขึ้นแหวกม่านอากาศเปิดทางให้กองทัพเซียนมุ่งหน้าออกจากช่องเขาอู่ฮุ่ยอีกครั้ง ทุกสายตากำลังจับจ้องมายังร่างของนางไม่เพียงด้วยความ
เซี่ยหงกระอักเลือดออกมาจากปาก แต่แววตาของนางยังไม่ถอดใจ ดวงตาข้างหนึ่งหลับสนิทเพราะเลือดจากศีรษะที่มีแผล จ้องมองลั่วชิงด้วยแววแข็งกร้าว แม้จะถูกลั่วชิงโจมตีจุดลมปราณทั่วร่างจนสาหัส ทว่าพลังความแค้นของนางยังไม่มอดดับ ร่างของนางค่อย ๆ ปล่อยพลังปราณสีม่วงออกมาอย่างเชื่องช้า“เจ้า...คิดว่าข้าจะยอมพ่ายเพียงแค่นี้หรือ...” นางคำรามเบา ๆ“เจ้าโดนโจมตีจุดลมปราณไปถึงเพียงนั้น ยังฝืนใช้พลังอีกงั้นรึ? มันเจ็บปวดทรมานมากเลย อย่าฝืนดีกว่า” ลั่วชิงพยายามเตือน แต่ไม่เป็นผล ไอพลังลมปราณสีม่วงเข้มเริ่มพวยพุ่งขึ้นรอบตัวประมุขพรรคมารอีกครั้ง แม้สีหน้าจะเต็มไปด้วยคสามเจ็บปวดก็ตามในพริบตา เทวรูปมารหกกรองค์ใหม่ก็ปรากฏขึ้นคลุมร่างของนางอีกหน ขนาดใหญ่โตเท่าอาคารสี่ห้าชั้นเหมือนเดิม ท้องฟ้าและขุนเขาสะท้านด้วยไอพลังปราณที่ปั่นป่วนหนักหน่วงกว่าเดิมมาก แม้จะมีบาดแผลทั่วร่าง เซี่ยหงก็ยืนประสานมืออยู่ด้านในศีรษะของเทวรูปนั้น กัดพันด้วยความโกรธเกรี้ยว“เจ้าควรหยุดแล้ว... ก่อนที่สิ่งที่เหลืออยู่ของเจ้า จะหายไปหมด” ลั่วชิงกล่าวเบา ๆ ขณะที
เสียงก้าวย่างของเทวรูปมารหกกรที่สร้างจากพลังปราณยังดังก้องทั่วแนวเขาอู่ฮุ่ย ฝีเท้าหนักหน่วงของมันสะเทือนผืนดินทุกครั้งที่ย่างเหยียบ จนกระทั่งมันมาถึงประตูเงามารทว่าเบื้องหน้าประตูเงามารอันสูงใหญ่กลับมีหญิงสาวผู้หนึ่งยืนต้านทานอยู่ ซูหรงนั่นเองศิษย์หญิงของลั่วชิงกางสองมือขึ้นเหนือศีรษะ ร่ายยันต์พลังปราณสีเงินเป็นรูปวงกลม ก่อตัวเป็นเกราะป้องกันที่ส่องแสงระยับ แขนยักษ์ที่ถือดาบมหึมาของเทวรูปมารเริ่มฟาดลงมาราวกับสายฟ้าฟาด แต่เกราะยันต์กลับต้านรับไว้ได้ แม้จะแตกร้าวลง ซูหรงก็ร่ายอาคม ฟื้นฟูกลับขึ้นมาใหม่ภายในพริบตา“คิดจะขวางข้าเรอะ พี่สะใภ้!?”เสียงของเซี่ยหงคำรามออกมาจากในศีรษะของเทวรูป พลางควบคุมแขนยักษ์ฟาดซ้ำลงไปอีกครั้งแรงกระแทกสะเทือนสะท้าน เกราะยันต์พลังปราณสายไปในพริบตา ซูหรงย่อตัวลงน้อย ๆ พร้อมกัดฟัน ก่อนที่ปลายนิ้วจะเขียนอักขระกลางอากาศ ร่ายยันต์ใหม่ขึ้นมาอีกชุด“ตราบใดที่ข้ายังยืนอยู่ เจ้าจะไม่มีวันผ่านประตูนี้ไปได้!” ซูหรงตะโกนอย่างเด็ดเดี่ยว ทว่าเซี่ยหงกลับหัวเราะเยาะ“เดี๋ยวก็ได้ล้มแล้ว! เจ้าคนอ่อนแอ... สายข่
Mga Comments