ตลอด 1 อาทิตย์ที่เข้ามาทำงาน พุดวิ่งไปวิ่งมาไม่หยุดทั้งวัน เพราะถูกรับน้องด้วยการใช้ให้ทำงานยิบย่อยตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบแต่เขาก็ไม่บ่นเลยสักคำ หนำซ้ำยังตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายมาอย่างเต็มที่
ใกล้เวลาเลิกงาน...
“พุดจ๋า...ช่วยพี่หน่อยสิ”
“ครับพี่แพรว”
“พี่เหลืองานเอกสารอีกนิดหน่อย พุดช่วยตรวจแทนพี่หน่อยได้มั้ย พี่ต้องรีบไปรับลูกน่ะ”
“อ๋อ...ได้สิครับ” พุดไม่ปฏิเสธอีกเช่นเคย คนใจดีแบบเขาถ้าช่วยอะไรใครได้เขาไม่เคยปฏิเสธอยู่แล้ว
เวลาผ่านไปจนถึง 1 ทุ่มกว่า...
“เฮ้ออออ เสร็จสักที! กลับบ้านได้!!!”
“อ้าวน้องพุด งานเพิ่งเสร็จเหรอ?”
บดินทร์สังเกตพุดแบบห่าง ๆ มาเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์โดยไม่แสดงความอยากได้ออกนอกหน้า อย่างมากก็เล่นบทเจ้านายใจดีคอยให้คำปรึกษา ครั้งนี้สบโอกาส จึงวางแผนที่จะเข้าใกล้เหยื่อตัวน้อยของเขาอีกขั้น
“ครับพี่ดิน”
“งั้นให้พี่ไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมเกรงใจ”
“เห... ไม่เอาน่า ห้ามปฏิเสธเจ้านาย”
“เอ่อ...ก็ได้ครับ”
พุดกล่าวตอบรับน้ำใจของเจ้านายใหม่ และคิดว่าคงไม่เป็นไร มีคนอาสาไปส่งก็ดี จะได้ไม่ต้องไปรอรถเมล์ให้เมื่อย
รถสปอร์ตคันหรูสีดำแล่นมาจอดหน้าบ้าน
“ขอบคุณมาก ๆ เลยนะครับ”
พุดกล่าวขอบคุณคนใจดีที่มาส่งและกำลังจะลงจากรถ
“พี่หิวน้ำจัง ขอเข้าไปกินน้ำสักหน่อยได้มั้ย”
บดินทร์เอ่ยขอออกมาด้วยใบหน้าที่เจือรอยยิ้ม พุดจะปฏิเสธได้อย่างไร ในเมื่อเขาคือเจ้านายและอุตส่าห์มีน้ำใจมาส่งถึงที่
ภายในบ้าน...
“น้ำครับ”
“ขอบคุณครับ เออ...น้องพุดอยู่คนเดียวเหรอครับ”
“ใช่ครับ”
“แล้ว...ไม่เหงาเหรอ ทำไมไม่อยู่กับแฟนล่ะ”
“เอ่อ...ผมไม่มีแฟนคลับ”
“เฮ้ยยย จริงดิ หน้าตาดีแบบน้องพุดเนี่ยนะไม่มีแฟน”
พุดได้แต่ยิ้มรับ รู้สึกไม่ค่อยอยากตอบคำถามเรื่องส่วนตัวเท่าไหร่ แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อบดินทร์คือเจ้านาย แม้จะรู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้าง
“อ๊ะ!”
จู่ ๆ บดินทร์ก็ขยับเข้ามาใกล้ พร้อมกับเอามือโอบเอวพุดพร้อมขยำแน่นแบบถือวิสาสะ
“พี่ดินจะทำอะไรครับ?!”
“พี่เหรอ? ไม่ได้จะทำอะไร แค่อยากสนิทกับเราให้มากขึ้นน่ะ”
“เอ่อ...ผมมีเอกสารที่ต้องรีบทำอีกเยอะเลยครับ ถ้าไง...”
“โอเค ๆ พี่ไม่กวนเราแล้ว เดี๋ยวพี่กลับเลยแล้วกัน”
บดินทร์เอ่ยขอตัวกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทำให้พุดคลายความอึดอัดลงมาก ๆ เขาเดินมาส่งบดินทร์หน้าบ้านตามมารยาท
“ขับรถดี ๆ นะครับ”
“ครับ พรุ่งนี้เจอกันนะ”
หลังจากกล่าวคำลากันเสร็จพุดก็ปิดประตูเข้าบ้านไปโดยที่บดินทร์ยังไม่ทันสตาร์ทรถเลย
“หึ...เล่นตัวแบบนี้ ของชอบเลย...”
บดินทร์ยกยิ้มมุมปากพร้อมกับสตาร์ทรถออกไป เขาเริ่มวางแผนการต่อไปในใจแบบเงียบ ๆ
ภายในบ้าน...
“เราคิดมากเกินไปหรือเปล่าวะ...”
“คนผู้นั้นไว้ใจไม่ได้!!!”
“ฮึ!!!”
พุดตกใจกับเสียงแว่วเมื่อสักครู่ หันซ้ายหันขวามองไปรอบ ๆ แต่ทุกอย่างก็นิ่งสงบ มีแค่เสียงแอร์ที่ดังหึ่ง ๆ อยู่ท่ามกลางความเงียบ
“หูฝาดอีกแล้วเหรอ?”
พุดสะบัดหัวไล่ความคิดพร้อมกับขึ้นไปอาบน้ำเตรียมเข้านอน ความจริงเรื่องเอกสารที่ต้องทำเป็นเพียงข้ออ้าง เขาทำเสร็จตั้งแต่อยู่ที่ออฟฟิศแล้ว
เสียงน้ำจากฝักบัวเปิดราดรดร่างกายเปลือยเปล่า เขาหลับตารับความอุ่นของสายน้ำ โชคดีที่บ้านหลังนี้มีเครื่องทำน้ำอุ่นพร้อมเสร็จสรรพโดยที่พุดไม่ต้องหามาติดใหม่ให้เปลืองเงิน ความเหนื่อยล้าจากการทำงาน และหลาย ๆ เรื่องที่ประดังเข้ามาในหัวทำเขาหมดพลังไปเยอะในวันนี้ การยืนแช่ในน้ำอุ่นแบบนี้ก็ช่วยผ่อนคลายไปไม่น้อย
“อบอุ่นจัง...”
พุดแปลกใจที่น้ำอุ่นนี้ไม่ได้ให้แค่ความอุ่นแก่ร่างกาย แต่กลับให้ความอบอุ่นไปถึงภายในจิตใจ แต่หากพุดรับรู้ได้สักนิด ว่าตอนนี้มีใครอีกคนกำลังยืนช้อนโอบกอดเขาอยู่จากทางด้านหลังก็คงจะไม่แปลกใจ
“เหนื่อยมากไหม...”
ร่างสูงใหญ่ยืนโอบกอดร่างกายเปลือยเปล่าของพุดพร้อมกับหอมแก้มเพื่อปลอบประโลมโดยที่พุดไม่รับรู้เลย
“คนผู้นั้นไว้ใจไม่ได้ พี่จะเตือนเจ้าอย่างไรดี หากเผยตัวบอกเจ้า จะกลัวพี่หรือไม่?”
เขาตนนั้นนึกคิดด้วยใบหน้าเศร้าหมองและเป็นกังวล
นาฬิกาบอกเวลา 4 ทุ่ม...
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าพุดกำลังนอนหลับสนิท ร่างสูงใหญ่เดินทะลุจากผนังห้องมาหยุดยืนอยู่ตรงข้างเตียงนอน มือหนาค่อย ๆ เอื้อมไปสัมผัสเบา ๆ ที่หน้าผากของคนที่นอนหลับใหลไม่รู้สึกตัว
ในห้วงฝันของพุด เขากำลังยืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ ไม่สิ...ต้องเรียกว่าราชวังแล้วล่ะ เพราะมันใหญ่โตมาก มันไม่ใช่บ้านเช่าที่เขาฝันถึงเมื่อคืนวาน
“ฝันอีกแล้วเหรอเนี่ย...สถานที่เดิมเลย”
พุดมองซ้ายมองขวา แล้วปะทะเข้ากับชายหนุ่มร่างสูง จึงทำให้ได้รู้ว่าครั้งนี้เขาไม่ได้มาคนเดียว
“เฮ้ย!!! คุณ!!!”
“สวัสดี”
ใบหน้าคุ้นเคยเอ่ยสวัสดีพุดด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
“เฮ้ย!!! คุณเห็นผม? คุณพูดกับผม?”
พุดตกใจกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปจากเดิม เมื่อวานคนในฝันไม่มีใครมองเห็นเขาเลยสักคน แต่ฝันวันนี้กลับมีคน ๆ นี้มายืนคุยกับเขา อีกทั้งยังให้ความรู้สึกเสมือนจริงมาก
“ตกใจหรือ? แล้วกลัวหรือไม่?”
“...”
พุดไม่ตอบคำถามแต่คิดในใจว่าถ้าตื่นจากฝันนี้คงต้องไปหาจิตแพทย์สักหน่อยแล้ว
“ไม่ต้องถึงขั้นไปหาหมอหรอกกระมัง...”
“เฮ้ย!!! ได้ยินความคิดผมด้วยเหรอ?”
“เจ้าพูดว่า เฮ้ย รอบที่เท่าไหร่แล้วได้นับหรือไม่?”
ร่างสูงเอ่ยพร้อมหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู
“สรุปว่านี่คือความฝันใช่มั้ย?”
“จะคิดเช่นนั้นก็ได้”
“เอ้าวะ!!! ฝันก็ฝัน ปล่อยจอยไปเลยแล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ตื่นแล้ว”
พุดขี้เกียจคิดให้ปวดหัว ในเมื่อมันคือความฝันเดี๋ยวสักพักก็คงตื่นเอง
“คุณเป็น...ผีหรือคน?”
“ถ้าไม่ใช่คน...เจ้าจะกลัวพี่หรือไม่?”
“หึ...ไม่อะ ก็ความฝันนี่นา ถ้ามาหน้าหล่อ ๆ แบบนี้ ไม่มาแลบลิ้นปริ้นตาใส่ก็ไม่มีอะไรให้กลัว”
“หากไม่ใช่ในความฝัน...เจ้าจะยังกลัวพี่หรือไม่?”
“ถามเยอะจริง!!! ก็...ไม่รู้สิ...ค่อยว่ากัน ว่าแต่คุณรู้จักผม?”
“พี่รู้จักเจ้ายิ่งกว่าใคร”
“???...แล้ว...คุณชื่ออะไร?”
พุดเริ่มเพลิดเพลินกับความฝันและรู้สึกสนุกที่ได้คุยกับคนตรงหน้า
“ปกรณ์ณพัฒน์...หม่อมเจ้าปกรณ์ณพัฒน์ รัชนีพงษ์”
“โห...มีเชี้อเจ้านี่เอง มิน่าล่ะ ในฝันวันก่อนคนพวกนั้นถึงเรียกคุณว่าท่านชาย เอ่อ...ฝ่าบาท ผม...กระหม่อม ใช้คำราชาศัพท์ไม่เก่งนะ”
“เจ้าพูดกับพี่ตามสบายเถิด เรียกพี่แบบที่เจ้าเคยเรียก”
“แบบที่ผมเคยเรียก?”
“พี่ลืมไปว่าเจ้ายังจำพี่ไม่ได้...”
แววตาท่านชายหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้พุดรู้สึกหวิว ๆ ขึ้นมาในหัวใจชั่วขณะหนึ่ง
“เรา...เคยรู้จักกันเหรอ?”
“ยิ่งกว่าคำว่ารู้จัก”
“...”
“เพียงแต่ตอนนี้เจ้าไม่หลงเหลือความทรงจำเมื่อชาติก่อนแล้ว พี่ถึงได้พาเจ้าเข้าสู่นิมิตเพื่อระลึกอดีตชาติ นิมิตครั้งก่อนของเจ้าก็เช่นกัน”
“แต่ในฝันครั้งก่อนคุณไม่เห็นผม”
“ไม่ใช่ไม่เห็น...นั่นเป็นเพียงภาพนิมิตในอดีตที่พี่สร้างขึ้นมา แต่มิได้เข้ามาด้วยตัวเอง เลยพาไปผิดช่วงเวลานิดหน่อย ไม่เช่นนั้น ในวันนี้เจ้าอาจจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง”
“ภาพในอดีตเหรอ? คุณบอกว่าฝันของผมวันก่อนเป็นคุณที่พาผมเข้าไป?”
“เป็นเช่นนั้น และวันนี้พี่จะพาเจ้าไปในช่วงเวลาสำคัญที่จะไม่มีใครมาขัดจังหวะ...”
ท่านชายพูดพลางยิ้มมุมปาก พุดฟังแล้วรู้สึกเสียวสันหลังและงุนงงเล็กน้อย แต่ก็คิดว่าฝันนี้สนุกดี และอยากรู้ว่าความฝันวันนี้เขาจะได้เห็นอะไรบ้าง เพียงชั่วครู่ ใบหน้าพุดก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ เพราะนึกขึ้นได้ถึงฉากเด็ดในฝันเมื่อคืน เลยรีบพูดแก้เขิน
“อ่า...แล้วที่นี่ที่ไหน? เฮ้ยยย!!!”
พุดยังพูดไม่ทันจบ ท่านชายก็จับที่ข้อมือของพุดพร้อมกับเคลื่อนกายหายเข้าไปในโถงบ้านหลังใหญ่ราวกับราชวังตรงหน้า
“ที่นี่คือ?...”
“ที่นี่คือวังรัชนีพงษ์”
“วังรัชนีพงษ์?”
ภายในห้องโถงวังรัชนีพงษ์ ปรากฏภาพชายท่าทางใจดีวัยประมาณ 40 ปีกว่า ๆ แต่งกายด้วยชุดราชปะแตนสีน้ำเงินเข้ม สวมโจงกระเบนผ้าไหมสีทองนั่งบนโซฟาสไตล์ยุโรปขนาดใหญ่ เขากำลังอุ้มเด็กทารกหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่ง ข้าง ๆ กันมีเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักวัยประมาณ 6 ขวบ กำลังจ้องมองเด็กทารกคนนั้นด้วยแววตาตื่นเต้น
“ชายพัฒน์ เด็กคนนี้เป็นลูกของผู้มีพระคุณของพ่อ ต่อไปนี้ ชายพัฒน์ต้องรักและดูแลให้เหมือนกับน้องแท้ ๆ ของตัวเองนะ”
“ขอรับกระหม่อม”
หลังจากกล่าวรับคำ ท่านชายพัฒน์ตัวน้อยก็เอานิ้วไปจิ้มแก้มกลม ๆ สีชมพูของทารกหน้าตาจิ้มลิ้ม ดวงตากลมโตเหมือนลูกลำไยดวงนี้ทำให้ท่านชายพัฒน์ตัวน้อยหลงในความน่ารักนี้ทันที
“เสด็จพ่อ!!! น้องยิ้มให้ลูก”
ท่านชายพัฒน์ในวัยเด็กเอ่ยด้วยความตื่นเต้นดีใจที่ทารกตัวน้อยยิ้มให้เขา ทำให้ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าเอ็นดูโอรสของตน
เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น อยู่ในสายตาของชายหนุ่มทั้งสองคน
“นั่นคือเสด็จพ่อของพี่ พระองค์เจ้าพงษ์จักรพรรณ”
“...”
“พ่อพุดลองเดาดูสิว่าทารกน้อยคนนั้นคือใคร?”
“ผมจะไปรู้ได้ไง คงไม่ใช่ผมหรอกมั้ง ฮ่าๆๆๆ”
พุดพูดเอาฮาเพราะไม่คิดว่าจะเป็นตัวเองจริง ๆ แต่ความเงียบของท่านชายทำเอาพุดหยุดขำแทบไม่ทัน
“กะ...ก็คือ...เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือคุณ ส่วนทารกน้อย...คือผม?”
พุดพูดพลางชี้มาที่หน้าตัวเอง
“เจ้าเข้าใจถูกแล้ว”
“...”
“น้องชื่ออะไรหรือกระหม่อม?”
“พ่อยังไม่ได้ตั้ง เจ้าอยากตั้งหรือไม่?”
“ได้หรือกระหม่อม?”
“ได้สิ”
ท่านชายน้อยยิ้มแก้มบานพร้อมกับทำท่าครุ่นคิดอยู่สักครู่
“พุด...ลูกจะตั้งชื่อน้องว่าพุดขอรับ!!!”
“เหตุใดจึงตั้งว่าพุดหรือ?”
“ลูกชอบดอกพุดซ้อน ถ้าเป็นหญิงลูกคงตั้งว่าแม่พุดซ้อน แต่น้องเป็นชาย ลูกเลยให้ชื่อว่าพ่อพุดขอรับ”
“ได้สิ จากนี้เจ้ามีน้องชายชื่อพุด ดีหรือไม่?”
“ขอบพระทัยขอรับเสด็จพ่อ”
ขณะที่พุดกำลังยืนยิ้มกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ท่านชายพัฒน์ก็พาพุดวาร์ปไปอีกที่
“เย้ยยยย ท่านชาย!!! ให้ผมได้ตั้งตัวหน่อย เล่นผลุบ ๆ โผล่ ๆ แบบนี้ผมเวียนหัวนะ ถึงจะฝันผมก็เวียนหัว!!!”
พุดโวยวายโดยที่ท่านชายไม่ได้ตอบอะไรกับคำบ่นของพุด เพียงแต่หลุดขำเล็กน้อยเท่านั้น
“เห...ที่นี่มัน...”
พุดตื่นตาตื่นใจกับบริเวณรอบ ๆ ที่เป็นส่วนหย่อมขนาดใหญ่ มีเรือนขนาดเล็กเปิดโล่งสไตล์ยุโรปตั้งอยู่ใจกลางสวน ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้นานาพันธุ์สวยงามละลานตา
“เรือนรับรองวังรัชนีพงษ์ แต่เป็นช่วงเวลาอีก 20 ปีต่อมาหลังจากที่เราได้เจอกัน”
“???”
พุดยังไม่ทันเอ่ยถามอะไรต่อก็หันไปเห็นหญิงชายคู่หนึ่งกำลังสนทนากัน ชายหนุ่มคนนั้นหน้าตาเหมือนท่านชายคนข้าง ๆ ไม่มีผิดเพี้ยน
“ดะ...เด็จพี่เพคะ”
หญิงสาววัยประมาณ 22 ปี ผมลอน หน้าตาสวยจัดเพราะแต่งแต้มเครื่องสำอางตามสมัยนิยมเอ่ยถามท่านชายด้วยความเหนียมอาย ราวกับกำลังสารภาพรักอย่างไรอย่างนั้น
“ว่าอย่างไรหรือแม่วิลา...”
ท่านชายตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“คือ...ว่าคืนพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของวิลา วิลาอยากชวนเด็จพี่มาร่วมงานที่วังเทวลักษณ์เพคะ”
“พี่ไม่...”
“อ๊ะ!”
ขณะที่ท่านชายกำลังจะปฏิเสธคุณหญิงวิลา หรือหม่อมราชวงศ์วิลาวัณย์ เทวลักษณ์ จู่ ๆ คุณหญิงวิลาก็เซไปซบอกท่านชาย ภาพตอนนี้จึงดูเหมือนท่านชายกำลังโอบกอดสาวสวยอยู่
“ขอประทานอภัยเพคะ วิลาเพิ่งซื้อรองเท้าใหม่มาจากปารีส มันสูงไปหน่อย วิลายังไม่ชินเพคะ น่าอายจังเลย”
ปากบอกขอประทานอภัย แต่มือไม้กลับเกาะแกะรัดตัวท่านชายแน่นขึ้น สีหน้าของท่านชายบ่งบอกว่าไม่ค่อยพอใจ แต่ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษจึงต้องค่อย ๆ ประคองคุณหญิงวิลา จะผลักไสออกทันทีเดี๋ยวสาวเจ้าจะเสียหน้าแล้ววิ่งโร่ไปฟ้องท่านพ่อของเขาอีก แต่ก็พยายามจะแกะมือปลาหมึกของสาวสวยไปในคราเดียวกัน
แกร๊ง!!!
เสียงช้อนทองเหลืองหล่นจากมือของชายหนุ่มผู้มาใหม่ดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมอง รวมถึงท่านชายและพุดที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่
“เอ่อ...ขอประทานอภัยที่มาขัดจังหวะกระหม่อม เชิญตามสบาย”
ชายหนุ่มคนนั้นพูดจบก็รีบเก็บช้อนที่หล่นพร้อมกับเดินลิ่ว ๆ หายเข้าไปในวัง ซึ่งพุดเดาว่าเป็นเขาแน่ ๆ เพราะหน้าตาเหมือนเขาเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว
“พ่อพุด!!!”
ท่านชายในภาพนิมิตหันไปเห็นพุดที่ตอนนี้มีสีหน้าไม่สบอารมณ์และวิ่งหนีไปแล้ว จึงหันซ้ายหันขวาไปเจอกับบ่าวรับใช้ที่เดินอยู่ใกล้ ๆ
“แม่นิ่ม ๆ”
“เพคะ!”
“พาคุณหญิงวิลาไปทายาหน่อย ถ้าเป็นหนักก็ให้คนพาไปหาหมอนะ”
“เพคะ!”
ท่านชายรีบส่งคุณหญิงวิลาให้กับนิ่มบ่าวรับใช้แล้วรีบวิ่งตามพุดไปอย่างไว
“ฝ่าบาท!!! แล้วงานวันเกิดวิลาพรุ่งนี้ละเพคะ”
ไร้เสียงตอบรับจากท่านชายทำให้คุณหญิงวิลาไม่สบอารมณ์
“เป็นเช่นนี้ทุกครา ทำไมท่านชายต้องสนใจแต่ไอ้พุดคนเดียว กับอีแค่ลูกไพร่ชั้นต่ำ!!!”
ทางฝั่งของท่านชายกับพุดที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ ก็พากันวาร์ปไปที่ห้องนอนของใครสักคน ซึ่งในนี้มีพุดในนิมิตนั่งหน้ามุ่ยบอกบุญไม่รับกำลังบ่นกับตัวเอง
“คนโกหก ไหนว่าไม่ชอบคุณหญิงวิลาไงเล่า!”
ก๊อกๆๆๆ
“พ่อพุด เปิดประตูให้พี่”
ก๊อกๆๆๆ