เที่ยวบินจากลอสแอนเจลิสมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิในช่วงเที่ยงตามเวลาประเทศไทย แม้อยู่บนเครื่องบินมานานเกือบสามสิบชั่วโมง แต่ทีน่า ฮาร์ท หญิงวัย 55 ปีเชื้อชาติไทย สัญชาติอเมริกัน ก็ไม่มีทีท่าจะเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเข้าใกล้แผ่นดินเกิดมากเท่าไร หัวใจก็ทั้งเต้นแรงและบีบรัด ความตื่นเต้นเอ่อล้นจนแทบไม่อาจข่มตาหลับได้ตลอดการเดินทาง
ทั้งที่คนที่น่าจะตื่นเต้นมากกว่าน่าจะเป็นคนที่นั่งข้าง ๆ เพราะนี่เป็นการเดินทางมาประเทศไทยครั้งแรกของอีแวน ฮาร์ท
“Mom, I feel like I’ve aged ten years on this plane.”
(“แม่...ผมรู้สึกเหมือนแก่ขึ้นสิบปีบนเครื่องบินลำนี้เลย”)ชายหนุ่มวัยยี่สิบเอ่ยพลางขยับตัวบิดซ้ายขวา ร่างสูงยังคงนั่งอยู่บนเบาะโดยสาร ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายสดใส ผมสีอ่อนเข้ากับสีของดวงตา สันจมูกโด่งแหลม และริมฝีปากบางสีสด บ่งบอกถึงสายเลือดชาวตะวันตกที่ไหลเวียนอยู่ในตัว
“แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้พูดภาษาไทยกับแม่” ทีน่าพูดพร้อมส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างระอา แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับทำให้อีวานรู้ว่าแม่ไม่มีทางหงุดหงิดใส่เขา
ในบรรดาลูกชายสามคน เขาคือคนที่สนิทกับแม่ที่สุด เมื่อแม่บอกว่าจะกลับมาเยี่ยมเมืองไทย บ้านเกิดที่เธอไม่เคยกลับมาตลอดสามสิบกว่าปี เขาจึงขอติดตามมาด้วยทันที
เอเลียส พี่ชายคนโต ที่กำลังฝึกงานเป็นแพทย์ประจำบ้านอยู่โรงพยาบาลเดียวกับพ่อ ไม่มีทางมาด้วยได้แน่นอน
เช่นเดียวกับอีธาน ฝาแฝดของเขาที่เรียนอยู่ที่เยล ก็คงไม่ยอมดรอปการเรียนมาเที่ยวเมืองไทยในตอนนี้ จึงมีเพียงเขาที่สามารถขอติดตามมากับแม่ได้‘Good idea. If you go with your mom, you can remind her not to ‘accidentally’ forget to come back.’
(ดีเหมือนกันนะ ถ้าแกไปกับแม่ แกจะได้คอยเตือนแม่ว่าอย่าเผลอลืมกลับบ้าน)นายแพทย์แจ็คสัน ฮาร์ท พูดกับลูกชายคนเล็กต่อหน้าภรรยาคนสวย ทีน่าหัวเราะเบา ๆ
‘บ้านฉันอยู่ที่นี่ สามีกับลูกชายอีกตั้งสองคน จะลืมได้อย่างไร’
หญิงสาวเอ่ยจากใจแต่เมื่อมาถึงประเทศไทย เพียงแค่เครื่องบินเริ่มเข้าเขตน่านฟ้า... หัวใจก็เต้นแรง ราวกับกำลังบอกเธอว่านี่ต่างหากคือบ้านของเธอ บ้านที่เธอไม่กล้ากลับมาตลอดสามสิบปี
สองแม่ลูกใช้เวลาอีกหลายสิบนาทีในการรอกระเป๋า ผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง และเมื่อเดินออกจากประตูผู้โดยสารขาออก พนักงานของโรงแรมห้าดาวที่ทีน่าติดต่อมาแล้วล่วงหน้าก็มายืนรอรับอยู่แล้วพร้อมป้ายชื่ออันใหญ่
“คุณทีน่าหรือครับ”
ชายวัยประมาณ 25-30 รีบเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษกับลูกค้าหญิงวัยกลางคนที่เดินตรงมาหา ทีน่าส่งยิ้มเป็นมิตรให้
“ฉันเป็นคนไทยค่ะ พูดไทยกันดีกว่านะ”
“อ้อ ครับคุณผู้หญิง”
พนักงานโรงแรมท่าทางสบายใจขึ้น ก่อนจะมองเลยไปด้านหลังของหญิงสาว หนุ่มลูกครึ่งวัยรุ่นตัวสูงใหญ่ยืนประคองรถเข็นกระเป๋าอยู่ด้านหลัง
“นี่ลูกชายฉันค่ะ ชื่ออีแวน พูดไทยกับเขาได้เลยเพราะฉันต้องการให้เขาพูดภาษาไทยได้คล่องเหมือนแม่ของเขา”
“ครับ ได้ครับ”
อีแวนได้ยินที่แม่บอก เขาจึงแกล้งกลอกตาอย่างยอมแพ้ ที่จริงแม้อีวานและพี่ชายทั้งสองคนจะเกิดและเติบโตที่ซานดิเอโอ แคลิฟอร์เนีย แต่แม่ก็ยืนยันจะให้ลูกทุกคนสื่อสารได้คล่องแคล่วทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ดังนั้นการพูดไทยตลอดเวลาสามเดือนที่จะมาอยู่ที่นี่จึงไม่ใช่ปัญหาแม้จะสำเนียงแปลกแปร่งตามประสาคนอเมริกันก็ตาม
“คุณผู้หญิงตรงไปโรงแรมเลยนะครับ”
พนักงานที่เพิ่งแนะนำตัวว่าชื่อยุทธพิชัย เอ่ยเหมือนเป็นการยืนยันมากกว่าจะเป็นคำถาม ทีน่า ฮาร์ทตอบรับเพราะรู้ว่าลูกชายคงอยากพักผ่อนเต็มที หล่อนเองก็ควรได้พักผ่อนสักนิดเหมือนกัน มาไทยหนนี้หล่อนจองโรงแรมไว้ถึงสามเดือน ยังมีเวลาให้หล่อนได้ไปหาใครบางคน...คนที่หล่อนอยากเห็นหน้าเขามากเหลือเกิน
* * * * *
“แม่ครับ เราไม่มีญาติอยู่เมืองไทยเลยจริง ๆ หรือครับ”
อีแวนถามคนเป็นแม่ระหว่างทางนั่งรถตู้ไปโรงแรม ทีน่ายังคงมองไปนอกหน้าต่างรถ แม้จะมีอินเทอร์เน็ตให้เห็นว่ากรุงเทพฯ ในปัจจุบันหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เมื่อได้กลับมาอีกครั้งจริง ๆ หล่อนก็ยังรู้สึกว่าที่นี่ช่างเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน เปลี่ยนไปจนหล่อนใจหาย
“ว่ายังไงนะลูก”
“ญาติน่ะครับ หรือเพื่อนแม่ก็ได้ ไม่มีใครสักคนเลยหรือที่แม่ยังพอจะรู้จัก”
“ลูกถามแม่มากี่ครั้งแล้ว”
ทีน่าถามกลับยิ้ม ๆ ขบขันมากกว่าจะเป็นอย่างอื่น อีแวนหัวเราะ
“ผมก็ถามดู เผื่อว่าแม่ได้กลับมาบ้านเกิดแล้วจะนึกขึ้นมาได้”
“ที่จริงบ้านเกิดแม่ไม่ใช่กรุงเทพฯ หรอกจ้ะ แม่เกิดในต่างจังหวัด ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นักหรอก เอาไว้แม่จะพาแวนไปเที่ยวด้วย คุณตาคุณยายของแวนเสียตั้งแต่แม่ยังอายุแค่ 16 แม่ก็เลยเข้ามาทำงานในกรุงเทพทันที ทำงานจนกระทั่งอายุ 22-23 แม่จึงเก็บเงินได้มากพอจะไปเสี่ยงโชคที่อเมริกา...”
“แล้วก็ได้เจอพ่อ แล้วก็เลย...มีพวกผมสามคน”
หนุ่มลูกครึ่งเอ่ยอย่างทะเล้น เพราะเขาก็ฟังแม่เล่าแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
“แม่ก็อยากมีครอบครัวใหญ่ ๆ ไว้รอต้อนรับแวนเหมือนกัน แม่ขอโทษนะลูกที่แม่หัวเดียวกระเทียมลีบ”
“ขอโทษทำไมกันล่ะครับ แม่ผมเก่งที่สุด ผมดีใจนะครับที่แม่ได้เจอพ่อ และมีพวกผม แม่เลยไม่ต้องโดดเดี่ยวอีก”
คนเป็นลูกเอ่ยจากใจพลางจับมือแม่มาจูบแรง ๆ ทีน่าใช้มืออีกข้างลูบแก้มลูกชายที่หล่อนรักด้วยชีวิตและจิตวิญญาณทั้งหมด เหมือนที่หล่อนรักแจ็กสัน รักเอเลียสและอีธาน... ทุกคนคือครอบครัวที่หล่อนเคยคิดว่าชีวิตนี้ไร้วาสนาจะได้มี
“ลูกแม่หล่อเหลือเกิน สาว ๆ กรุงเทพฯ คงเหลียวมองจนคอหันที่มีหนุ่มอเมริกันหล่อขนาดนี้มาอยู่ที่นี่”
“แม่ชมเพราะผมหน้าเหมือนแม่ใช่หรือเปล่าครับ”
อีแวนหัวเราะ เขารู้ว่าตัวเองได้ส่วนดีจากทั้งพ่อและแม่ และแม้แต่ตอนอยู่อเมริกา เขากับพี่ชายฝาแฝดก็ถือว่าเป็นหนุ่มฮอตของโรงเรียนเลยก็ว่าได้
“เหมือนพ่อด้วยไงจ๊ะ เพราะแม่กับพ่อรักกัน ลูกที่เกิดมาด้วยความรักจึงได้หน้าตาหล่อเหลาหมดจดอย่างนี้...”
“คนเป็นแม่ทุกคนก็คงชมลูกตัวเองอย่างนี้ใช่ไหมล่ะครับ”
อีแวนเอ่ยอย่างรู้ทัน ทีน่าหัวเราะ แวบหนึ่งที่หล่อนเห็นใบหน้าของใครอีกคนซ้อนทับขึ้นมา... แม้คนคนนั้นจะไม่มีเชื้อสายตะวันตกเหมือนลูกชายลูกครึ่งของหล่อน แต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ลึกล้ำและเต็มไปด้วยความรู้สึกคู่นี้ก็คงจะไม่ต่างกัน
“อยากเจอเหลือเกิน”
คนเป็นแม่รำพึงออกมาอย่างไม่ตั้งใจ อีแวนเลิกคิ้ว
“แม่ว่ายังไงนะครับ”
ทีน่ากระพริบตา ก่อนจะกระแอมเบา ๆ
“เปล่าหรอกจ้ะ ไม่มีอะไร”
หล่อนหันกลับไปมองท้องถนนของกรุงเทพฯ อีกครั้ง อีแวนไม่ได้ติดใจสงสัยเพราะเขาเองก็กำลังตื่นเต้นกับทิวทัศน์เมืองหลวงของประเทศไทยที่เพิ่งได้เห็นกับตาตัวเองครั้งแรกนี่เหมือนกัน
แต่วีณายังไม่ทันได้ถาม... ก้อยก็รีบวิ่งกลับมาเคาะประตูด้วยท่าทางตื่นเต้น"คุณท่านคะ คุณท่าน!""อะไร! มีอะไร!""คุณธามกลับมาแล้วค่ะ มาถึงก็ถามหาคุณท่านทันทีเลยค่ะ!"* * * * * ตอนแรกธามคิดว่าอาจจะพักสมองอยู่ที่เชียงรายต่ออีกสองสามวันแต่ปีขาลเตือนเขาว่า เรื่องบางเรื่อง ปล่อยไว้นานก็จะยิ่งคุยกันไม่รู้เรื่อง 'ถึงยังไงคุณน้าก็เป็นแม่ของมึงนะธาม เลี้ยงดูกันมาขนาดนั้น จะไม่มีเยื่อใยความผูกพันกันเลยก็คงไม่ใช่ มึงกลับไปคุยกับแม่ดี ๆ เถอะ อย่างน้อยก็จะได้ใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่มีอะไรค้างคา'ขนาดคนที่หุนหันพลันแล่นอย่างปีขาลยังบอกแบบนี้ ธามจึงนั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ มาทันทีเมื่อเลขาฯ บอกว่าท่านประธานฯ ไม่เข้าบริษัท เขาจึงมาที่บ้าน และก็เจอธัญญาจริง ๆ ในห้องทำงานของธัญญา มีกันเพียงสองคนแม่ลูก ชายหนุ่มใจชื้น อย่างน้อยแม่ก็ไม่ได้ไล่เขาทันทีที่เห็นหน้า"มาทำไม ต้องการอะไร""ผมอยากรู้ความจริงครับ ว่าผมเป็นลูกของ...คุณทีน่า...จริง ๆ ใช่ไหม""แกยังไม่ได้ไปถามมันอีกเหรอ""ผมยังไม่ได้ไปเจอเธอเลยครับ ผมอยากมาคุยกับแม่ก่อน เพราะสำหรับผม คุณทีน่าก็ไม่ต่างจากคนแปลกหน้า แม่ต่างหากที่ยังเป็นแม่ของผม""แต่สำ
หลังเพื่อนสนิทเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง ปีขาลถึงกับนั่งงงอยู่เป็นนานสองนานถ้าไม่ใช่เพราะคนเล่าคือ "ธาม" เพื่อนที่แสนจะสุขุม จริงจัง และไม่เคยล้ออะไรใครเล่น เขาก็คงนึกว่ากำลังฟังละครวิทยุอยู่แน่ ๆ"แล้วป่านนี้แม่มึง...ทั้งสองแม่ ไม่ตามหาตัวมึงให้วุ่นหรือวะ จู่ ๆ หลบมาแบบนี้""ไม่รู้"ธามตอบเนือย ๆ "แม่...หมายถึงแม่ตามกฎหมาย คงไม่อยากเห็นหน้ากูเท่าไหร่ แต่คุณทีน่า บอกตรง ๆ ว่ากูยังช็อก..."ชายหนุ่มนึกถึงหญิงคนนั้น คนที่ดวงตาซึ้งดูเศร้าแต่ก็จับใจเขาไว้ได้ตั้งแต่แรกเห็น"กูถูกชะตาเขามากตั้งแต่วันแรกที่เจอที่โรงแรม รู้สึกอยากเข้าใกล้ อยากรู้จัก... ไม่ใช่เชิงชู้สาว แต่เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก...""เขาเองก็คงอึดอัดอยากบอกมึงเหมือนกันว่าเป็นแม่..."ปีขาลคาดเดาจากที่เพื่อนเล่าให้ฟังก่อนหน้า"ที่จริงมันก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ถ้าไม่เพราะคุณน้าธัญญาดันเกลียดแม่ที่ให้กำเนิดมึงน่ะไอ้ธาม..."นี่ปีขาลก็เดาอีก แต่ธามพยักหน้าเห็นด้วย"เท่าที่ได้ยิน แสดงว่าพ่อกับคุณทีน่าลักลอบมีอะไรกัน จนเกิดเป็นกูขึ้นมา กูก็คือลูกชู้ ลูกนอกสมรส ที่แม่เก็บมาเลี้ยง ไม่ใช่เพราะรัก แต่เพราะอยากทำร้าย เพื่อที่แม่แท้ ๆ จะได้เ
เวลาสองทุ่ม จังหวัดเชียงรายไร่อรุณเบิกฟ้าเปิดไฟสว่างไสวตั้งแต่ปากทางเข้าไร่มาจนถึงตัวเรือนด้านในเพราะผู้มาเยือนโทรศัพท์มาบอกล่วงหน้าหลายชั่วโมงแล้วว่ากำลังจะมา เมื่อรถเล็กซัส แอลเอ็กซ์-หกร้อย มาถึงจึงมีคนงานคอยเปิดประตูให้ และเจ้าของไร่ตัวสูงใหญ่ยืนเท้าสะเอวรอต้อนรับด้วยสีหน้าดีใจแกมโล่งใจที่เพื่อนมาถึงโดยปลอดภัย"ไงมึง"ปีขาลทักสั้น ๆ พลางเข้าไปโอบเพื่อน ตบหลังเบา ๆ หนึ่งที แล้วหันไปทักทายลุงธงคนขับรถของเพื่อนสนิท"สวัสดีครับลุง ขับมาไม่ได้พักเลยสินะครับ""ก็มีแวะปั๊มบ้างครับ"ลุงธงยิ้มเหนื่อย ๆ ไม่รู้กี่สิบปีแล้วที่ไม่ได้ขับรถออกต่างจังหวัด เพราะปกติที่ขับรถให้นาย ไกลสุดก็แค่อยุธยา"ที่จริงคุณธามแกจะขับเองครับ บอกให้ผมกลับบ้านได้เลย แต่ผมขอมาด้วย อย่างน้อยจะได้เปลี่ยนมือกัน...นี่ก็ออกมาเลย เสื้อพงเสื้อผ้าอะไรไม่มีสักตัวเลยครับ"ลุงธงบอกอย่างเป็นห่วงมากกว่าจะฟ้อง"ผมให้แม่บ้านเตรียมห้องกับพวกกับข้าวกับปลาไว้ให้ลุงแล้ว ไปกินข้าวก่อนก็แล้วกันนะลุง เดี๋ยวเสื้อผ้าสะอาด ๆ ให้แม่บ้านหาให้แป๊บเดียว...แม่ต้อย ฝากดูแลลุงเปิ้นกำเน่อ""เจ้า"แม่บ้านวัยกลางคนรับคำแล้วพาลุงธงเดินหายเข้าไปด้านหลั
ธามยังจับต้นชนปลายไม่ถูก...เขาอยากจะคิดว่านี่เป็นเรื่องตลก เขากำลังถูกแกล้ง แต่สีหน้าของผู้หญิงสูงวัยสองคนที่กำลังมองมาที่เขาก็จริงจังเกินกว่าจะคิดเช่นนั้น"ทำไมแม่พูดอย่างนั้นล่ะครับ ก็แม่เป็นแม่ผม...""ใช่ แม่ควรจะเป็นแม่ของแก แม่ก็เคยเชื่อแบบนั้น"ธัญญาหันกลับไปมองทิพย์ลาวัณย์อย่างเจ็บแค้น"ฉันให้แกมาอุ้มบุญลูกของฉัน แต่แกกับทิมกลับสวมเขาให้ แอบไปมีอะไรกันตอนไหนฉันก็ไม่รู้ ไม่เคยคิดจะระแวงเลยสักครั้ง แต่ตอนแกเกิด สายตาของแกกับทิมทำให้ฉันสงสัยและตัดสินใจแอบตรวจดีเอ็นเอ จึงได้รู้ว่าเด็กคนนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย... แกหลอกฉันตลอดแปดเก้าเดือนที่ท้อง แกกับทิม เลวทั้งคู่""แม่...นี่มันอะไรกัน ผมงงไปหมดแล้วนะครับ""จนป่านนี้แล้วยังไม่ชัดอีกหรือไง"ธัญญาหันมาตอบเสียงดังจนแทบเป็นตะโกน"ฉันไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของแก ฉันแค่เลี้ยงแกมา เพราะว่าแม่แท้ ๆ ของแกมันเป็นชู้ มันแค่อุ้มท้องแล้วก็คลอด แล้วก็ต้องหนีไปอยู่เมืองนอกเพราะทนขายขี้หน้าไม่ได้ที่แอบนอนกับผัวของพี่สาว..."ธามหน้าซีดเผือด ไม่กล้ามองทิพย์ลาวัณย์ให้ชัด ๆ ด้วยซ้ำ ธัญ
ธัญญาก้าวเข้าไปในห้องโดยไม่ต้องรอให้เชิญ ทิพย์ลาวัณย์เบี่ยงตัวหลบให้โดยอัตโนมัติทั้งที่ตอนนี้เธอไม่ใช่เด็กสาวคนเดิมที่ต้องฟังคำสั่งของญาติผู้พี่อยู่เสมอ...แต่เธอก็อนุญาตให้ธัญญาเข้ามาแค่คนเดียว บรรดาผู้ช่วยผู้ติดตามของเขา เธอให้รออยู่ด้านนอกธัญญามองไปรอบ ๆ ห้องพักที่มีห้องนอนย่อยสองห้อง มีชุดครัว มุมนั่งเล่นดูโทรทัศน์ และมุมอ่านหนังสือ ทุกอย่างดูสะดวกสบายครบครันสมเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดของโรงแรม"ฉันไม่ได้มาที่นี่ตั้งนานแล้ว ธามเขายังดูแลได้ดีทีเดียว ดูดีกว่าตอนทิมยังอยู่เสียอีก""พี่ธัญมาทำไมคะ"ทิพย์ลาวัณย์ถามออกไปอย่างไม่อ้อมค้อม ญาติผู้พี่ของเธอคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อแค่ทักทายอย่างแน่นอนธัญญาหันกลับมาทันที "แกต่างหากกลับมาทำไม 'กล้า' กลับมาทำไม หรือมันนานเกินไปจนแกลืมไปแล้วว่าแกสัญญาอะไรกับฉัน""ใช่ค่ะพี่ธัญ มันนานเกินไปแล้ว"ทิพย์ลาวัณย์ยอมรับ แววตาและน้ำเสียงอ่อนลงอย่างอ้อนวอน"มันสามสิบกว่าปีแล้วนะคะ พี่จะไม่ให้ฉันกลับมาเหยียบบ้านเกิดเมืองนอนตัวเองเลยหรือไง ฉันแค่อยากพาลูกชายฉันกลับมาเที่ยว... ไม่ได้มาเพราะต้องการจะรบกวนอะไรพี่... ขนาดงานศพพี่ทิม ฉันยังไม่มาเลย เท่านั้นยังไม่มา
เย็นนั้นลูกชายบอกว่าจะขอออกไปดินเนอร์กับเพื่อนใหม่ 'ที่อื่น'"มีบาร์ชั้นดาดฟ้าที่มองลงไปเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาครับ แวนอยากลองไปที่นั่น""ไปกับสาวก่อน แล้วค่อยพาแม่ไปวันหน้าใช่ไหม"ทิพย์ลาวัณย์แกล้งถาม แต่อีแวนยิ้มและพยักหน้าจริงจัง"แน่นอนครับ ถ้าร้านโอเคแวนจะพาแม่ไปอีกแน่นอน...""แล้วจะกลับดึกไหมลูก"อีแวนลังเลเล็กน้อย"น่าจะดึก หรืออาจจะค้างที่อื่นครับ"ทิพย์ลาวัณย์ตกใจนิด ๆ อดห่วงขึ้นมาไม่ได้ตามประสาคนเป็นแม่"ระมัดระวังตัวให้ดีนะแวน ที่นี่เมืองไทย ไม่ใช่อเมริกา""ครับ ไว้ใจได้ครับ"ชายหนุ่มวัยยี่สิบเอ่ยก่อนก้มลงจูบแก้มสองข้างของมารดา แล้วขอตัวออกจากห้องไปเพื่อไปตามนัดกับเพื่อนใหม่ที่เขาว่า ทิพย์ลาวัณย์ไม่เซ้าซี้ถามว่าใคร แม้จะพอเดาได้ว่าน่าจะเป็นสาวสวยคนที่ส่งยิ้มให้ลูกชายเธอเมื่อเช้าเมื่อลูกชายไม่อยู่ ทิพย์ลาวัณย์เลยคิดว่าอาจจะโทรสั่งรูมเซอร์วิสขึ้นมาก่อนบนห้อง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้สุภาพสมวัยแล้วหยิบผ้าคลุมไหล่สีเลือดหมูลงไปที่ห้องอาหาร..."วันนี้มีดนตรีสดด้วยหรือคะ"เธอเอ่ยกับพนักงานอย่างแปลกใจตอนที่พนักงานมารับออเดอร์"ใช่ค่ะ ทุกวันศุกร์เสาร์อาทิตย์ กับวันหยุดย