เอ่ก อี๋ เอก เอ้ก
เสียงไก่ขันขึ้นดังจากทางหมู่บ้าน พลที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นสิ่งๆ แรกที่มองหาคือเข้ม ที่ในตอนนี้หายไปไหนไม่รู้ พร้อมกับพลที่ค่อยๆ พยุงตัวของเขาขึ้น พร้อมกับรีบสวมเสื้อผ้า และเดินออกมาจากตัวห้อง พร้อมกับสายลมเย็นในยามเช้ากระทบเข้าใบหน้าพลางทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย ทว่าในใจก็ยังว้าวุ้นอยู่ไม่น้อย
เท้าเล็กค่อยๆ ก้าวขาลงจากตัวเถียงนาพร้อมกับลงมาด้วยขาสั่นๆ พร้อมกับควานหาโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงพร้อมกับดูเวลา หน้าจอแสดงวอเปเปอร์ขึ้นพร้อมกับบ่งบอกเวลาว่าตอนนี้ เป็นเวลาหกโมงครึ่ง พลที่กวาดสายตาหาเข้มไปทั่ว
“ไปไหนของเขาว่ะ คือจะฟันแล้วหนีเหรอ?” พลเบ้หน้าพลอยคิดในใจ พร้อมกับนั่งกอดอกหน้าบึ้ง
แปร๊น แปร๊น…..
เสียงมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างที่ดังมาตั้งแต่ไกลพร้อมกับเข้มที่ยิ้มกว้างโดยขี่รถมอไซค์พ่วงข้าง ข้างๆ พ่วงก็มีเลขาอย่างนาติดรถมาด้วย เธอมาในลุคที่สบายๆ และสีหน้าผ่อนคลายสุดๆ เมื่อมาถึงเข้มก็ดับเครื่องรถลง พร้อมกับถือถุงบางอย่างเดินเข้ามา ซึ้งเป็นถุงปิ้งไก่หอมอบอวนแตะจมูกเข้าเป็นอย่างดี
“คุณหนู?”
“เดี๋ยวนะครับพี่นา” พูดจบพลก็เดินแบบเก้ๆ กังๆ ไปหาเข้ม ที่ตอนนี้ยืนเก๊กหน้าหล่อ ก่อนที่พลจะพูดออกไปเสียงดังฟังชัดจนเลขาถึงกับตาโตพลางอ้าปากค้างด้วยความอึ้ง
“ผมเจ็บตูดมากเลยนะครับ ทำไมพี่ไม่รอตื่นพร้อมกับผม ทำไมไม่มาพยุงผม ปล่อยให้ผมเดินเก้ๆ กัง ผมนึกว่าพี่จะฟันผมแล้วทิ้ง อุ๊บ!”
เข้มและนาตาโตเมื่อคุณหนูตรงหน้าบ่นชุดใหญ่ ไม่หนำซ้ำยังพูดสิ่งๆ นั่นออกมา โดยไม่สนว่าเลขาเขาอยู่ข้างๆ เข้มเองที่จะปิดปากอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว พลในตอนนี้เลิ้กลั้กขั้นสุดมองหน้าเข้มและนาสลับกันไปมา
“เหอะๆ คุณหนูว่ายังไงนะคะ” นาพูดขึ้นถามเพื่อความชัวว์พร้อมกับหัวเราะแห้งๆ
“เอ่อ…ครับ” พลยิ้มแห้งหน้าแดงเถือกเมื่อรู้ตัวว่าตนได้พูดอะไรออกไป
เข้มที่ยืนอยุ่ถึงกับยิ้มไม่หุบ พลมองหน้าเข้มด้วยสีหน้าของการขอความช่วยเหลือ แต่เขากลับยักคิ้วกวนๆ ให้หนึ่งที พลที่เบ้หน้าพร้อมกับยิ้มเจือนขึ้น พลพยามทำตัวเป็นปกติแต่ท่าทางการเดินก็ยังเก้ๆ กังๆ แปลก เลขาสาวก็ยิ้มให้เข้มหนึ่งทีก่อนที่เธอจะมานั่งข้างพลที่แคร่ไม้หน้าถียงนา
“พี่….”
“ไม่เป็นไรพี่เข้าใจ ว่าแต่คุณหนูไหวไหมคะ”
พลเริ่มสีหน้าวิตกกังวนเขาที่ไม่สามารถเดินได้ปกติ แถมเวลาเดินก็รู้สึกเสียดๆ จากช่องทางด้านหลัง พลกำมือเลขาสาวแน่นก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่พยามยามขอร้องเธออย่างสุดชีวิต
“พี่นาครับ ช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับได้ไหมครับ พอถึงเวลานั้นเดี๋ยวผมจะเป็นคนที่บอกทุกคนเอง”
“ได้ค่ะ ว่าแต่คุณหนู จะกลับเลยไหมคะ”
พลเงียบไปชั่วครู่ พลจ้องมองที่เข้มในตอนนี้สีหน้าเริ่มนิ่งลง พลเดินเข้าไปหาเข้มพลอยกอดอีกฝ่ายไวแน่น เขาได้ให้คำหมั้นสัญญาในการจะกลับมาที่นี่บ่อยๆ พลกล่าวลาเข้มด้วยการจูบลาและกอดอีกฝ่ายไว้แน่น เลขาอย่างนาที่เธอเห็นอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้เร่งรัดอะไร เธอได้แต่ยืนมองด้วยความอบอุ่นหัวใจ
“เดี๋ยวนะครับ อ้ายเข้มซื้อมาแต่ไหนเหรอครับหอมมากเลยนะครับ” พลพูดด้วยท่าทีที่ตื่นเต้น เขาตัดสินใจที่จะอยู่กินข้าวเช้าที่นี่ก่อนจะตัดสินใจกลับกรุงเทพไป
“อืม พี่ซื้อมาเพื่อเราเลยนะพล เห็นคุณนาอยากมาดูการเป็นอยู่ พี่เลยเอาเขามาด้วย” เข้มพูดพร้อมกับพยุงพลค่อยเดินมานั่งที่แคร่ พร้อมกับพลที่นั่งลงแคร่อย่างทุลักทุเล แสงแดดยามเช้าก็เริ่มสาดส่องผ่านท้องฟ้าสีทองอร่าม กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไก่ย่างที่อยู่ในถุงที่เข้มพึ่งซื้อมาก็ลอยเข้ามากระทบจมูก จนทำให้พลพลอยท้องร้องไปด้วย
พลที่นั่งอยู่แคร่ไม้ไผ่หน้าเถียงนา พร้อมกับเลขาสาวอย่างนาที่เธอก็จัดโต๊ะง่ายๆ ด้วยจานจากทางในครัวบนเทียงนาและแก้วน้ำพลาสติก และเธอก็พลอยหันมามองเจ้านายของเธอด้วยรอยยิ้มบางๆ ไม่นานนัก ไก่ย่างตัวใหญ่ก็ถูกนำมาเสิร์ฟบนจาน เข้มค่อยๆ ใช้มีดหั่นไก่ออกเป็นชิ้นๆ แล้วส่งให้พลเป็นคนชิมเป็นคนแรก
“ลองชิมดู พี่ซื้อมาจากร้านน้าแพนกับร้านน้าเพลงเลยนะ คิดว่าน่าจะถูกใจเรานะ”
พลพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกว้าง พร้อมกับรับชิ้นไก่มาหนึ่งชิ้นก่อนที่จะชิมและกัดเข้าไปที่ความฉ่ำของเนื้อไก่ที่ผสมกับกลิ่นหอมของสมุนไพร จนทำให้พลเขาตาเป็นประกายพร้อมกับพูดเอ่ยชมออกมา
“อร่อยมากเลยครับ อ้ายเข้ม ครั้งหน้าอ้ายเข้มต้องพาผมไปกินที่ร้านของน้าเพลงกับน้าแพนแล้วนะครับ”
“กินเยอะๆ เดี๋ยวต้องเดินทางไกล”
เข้มพูดพลางยิ้ม พร้อมกับยื่นมือมาขยี้ผมนุ่มของพลเบาๆ พลก้มหน้าก้มตากินไก่อย่างอย่างเอร็ดอร่อย นาเองเธอก็รับชิ้นไก่จากจานและร่วมวงด้วยกับพลด้วย เมื่อเธอได้กัดเข้าไปเธอก็ต้องตาโตเพราะกลิ่นสมุนไพรที่ตีขึ้นมา ปนเปกับความนุ่มและความนัว จนมันลงตัวไปเสียทุกอย่าง
บรรยากาศในยามเช้าก็พลอยทำให้พลอบอุ่นไปทั่วหัวใจดวงน้อย จนในตอนนี้พลก็รู้สึกไม่อยากกลับกรุงเทพเสียดื้อๆ เขารู้ว่าความสงบสุขนี้กำลังจะหมดลงเมื่อเขาต้องกลับไปเผชิญหน้ากับชีวิตในกรุงเทพอีกครั้ง และมีภาระที่ต้องรับผิดชอบมากกว่าเดิม เมื่อกินเสร็จ ก็มาส่งพลที่บ้านพร้อมกับยืนมองพลอย่างใจหาย พลเองก็หันไปหาเข้มที่ยืนมองเขาอยู่ด้วยสายตาที่ไม่อยากให้เขาไป แต่ทว่าเจ้าตัวก็ก้าวเข้ามายืนตรงหน้าพล พร้อมกับจับมือของพลขึ้นทั้งสองข้าง
“พล... ดูแลตัวเองดีๆ นะ” เข้มพูดด้วยเสียงแผ่ว เขาในตอนนี้รู้สึกใจหายอยู่ไม่น้อย พลเองก็โอบกอดเข้มไว้แน่น พร้อมกับพูดออกมาด้วยเสียงสะอื้น
“อ้ายเข้มก็เหมือนกันนะครับ อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย ผมจะกลับมาหาพี่อีกแน่ๆ ในเร็วๆ นี้”
เข้มพยักหน้า แต่ในใจลึกๆ เขารู้ว่าไม่มีใครสามารถรับประกันอนาคตได้ เขาได้แต่หวังว่าจะไม่มีหนุ่มเมืองกรุงมาปาดหน้าเขาไปเสียก่อน พลคลายกอดออก เขาจ้องตาเข้มอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากของเข้ม ราวกับเป็นการฝากความรู้สึกทั้งหมดไว้ในจูบนั้น
“ผมไปแล้วนะครับ”
พลกระซิบเบาๆ เข้มพยักหน้าอย่างอึ้งๆ เขามองตามพลที่เดินไปขึ้นรถ รถยนต์คันหรูเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าในหัวใจของชายหนุ่มบ้านๆ ที่ยืนมองอยู่เบื้องหลัง เข้มยืนมองจนรถหรูจนลับสายตา ก่อนจะถอนหายใจยาวและเดินกลับไปควบมอไซค์ซาคันเก่าพร้อมกับปรีกวิเวกไปที่เถียงนา.....
กรุงเทพ
หลังจากที่กลับมาถึงกรุงเทพ พลก็เหมือนคนที่สูญเสียอะไรบางอย่างไป ใบหน้าของเขาดูหม่นหมอง แม้จะอยู่ในห้องทำงานหรูหราที่เต็มไปด้วยความกดดันจากหน้าที่และความรับผิดชอบ พลเขาก็ยังเอาแต่ใจลอย คิดถึงภาพใบหน้าของเข้ม และบรรยากาศเรียบง่ายที่โคกสะแบง และเหตุการณ์เมื่อคืนวานที่เขาได้มีอะไรกับเข้มก็ลอยเข้าในหัวซ้ำๆ
“หล่อไม่พอยังใหญ่ด้วย” พลคิดในใจพร้อมกับนั่งค้ำคางหน้าแดงด้วยความเขิน เรือนร่างและแก่นกาย ซิกแพ็กหกลูกที่เป็นลอนสวย มันลอยเข้ามาซ้ำๆ จนพลแทบจะบ้าตาย
“คุณหนูคะ มีการประชุมใหญ่วันนี้นะคะ ทุกแผนกพร้อมแล้ว” เสียงของนาเลขาคนเก่งดังขึ้น พลสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าและลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมไป”
“ช่วงนี้คุณหนูใจลอยบ่อยๆ นะคะ คิดถึงคนคนนั้นอยู่ละสิ”
“ก็คงงั้นครับ” พลพูดพร้อมหน้าแดง นาที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาพร้อมกับเดินนำพล ไปยังห้องประชุมใหญ่
ในห้องประชุมขนาดใหญ่ พนักงานจากทุกฝ่ายนั่งรอกันอย่างเป็นระเบียบ พลเดินเข้ามาพร้อมกับถุงสินค้าหลายถุงที่เขานำมาจากโคกสะแบง ทั้งเสื่อทอมือ ผ้าขาวม้า งานถักจากไหมพรม และของจัดสานฝีมือชาวบ้าน
“สวัสดีทุกคนครับ วันนี้ผมมีเรื่องสำคัญที่จะพูดถึง” พลเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“บริษัทของเรามีเป้าหมายและโปรเจกต์ที่จะไม่เพียงแค่สร้างผลกำไร แต่ยังต้องตอบแทนสังคมด้วย ผมมีไอเดียที่จะนำสินค้าจากชาวบ้านที่โคกสะแบงมาดัดแปลงและพัฒนาเป็นสินค้า OTOP สุดเก๋ เพื่อส่งออกไปยังตลาดที่กว้างขึ้น”
ทุกคนในห้องประชุมตั้งใจฟัง พลหยิบตัวอย่างเสื่อทอมือขึ้นมาโชว์ พร้อมกับสายตาทุกคนที่จับจ้องมาที่พลอย่างสนใจ และจับจ้องเขามาเป็นสายตาเดียว
“นี่คือเสื่อที่ชาวบ้านทอด้วยมืออย่างประณีตนะครับ ผมอยากนำมาเพิ่มคุณค่า เช่น ทำเป็นกระเป๋าแฟชั่น หรือแผ่นรองจานที่ออกแบบให้ดูทันสมัย”
พลนำเสนอสินค้าชิ้นต่อๆ ไป พร้อมอธิบายแนวทางการพัฒนาและแผนการตลาด เขามองเห็นความสนใจในสายตาของพนักงานทุกคนที่เข้ามาร่วมประชุมในครั้งนี้ และเขารู้สึกตื่นเต้นกับการเริ่มต้นครั้งนี้
เมื่อการประชุมเสร็จสิ้น พลเดินกลับมาที่ห้องทำงาน เขาหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่แกะกล่องที่เตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพ เขามอบหมายให้นาจัดการส่งโทรศัพท์เครื่องนี้ไปให้เข้ม พร้อมข้อความที่เขียนด้วยลายมือของตัวเองว่า:
"ถึงพี่เข้ม โทรศัพท์เครื่องนี้เพื่อให้เราคุยกันได้ทุกวัน ผมคิดถึงพี่เข้มมาก และมีแผนจะกลับไปหาพี่อีกแน่นอน รอผมนะครับ"
พลถอนหายใจเบาๆ เมื่อมองข้อความที่เขาเขียน รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก เพราะแม้ว่าจะต้องอยู่ห่างกันอีกครั้ง แต่ในใจเขาแน่วแน่ว่าจะไม่มีทางลืมพี่เข้มและชาวบ้านโคกสะแบงที่ทำให้เขาได้เรียนรู้คุณค่าที่แท้จริงของชีวิต
“ผมจะกลับไป และทำให้ความฝันของผมและทุกคนที่โคกสะแบงเป็นจริง!”