หลังจากการติดต่อกับหน่วยงานราชการเวลาก็ผ่านล่วงเลยมาแล้วเกือบเดือน อาทิตย์แรก ๆ แทนไทใช้วิธีโทรสอบถามความคืบหน้าโครงการไฟส่องถนน แต่คำตอบที่ได้คือนายก อบจ.กำลังประชุมบ้างออกพื้นที่บ้าง เรียกว่าแทบไม่อยู่สำนักงานเลยด้วยซ้ำ ตอนนั้นแทนไทไม่ได้ย่อท้อต่อการติดตามเรื่องที่ตนลองทำมันตามระบบ ทว่าครั้งสุดท้ายที่ทำให้เขาเลิกโทรก็เพราะเขาถูกปลายสายต่อว่ากลับมา...
‘ถ้าเรื่องมีความคืบหน้าทางนี้จะโทรแจ้งกลับไปนะคะ อบจ.ไม่ได้มีหน้าที่ตอบคำถามคุณทุกวันนะคะ’
“เฮ้อ” แทนไทถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน
“เป็นอะไรวะไอ้แทน” วิทยาเอ่ยถามเพื่อนอย่างติดรำคาญ
“เปล่าไม่มีอะไร” แทนไทส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย
“นี่อย่าบอกนะว่ามึงยังคิดมากเรื่องงานของลุงเพิ่มน่ะ”
“อืม ก็กูเป็นคนทำเอกสารนี่หว่า กูก็อยากรู้ว่างานของกูไปถึงไหนแล้ว หมู่บ้านเราจะได้ไฟเพิ่มหรือเปล่า ไหนจะเรื่องที่กูไปข้ามหน้าข้ามตาลุงเพิ่มแกอีก” แทนไทกุมหัวขณะแจกแจงเรื่องในสมอง
“นี่ไอ้แทน มึงไม่ใช่ซุปเปอร์ฮีโร่นะเว้ยที่จะทำทุกอย่างได้ดั่งใจ ชีวิตแม่งก็แบบนี้แหละ ถ้ามัวแต่จมอยู่กับเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้แล้วชีวิตมันจะเดินหน้าได้ไงวะ” วิทยาพูดปลอบพลางตบไหล่เพื่อนเสียงดังปุ ๆ
“นี่มึงใช่เพื่อนกูหรือเปล่าวะ แม่ย่านางรถบดสิงมึงใช่ไหมเนี่ย คายเพื่อนกูออกมานะ!” แทนไทบีบคอวิทยาเขย่าไปมาเอาคืนเรื่องโดนตีไหล่จนตัวเอียง ปกติไอ้นี่มันเคยพูดมีหลักมีการณ์แบบนี้ซะที่ไหน
“ผีรถบดเสาบ้านมึงสิ ปล่อยกู!” เมื่อวิทยาปลดมือได้ก็วิ่งไล่เตะเพื่อนรักไปจนเกือบถึงหน้าบ้านเจ้าตัวโน้น
“เอ้า ๆ เล่นอะไรกันเป็นเด็กไอ้พวกนี้นี่” วิไลส่ายหัวคล้ายระอาแต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้ม
“แม่มีอะไรกินบ้าง” แทนไทเอ่ยถามผู้เป็นแม่
“มะเหงก กินไหม” วิไลเองก็นึกอยากเล่นขึ้นมาเช่นกันเธอจึงตอบ ยิ้ม ๆ พลางยกลูกมะเหงกส่งให้ หลายวันที่ผ่านมาแทนไทดูเคร่งเครียดและซึมลงจนน่าเป็นห่วง การเห็นลูกชายกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้งวิไลก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก
แทนไทรับรู้ได้ถึงความรักความปรารถนาดีรอบตัวที่โอบล้อมเป็นแรงผลักดันให้เขาอยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนความคาดหวังเหล่านั้น แต่เขากลับหลงลืมไปเสียสนิทว่าบนโลกใบนี้ความคาดหวังของผู้อื่นก็เหมือนกับพิษร้ายที่กัดกินภายในทีละนิด
“แทนเอ้ยแทน! ลุงเพิ่มมาหาน่ะ” วิไลตะโกนเรียกลูกชายจากชั้นล่าง ลูกชายเธอเพิ่งจะร่าเริงได้ไม่กี่วัน หัวล้านใสแจ๋วสะท้อนแสงไฟเพดานก็เอาเรื่องมาให้อีกแล้วเหรอ
“สวัสดีครับลุงเพิ่ม” แทนไทในชุดกางเกงบอลขาสั้นยกมือไหว้ผู้มากวัยวุฒิ
“เออ ข้ามานี่ก็เรื่องที่ให้ทำเรื่องขอไฟส่องถนนนั่นแหละ”
“อ่า ครับ เรื่องไปถึงไหนแล้วเหรอครับ” แทนไทถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“อบจ. เขาปัดตกน่ะ” บุญเพิ่มส่ายหัวพลางนึกตำหนิที่ไม่จัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
“อ้าว ทำไมเหรอครับ หรือว่าเป็นเพราะผม” แทนไทสีหน้าย่ำแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด หรือเป็นต้นเหตุจากที่เขาเองเอาแต่คอยโทรไปสอบถามเร่งรัด
“เปล่า เขาคงคิดว่าเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องด่วนน่ะ ข้าไปล่ะ” บุญเพิ่มพูดธุระจบเพียงแค่นั้นก็หันหลังเดินออกจากบ้านแทนไทแล้วขับรถของตัวเองออกไป
“หน้ามันดูไม่ได้เลย พี่บอกมันว่าไง” อัมพรภรรยาของบุญเพิ่มจีบปากจีบคอถามเมื่อสามีของตัวเองกลับมาขึ้นรถ เผื่อจะได้เรื่องไปปรึกษาหารือกับแม่ค้าที่ตลาดสักครึ่งค่อนวัน
“ก็ไม่ว่าไง ข้าบอกมันไปว่า อบจ. ปัดตกเพราะไม่ได้เร่งด่วน”
“อ้าว ทำไมพี่ไปบอกมันอย่างนั้นล่ะ” อัมพรย้อนถามผู้เป็นสามี
“ให้โอกาสเด็กมันหน่อยเถอะ ข้าไม่อยากทำให้เด็กมันหมดกำลังใจ ข้าแก่ลงทุกวัน ในหมู่บ้านก็หาคนเป็นงานเป็นการยาก ไอ้แทนมันก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรที่ทำไปก็แค่ไม่รู้ เอ็งก็อย่าไปถือสามันเลย อ้อ แล้วก็ไม่ต้องไปเล่าให้ใครฟังนะ” บุญเพิ่มกำชับภรรยา โดยเฉพาะประโยคหลัง
แต่สำหรับผู้หญิงแล้วคำว่า ‘ไม่ต้องเล่าให้ใครฟังนะ’ ก็เหมือนกับคำว่า ‘ของฟรีห้ามหยิบ’ นั่นแหละ
“สรุปแล้วที่หมู่บ้านเราไม่ได้ไฟส่องถนนเพิ่มก็เพราะไอ้แทนมันทำเอกสารผิดงั้นเหรอ” เสียงของแม่ค้าในตลาดคนหนึ่งเอ่ยถามอัมพร
“ไม่ใช่เอกสารผิด แต่มันไม่มีสิทธิ์ต่างหาก ความจริงมันต้องผ่านพี่เพิ่มก่อน นี่มันทำข้ามหน้าข้ามตา แถมไม่มีรายชื่อลูกบ้านลงคะแนนขอมันจะไปได้ยังไง”
เสียงสูงเท่าต้นตาลของอัมพรดังเสียดแก้วหูวิไลที่กำลังจับจ่ายซื้อกับข้าวยามเช้า
“เฮ้อ อย่างว่าแหละมันยังเด็กอยู่ ไม่เป็นไร ไว้ประชุมรอบหน้าค่อยโหวตแล้วให้พี่เพิ่มไปยื่นใหม่ก็ได้” แม่ค้าขนมหวานจำได้ว่าผู้หญิงที่ยืนหันหลังใกล้ ๆ คนนี้คือแม่ของแทนไท
“เด็กอะไรล่ะ ตัวเท่านั้นบ้านอื่นเขาลูกสองลูกสามกันแล้ว ว่าก็ว่าเถอะอยู่บ้านกับแม่แบบนั้นก็ไม่พ้นเป็นลูกแหง่ให้แม่โอ๋ไปวัน ๆ นั่นแหละ” อัมพรยังคงสนุกอยู่กับเรื่องของคนอื่น
“แกนี่รู้เรื่องลูกบ้านฉันดีจังเลยนะ” วิไลเมื่ออดทนต่อไปไม่ไหวจึงหันเดินเข้ามาพูดกับอัมพรตรง ๆ
“อ้าว ก็ต้องรู้สิ ก็ฉัน...” อัมพรทำท่าจะเอ่ยต่อแต่ก็ต้องหุบปากลง
“ฉันอะไร พูดต่อสิ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องบ้านฉันมันเป็นยังไง นี่ขนาดฉันอยู่บ้านตัวเองแท้ ๆ ฉันยังรู้ไม่เท่าแกเลย มา ๆ เล่าเรื่องบ้านฉันให้ฟังหน่อย อ้าว! นี่จะไปไหนกันเล่า โธ่ นึกว่าจะแน่” วิไลรู้สึกขัดใจนัก พูดแค่นี้ทำเป็นวงแตก
ข่าวใดหรือจะเร็วเท่าข่าวลือ ชาวบ้านต่างจับกลุ่มนินทาต่อความยาวสาวความยืดแต่งเติมสีสันจนเรื่องราวลุกลามบานปลายเกินจริง พวกที่พอมีความคิดหน่อยก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของแทนไท พวกอคติหน่อยก็โบ้ยความผิดไปยังชายหนุ่มกันอย่างสนุกปาก
“นี่ผมทำอะไรผิดไปเหรอ” แทนไทนั่งเหม่อลอยหลังกินข้าวเย็นอิ่ม
“เอ็งไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ปากคนก็พูดไปเรื่อยนั่นแหละ” วิไลปลอบลูกชายพลางนึกหงุดหงิดพวกของอัมพร
“ผมเองก็อยากให้หมู่บ้านของเราได้ไฟเพิ่มเหมือนกัน”
“แม่รู้ แล้วที่ไซต์งานเขาว่าไงบ้าง” วิไลห่วงทางนั้นมากกว่า
“ก็มีโดนแซะบ้างครับ” แทนไทนึกถึงผู้คนที่ไซต์งาน แต่ก็ยังโชคดีที่เถ้าแก่เข้าใจเขา และก็ยังมีพี่ชาญวิทย์กับวิทยาที่คอยช่วยสวนกลับไอ้พวกที่มาแซะเขาด้วย
“อืม ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก เราไปทำงานถึงเวลาก็กลับ ต่อไปก็ไม่ต้องทำอะไรให้ลุงเพิ่มอีกแล้ว ส่วนหมู่บ้านน่ะปล่อยมันไปเถอะ มันไม่ใช่หน้าที่เรา งานชุมชนงานสาธารณะทำดีก็เสมอตัว ทำชั่วก็โดนด่าเหมือนเอ็งตอนนี้ไง”
“แม่ครับ” แทนไทแหงนหน้ามองผู้เป็นแม่
“อะไร”
“พลังบวกเชิงลบสุด ๆ เลยครับ ไม่รู้ว่าจะโล่งใจหรือเศร้าใจมากกว่าเก่าดี” แทนไทเอ่ยสายตาละห้อย ตอนนี้หน้าเขาเหมือนคนจะร้องไห้แต่ก็กลั้นหัวเราะไปด้วย
“เออ ตามนั้นแหละ อย่าคิดมากไปนอนได้แล้ว”
“ครับ” แทนไทรับคำก่อนกลับขึ้นห้อง
แทนไทนอนไม่หลับ เขาพลิกตัวไปมา ตั้งคำถามกับตัวเองถึงสิ่งที่ทำมาก่อนหน้านี้ เหตุใดผู้คนถึงได้ลืมเลือนความดีของเขาไปรวดเร็วนัก ทั้งที่ตอนซ่อมสะพานยังกล่าวชมเขาอยู่เลย เขาพยายามทำตามความคาดหวังของผู้คนในชุมชนที่ต้องการใครสักคนลุกขึ้นมาทำเรื่องต่าง ๆ แต่ดูเหมือนมันจะไร้ความหมายเมื่อเขามีข้อผิดพลาด
“แทนไม่ไปทำงานเหรอลูก” วิไลถามลูกชายที่หอบหมอนผ้าห่มมานอนชานบ้าน
“วันนี้ลาครับ ฝนจะตกด้วยอยากนอนมองฟ้ามองฝน”
“เดี๋ยวฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงกะบาล” วิไลขู่ ความจริงแล้วเธอห่วงว่าแทนไทจะโดนละอองฝนจนไม่สบายมากกว่า
“โธ่ แม่อย่าขู่ผมสิ” ชายหนุ่มผู้ทำงานในพื้นที่โล่งอย่างไซต์ก่อสร้างน่ะหรือจะกลัวฟ้าผ่าง่าย ๆ
“เออ ระวังเป็นหวัดด้วยล่ะ” วิไลคร้านจะต่อความยาวสาวความยืดเลยเดินจากไป
กิ่งไม้ไหวเอนโน้มตามแรงลม หยดน้ำเล็กใหญ่หล่นจากท้องฟ้า เสียงฟ้าร้องคำรามดูเหมือนเริ่มจะเบาบางลงตามกาลเวลา ไอหมอกจาง ๆ ลอยขึ้นจากพื้นดินรับกับแสงอาทิตย์ยามเย็น เด็กน้อยบ้านไหนซุกซนหน่อยก็พากันโผล่หัวออกมาวิ่งเล่นย่ำน้ำขังตามหลุมถนน
แทนไทจำได้ว่าหลุมแถวนั้นเขาเป็นคนกลบเองกับมือ ดูท่าแล้วมันคงจะไม่แข็งแรงพอถึงได้กลับมาเป็นหลุมอีกครั้ง
พรืด ปัก
“ไอ้ออนิวหน้าทิ่มโคลน ฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะดังลั่น เด็กกลุ่มเดียวกันชี้หน้าล้อเลียนเด็กชายอายุราว 10 ขวบที่ลื่นหน้าคมำจุ่มบ่อนั้นไปทั้งตัว
“แล้วไงวะ แน่จริงก็มาต่อยกันเลยดิวะ” เด็กชายเจ้าของชื่อท้าทายเพราะขุ่นเคืองกับการเยาะเย้ยของเพื่อน
“ใครจะต่อยวะ แบร่!” หลังจากนั้นมหกรรมวิ่งไล่เตะจึงเกิดขึ้น
แทนไทอมยิ้มกับภาพและเสียงเอะอะโวยวาย ความทรงจำผุดเข้ามาทำให้คิดถึงถนนเส้นนั้นที่เขาวิ่งเล่นมาตั้งแต่วัยเยาว์จนถึงตอนนี้ บางวันก็ยังวิ่งไล่เตะกับวิทยาไม่ต่างจากเด็กพวกนั้นอยู่เลย ความคิดเหล่านั้นทำให้เขาเริ่มคิดว่า ‘ถนน’ ไม่ใช่แค่เส้นทางที่เอาไว้เดินทางเท่านั้น แต่มันคือความสุข