ในบ้านกึ่งไม้สักกึ่งปูนหลังใหญ่หลังหนึ่ง...
“ไอ้แทนนี่มันชักจะยุ่มย่ามเกินไปแล้วนะพี่เพิ่ม” อัมพร หญิงวัยกลางออกปากบ่นกับบุญเพิ่มผู้เป็นสามี
“นั่นสิ มันนึกอยากทำอะไรก็ทำ ไม่เห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่เลย ชาวบ้านก็เอากับเขาด้วย ลืมไปแล้วมั้งว่าข้าเป็น อบต.” บุญเพิ่ม ต่อว่าต่อขานกลุ่มคนในหมู่บ้านยกใหญ่ เขาดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้า อบต. ของเขตตำบลนี้
“แล้วอย่างนี้จังหวัดเขาจะไม่ว่าพี่เหรอ” ผู้เป็นภรรยายังคงถามต่อ
“ไม่รู้ รอดูไปก่อน แต่คงต้องตักเตือนมันบ้างแล้วล่ะ”
บุญเพิ่มถอนหายใจออกมา สายตาไม่พอใจยังคงจับจ้องมองไปกลุ่มของแทนไทที่กำลังเก็บของหลังจากที่ทาสีราวกั้นสะพานเสร็จ ก่อนลงน้ำหนักเท้าเหยีบคันเร่งแล้วขับรถผ่านไป
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา... การทำงานของราชการส่วนท้องถิ่นก็เกิดมีประสิทธิภาพขึ้นมาเนื่องจากได้รับหนังสือร้องเรียนจากชาวบ้านที่ไม่ได้แจ้งชื่อเสียงเรียงนาม
“แม่วิไลอยู่ไหม!” บุญเพิ่มมาตะโกนเรียกคนในบ้านสังกะสีหลังเล็กหลังหนึ่งในเช้าของวันถัดมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยอารมณ์ เพราะชื่อของตนไปปรากฏอยู่ในหนังสือร้องเรียนแบบเด่นหราแถมยังเน้นหมึกตัวหนากว่าใคร
“อยู่ ใครมาหาจ๊ะ อ้าวพี่เพิ่มมีอะไรจ๊ะ” วิไลถามพลางเช็ดไม้เช็ดมือเพราะเพิ่งออกจากครัว
“ข้าขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”
“เชิญจ้ะ” วิไลประเมินจากสีหน้าของชายอายุใกล้หกสิบตรงหน้าแล้วคงไม่มีเรื่องดีแน่ ไม่งั้นหัวล้านใสสะท้อนแสงไฟคงมันวาวน้อยกว่านี้
“เข้าเรื่องเลยนะ ข้ามาคุยเรื่องไอ้แทนลูกชายแม่วิไลน่ะ”
“ไอ้แทนมันทำไมเหรอจ๊ะ”
“บอกให้มันเพลา ๆ เรื่องทำนู้นทำนี่บ้างเถอะ ไม่งั้นก็ช่วยมาแจ้งข้าก่อนที่จะทำอะไร เบื้องบนเขาต่อว่ามาน่ะ” บุญเพิ่มบิดเบือนข้อเท็จจริงเล็กน้อยเพราะเขาต่างหากที่โดนตำหนิ มันเลยเป็นเหตุให้เขาต้องมาต่อว่าแทนไทผ่านมารดาอีกที
“เอ้า มันก็ทำเรื่องดี ๆ นะพี่เพิ่มแล้วคนก็ช่วยกันอีกตั้งหลายคนทำไมไอ้แทนมันถึงโดนด่าคนเดียวล่ะ” วิไลออกตัวปกป้องลูกของตนเต็มที่ทั้งยังมองเห็นบางอย่างที่บุญเพิ่มพูดออกมาไม่หมด
“ก็ไอ้แทนมันเป็นตัวต้นเรื่อง ข้าก็ต้องมาคุยกับมันก่อน แต่ตอนนี้มันไม่อยู่ก็ต้องคุยผ่านแก”
“เฮ้อ เอาเป็นว่าฉันจะบอกมันให้ก็แล้วกัน” วิไลตัดบท ไม่มีแม่คนไหนอยากฟังคนอื่นต่อว่าลูกตัวเองหรอก ทนไม่ไหวขึ้นมาบุญเพิ่มจะได้เพิ่มเลือดบนหัวล้าน ๆ แน่
เย็นวันนั้นหลังแทนไทกลับจากไซต์งานก่อสร้าง เขาก็ต้องมานั่งฟังมารดาสาธยายความอีกพักใหญ่
“ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมลุงเพิ่มต้องมาว่ากัน”
“นี่ ไอ้แทนเอ็งก็ทำงานอยู่ไซต์งานเอ็งก็ต้องเห็นแล้วสิว่าแค่ตรงนั้นต่างคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ไม่มีใครไปก้าวก่ายกัน จริงอยู่ว่าเอ็งทำดี แต่การทำดีของเอ็งมันก็ทำให้ผู้รับผิดชอบตรงนั้นรู้สึกว่าถูกข้ามหน้าข้ามตา อีกอย่างเอ็งไม่เคยได้ยินเหรอว่าคนหัวล้านมักใจน้อย” วิไลตักเตือนแต่ก็ปลอบลูกชายไปในตัว
“แม่ก็ นี่ผมไม่รู้จะเครียดเรื่องไหนก่อนดีเลย” แทนไทหัวเราะ
เช้าถัดมาแทนไทตัดสินใจไปหาบุญเพิ่มถึงหน้าบ้าน ในฐานะที่เขาเด็กกว่าบางทีการอ่อนน้อมอาจช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้มันดีขึ้นได้บ้าง
“ลุงเพิ่ม สวัสดีครับ” แทนไทกมือไหว้ทักทาย
“อืม มาทำไมล่ะ พ่อนายช่างใหญ่” บุญเพิ่มอดใจไม่ไหวเลยออกปากแซะชายหนุ่ม
“นายช่างอะไรกันล่ะครับ คือว่าผมมาถามลุงเพิ่มว่าเรื่องมันเป็นมายังไง” แทนไทไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับผู้ใหญ่เลยตรงเข้าประเด็น
“เข้ามาก่อนสิ” บุญเพิ่มหันหลังเดินไปหยิบเอกสารในบ้านแล้วชี้ให้แทนไทนั่งรอที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้
ไม่นานนักกระดาษเย็บติดกันสองสามแผ่นก็ถูกโยนไว้ตรงหน้า ตลอดชีวิตแทนไทยังไม่เคยโดนใครทำแบบนี้ใส่ เขาถึงกับขมวดคิ้วมองหน้าชายวัยกลางคนหัวล้านใส
“อ่านดูสิ” บุญเพิ่มไม่คิดไว้หน้าชายหนุ่มอยู่แล้ว
“ครับ” แทนไทไล่สายตาอ่านหนังสือร้องเรียนทีละบรรทัดเพราะไม่อยากพลาดอะไรไป แต่ที่สำคัญกว่าคือการต้องอดทนอดกลั้นไม่ให้ตัวเองเผยรอยยิ้มออกมา ทุกปัญหาในหนังสือร้องเรียนดูเหมือนผู้ทำมันจะแค้นเคืองกับลุงเพิ่มมากพอดู
“เป็นยังไงล่ะ”
“เอ่อ ผมขอโทษลุงเพิ่มด้วยนะครับที่...” แทนไทนึกไม่ออกจะว่าควรเอ่ยคำใดจึงจะเหมาะสม
“สร้างความเดือดร้อน” บุญเพิ่มทำเสียงเข้ม
“ครับ สร้างความเดือนร้อนให้ลุงเพิ่ม” แทนไทอมอ่อนข้อให้ผู้ที่อายุมากกว่า
“นี่ไอ้แทน เรื่องที่เอ็งทำน่ะใช่ว่ามันไม่ดีนะ แต่การทำดีของเอ็งต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน”
“แต่สะพานที่ผมทำมันก็บรรเทาความเดือดร้อนให้ชาวบ้านนะครับ”
“ข้ารู้ แต่ทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เอ็งคิด เอางี้แล้วกัน หลังจากนี้ข้าต้องทำหนังสือชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นกับจังหวัด เอ็งลองมาทำดูไหม เอ็งจะได้รู้”
บุญเพิ่มเสนอทางเลือก เขาทอดถอนใจ จริงอยู่ว่าเรื่องที่โดนตำหนิทำเขาขุ่นเคืองแต่พอได้เห็นใบหน้าใสซื่อของแทนไทแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ เขาเลยลองให้แทนไททำความรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าระบบราชการของประเทศไทย
“ก็ได้ครับ แล้วผมต้องทำอะไรบ้างครับ”
“อย่างแรกเลยนะ...” บุญเพิ่มยื่นกระดาษกับปากกาให้ชายหนุ่มจดขั้นตอน
แทนไทมองกระดาษที่เขียนด้วยลายมือรีบ ๆ ของตัวเองแล้วก็อดเกาหัวไม่ได้ จริงอยู่ว่ามันแค่ครึ่งเดียวของกระดาษ A4 แต่รายละเอียดมันไม่ได้น้อยตาม
“เป็นไงบ้างล่ะไอ้แทน” วิไลถามลูกชายหลังกลับจากบ้าน อบต.
“ลุงเพิ่มแกให้ผมทำหนังสือชี้แจงไปที่จังหวัดกับของบติดตั้งไฟส่องถนนเพิ่มน่ะครับ”
“เออ เองก็ลองดูสิ เลือกตั้งครั้งหน้าเผื่อว่าเอ็งอยากจะลงสมัคร” วิไลหัวเราะ
“ไม่เอาน่าแม่” แทนไทรีบปฏิเสธแม้จะรู้ว่ามารดาแค่หยอกเย้า
เช้าวันหยุดประจำสัปดาห์ แทนไทเดินไปตามถนนของหมู่บ้านพลางยกกล้องถ่ายรูปรุ่นเก่าที่รื้อบ้านหาจนเจอขึ้นมาบันทึกภาพตามแผนที่หมู่บ้านที่เขาวาดคร่าว ๆ เขาสำรวจจุดที่จำเป็นต้องติดไฟส่องถนนเพิ่มเช่นตามแยกและมุมอับสายตา
ชายหนุ่มมีความเห็นว่าหมู่บ้านของเขาต้องการไฟส่องถนนเพิ่มอีก 5 จุดถึงจะเพียงพอ เขาหยุดอยู่บนสะพานแล้วถ่ายรูปทุกตำแหน่งที่เขาและชาวบ้านช่วยกันซ่อมปรับปรุงจนมันสวยงาม รอยยิ้มภาคภูมิใจประดับบนใบหน้ากระทั่งกลับบ้าน
คอมพิวเตอร์เครื่องเก่าถูกเปิดขึ้นมาหลังไม่ได้ยุ่งกับมันมาสักพักใหญ่แล้ว ตัวอย่างเอกสารราชการที่ลุงเพิ่มให้มาทำเอาเขาต้องรื้อวิชาจนมึนหัว ภาพถ่ายถูกดาวน์โหลดลงเครื่องแล้วจัดวางบนเอกสาร
ภาษาทางการเป็นสิ่งไม่คุ้นเคย เขาต้องพิมพ์ไปหาข้อมูลไป มันกินเวลามากเกินควรจากคิดว่าชั่วโมงเดียวน่าจะเสร็จเรียบร้อย แต่แทนไทกลับใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงในการทำหนังสือราชการเพียงเรื่องเดียว
“ไอ้แทนมากินข้าว”
“อ่า ครับ” แทนไทรับคำก่อนเหลือบมองเวลามุมจอคอมพิวเตอร์ นี่เขานั่งอยู่หน้าคอมนานเท่าไหร่แล้วนะ ดูท่าต้องปริ้นที่ร้านพรุ่งนี้แล้วล่ะ คืนนี้ขอพักก่อน
ชายหนุ่มผู้ไม่เคยสัมผัสกับหน่วยงานราชการจริงจังวันนี้ก้าวเข้ามาถึงห้องประชาสัมพันธ์องค์การบริหารส่วนจังหวัดเรียบร้อยแล้ว
“สวัสดีครับ พอดีผมมาส่งเอกสารครับ” แทนไทกมือไหว้พนักงานรุ่นใกล้เคียงกับมารดา
“ห้องไหนล่ะ”
“เอ่อ” แทนไทอึกอัก เขาไม่ได้ถามลุงเพิ่มเลยว่าต้องส่งที่ไหน ออกจากร้านเอกสารได้ก็ตรงดิ่งมาที่นี่เลยเพราะเขาลางานได้แค่ครึ่งวัน
“อ้าว ไม่รู้ห้องแล้วจะส่งถูกได้ไง ไหนเอาเอกสารมาให้พี่ดูสิ” พนักงานรุ่นเดียวกับแม่แทนตัวเองได้น่ารักน่าชัง
“นี่ครับพี่” แทนไทตามน้ำ
“อ้าว นี่ต้องเอากลับไปแก้นะ”
“อะไรนะครับ แก้อะไรเหรอครับ” แทนไทหายใจเริ่มไม่คล่อง ความผิดพลาดของตัวเองทำหัวใจตุ่ม ๆ ต่อม ๆ
“นี่มีคำผิดนะ อันนี้ไม่ต้องใส่เพราะเลขที่เอกสารต้องมาลงที่เล่มนี้ แล้วก็รูปถ่ายไม่ต้องปรินต์ใส่กระดาษ หนุ่มต้องไปล้างรูปแล้วเอามาแปะนะ อีกอย่างกั้นหน้ากั้นหลังแบบนี้ไม่ผ่านนะ ต้องตั้งประมาณนี้” ปากกาสีแดงขีดเขียนเต็มกระดาษที่นั่งทำมาทั้งคืนอย่างกับว่ามันไม่มีค่าอย่างไรอย่างนั้น
“ต้องแก้หมดเลยเหรอครับ”
“แก้สิ มันเป็นหนังสือราชการ หนุ่มไปแก้ก่อนค่อยเอามาส่งใหม่นะ” พนักงานราชการส่งยิ้ม ใบหน้าจืดเจื่อนของผู้คนเธอเห็นมาจนชินแล้วแถมยังเคยโดนต่อว่าด้วยซ้ำ
“ครับ เดี๋ยวผมแก้ให้” ชายหนุ่มถือกระดาษแผ่นนั้นกลับไปไซต์งานด้วย เนื่องจากระยะทางจากอำเภอไปจังหวัดใช้เวลาพอสมควร
หลังเลิกงานแทนไทก็ตรงดิ่งไปยังร้านถ่ายรูป ดีหน่อยที่การล้างรูปดิจิตอลไม่ต้องรอนานเหมือนฟิล์ม ถึงบ้านได้ก็ขลุกอยู่ในห้อง เขาอยากทำมันให้เสร็จจนลืมเวลากินข้าวเย็นสนิทใจกว่าจะรู้ตัวก็เกือบเที่ยงคืน
แทนไทวนวัฏจักรชีวิตซ้ำรอยเมื่อวานอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้คนรับหนังสือของเขาเป็นเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาซึ่งไม่ได้คร่ำเคร่งอะไรมากนัก
“เอ่อ แล้วเรื่องที่ส่งวันนี้ผมจะได้คำตอบเมื่อไหร่เหรอครับ”
“อืม น่าจะประมาณสองอาทิตย์ค่ะ ถ้าส่งเมื่อวานก็น่าจะทันอยู่ พอดีนายกต้องไปอบรมที่กรุงเทพด้วยค่ะ” หญิงสาวตอบ
“อ๋อ ครับ งั้นเดี๋ยวผมค่อยมาตามเรื่องทีหลังครับ”
“ค่ะ”
แทนไทออกจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดด้วยใจไม่เป็นสุขเท่าใดนัก เขาต่อว่าตัวเองที่ทำงานช้าเลยทำให้หมู่บ้านได้ไฟส่องถนนช้าไปด้วย
สองอาทิตย์ถัดมา
“อ้าว มาตามเอกสารเหรอหนุ่ม” พนักงานราชการรุ่นแม่ร้องถาม
“ครับ ผมอยากรู้ว่ามันถึงไหนแล้ว” แทนไทถามพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู วันนี้เขาขอเข้าสายไม่ได้ลางานเลยกลัวว่าจะไปไซต์งานไม่ทัน
“อ้อ นายกยังไม่ได้เซ็นเลย แล้วนี่มีใครโทรหาหรือเปล่า เห็นนายกเขียนว่าให้โทรหาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว”
“ไม่มีใครโทรมาเลยครับ” แทนไทขมวดคิ้วแน่น หากมีคนโทรแจ้งจริงเขาคงลางานเป็นเรื่องเป็นราวไปแล้ว
“เอางี้ อยู่รอเจอนายกเลยไหมจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาอีก”
“เอ่อ ก็ได้ครับ” แทนไทเห็นว่าเรื่องน่าจะจบง่ายเขาเลยโทรไปลางานแล้วนั่งรออยู่ตรงนั้นนานเกือบสองชั่วโมง
“หนุ่ม ๆ” แทนไทดีดตัวลุกขึ้นทันที
“วันนี้นายกไม่เข้ามาแล้วนะ กลับก่อนได้เลย”
“ฮะ!”
“ไว้ค่อยมาใหม่นะ เดี๋ยวพี่ให้คนโทรนัด” พนักงานรุ่นแม่ยิ้มเจื่อน
“เฮ้อ พี่ครับผมถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ ที่นี่ทำงานกันแบบนี้เหรอครับ”
“ระบบราชการมันก็แบบนี้แหละหนุ่ม ทุกอย่างต้องรอแล้วก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอน ตามลำดับชั้น” พนักงานราชการเองก็อ่อนใจกับระบบการทำงานเช่นกัน
“สมมติว่ามีเรื่องด่วนแล้วชาวบ้านแก้กันเองล่ะครับ มันจะเป็นยังไง” เขาถามส่วนที่ค้างคาใจ
“ถ้ามันเรื่องเล็กก็ดีไป แต่ถ้าเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยอย่างสะพานที่หนุ่มกับชาวบ้านซ่อมน่ะมันก็ไม่ได้ ต้องให้ช่างที่มีความรู้ทำ อบต.ก็ต้องตั้งงบแล้วก็มาขอที่นี่”
“แต่ถ้าทำแบบนั้นมันก็ยิ่งอันตรายไม่ใช่เหรอครับ” แทนไทพูดความในใจ
“หนุ่มเคยได้ยินคำนี้ไหม ถูกใจ กับ ถูกต้อง ขึ้นอยู่ที่ว่าจะเลือกอะไร ระบบราชการมันไม่เอื้อต่อคำว่าถูกใจและรวดเร็วหรอก”
พนักงานราชการคือผู้ที่สัมผัสกับระบบมากกว่านักการเมืองที่อยู่กับมันแค่ไม่กี่ปี ดังนั้นสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดมาย่อมเป็นความจริง แทนไทนั่งมองถนนที่ตนกำลังสร้างในไซต์งานแล้วตั้งคำถามว่า ‘ถ้าใจพร้อม แต่ระบบไม่พร้อม แล้วแบบนี้เราจะเริ่มยังไง’
แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านผ้าม่านสีอ่อนในบ้านไม้สองชั้นหลังเดิมของวิไล หญิงร่างเล็กในวัยชราเดินออกมายังระเบียงหน้าบ้าน หยิบวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเก่าที่เปิดฟังเป็นประจำมานั่งฟังข่าวยามเช้า ท่ามกลางเสียงไก่ขัน เสียงลมพัดผ่านยอดไม้ วิไลทอดสายตามองไปยังถนนดินเล็ก ๆ ที่ทอดยาวออกจากหมู่บ้าน ผู้เป็นแม่เฝ้ามองอยู่ทุกวัน ไม่ใช่เพราะเธอคาดหวังจะเห็นลูกชายกลับบ้านโดยไม่บอกกล่าว แต่เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่ลูกชายของเธอเคยใช้ก้าวออกไปสู่โลกกว้าง“แทน เอ็งสู้ไหวไหมลูก..” วิไลพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ขณะที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา มองหน้าจอแชตกับลูกชายคนเดียวที่เธอรักที่สุดแทนไท ในวัยสามสิบปลาย ๆ เจ้าหน้าที่วิศวกรชำนาญการพิเศษของกรมทางหลวง หลังจากถูกตักเตือนอย่างเป็นทางการด้วยเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว เขากลับไม่ได้เสียขวัญ หากแต่เขาได้นำเอาเหตุการณ์นั้นกลับมาเป็นบทเรียนสำคัญที่หล่อหลอมวิธีคิดและการวางแผนของเขาให้รอบคอบมากยิ่งขึ้นเช้าวันนี้ แทนไทนั่งอยู่ในห้องทำงานเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยแผนที่ภูมิประเทศ กระดาษโน้ต และหนังสือวิชาการเกี่ยวกับวิศวกรรมโยธา เขาหยิบแผนที่เดิมขึ้นมาดูอีกครั้ง เส้นทางสายที่เขาอยาก
แสงแดดยามเช้าของวันจันทร์ลอดผ่านม่านหน้าต่างห้องทำงานที่แทรกตัวอยู่กลางอาคารสำนักงานโยธาธิการและผังเมือง แทนไทนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ด้วยใบหน้าหนักแน่นกว่าทุกวัน ถึงแม้เขาจะเพิ่งผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจจากบทลงโทษทางวินัยในมาในช่วงก่อนหน้า แต่สายตาของเขายังคงเต็มเปี่ยมด้วยเป้าหมายและแรงผลักดันเหมือนเดิมเขาเปิดแฟ้มโครงการที่เคยนำเสนอลงบนโต๊ะ พลางไล่สายตาอ่านบันทึกการประชุมครั้งล่าสุด พร้อมกับเปิดเครื่องบันทึกเสียงจากมือถือเพื่อทบทวนคำพูดที่ลุงทวีเคยพูดไว้“ในชีวิตข้าทำงานสายนี้มาก็หลายสิบปี ไอ้ที่สำคัญไม่ใช่แค่ถนนจะตัดตรงไหน แต่มันอยู่ที่ว่าเราทำเพื่อใครต่างหากล่ะ”คำพูดนั้นยังดังก้องอยู่ในใจของเขาเสมอเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น“แทน ผมขอเข้าไปหน่อยนะ” เสียงของหัวหน้าเอ่ยดังขึ้นจากหน้าห้อง“เชิญครับหัวหน้า” แทนไทลุกขึ้นยืนด้วยความเคารพหัวหน้าก้าวเข้ามาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนตามแบบฉบับของผู้ที่ผ่านประสบการณ์มานับไม่ถ้วน“แทน ผมชี้แจงบทลงโทษเกี่ยวกับรายงานของจังหวัดนั้นแล้วนะ เรื่องที่เขาแจ้งเตือนพฤติกรรมคุณ”แทนไทพยักหน้ารับเบา ๆ“ผมผิดเองครับหัวหน้า ผมใจร้อนไปหน่อย ผมอยากให้ชาวบ้านมีทางเดิน
ท้องฟ้ายามเช้าของเมืองหลวงยังคงครึ้มเทา แม้ไม่มีฝนตก แต่เมฆสีหม่นนั้นก็ทำให้บรรยากาศดูอึมครึมและกดดันไม่ต่างจากจิตใจของแทนไทในเวลานี้ รถยนต์คันเดิมที่เขาขับอยู่แล่นไปบนถนนด้วยความเร็วคงที่ ใจของเขาหนักอึ้งกว่าที่เคยเป็นมาในช่วงหลายเดือนเมื่อคืนเขาใช้เวลาคิดอยู่ทั้งคืน ว่าเขาควรทำอย่างไรดีหลังจากที่ข่าวลือเริ่มแพร่สะพัดไปถึงระดับจังหวัดว่ามีวิศสวกรจากสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองคนหนึ่งลงมือสร้างถนนเส้นทางลัดในพื้นที่ยังไม่ผ่านการอนุมัติให้สร้าง ซึ่งนั่นหมายถึงตัวเขาโดยตรง และแทนไทก็ไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่จนนำไปสู่การฟ้องร้องหรือคดีความ เขาจึงตัดสินใจจะเดินทางไปที่สำนักงานจังหวัดในเช้าวันนี้ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และพร้อมยอมรับฟังทุกคำตักเตือนเมื่อรถของแทนไทมาถึงหน้าอาคารสำนักงาน เขาก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะก้าวออกจากรถพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องในมือ แม้จะรู้ดีว่าในทางระเบียบนั้นตนเองพลาดที่ลงมือก่อนคำอนุมัติ แต่หัวใจของเขาก็ยังมั่นคงว่าตนเองกระทำไปเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของชาวบ้านและส่วนรวมทั้งสิ้นเขาถูกเรียกให้เข้าไปยังห้องประชุมชั้นสามของอาคาร หน้าห้องมีป้ายเล็ก ๆ ติด
ช่วงเช้าของวันหยุดยาว แทนไทขับรถกระบะเก่า ๆ ที่เขาผูกพันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ออกจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเล็ก ๆ ในจังหวัดบ้านเกิด สองข้างทางเป็นทุ่งนาเขียวขจี ฝนที่ตกลงมาเมื่อคืนก่อนทำให้ผิวดินยังชุ่มชื้นและมีกลิ่นสดชื่นของธรรมชาติอบอวลในอากาศบ้านของแทนไทอยู่ในชุมชนที่ชื่อว่า ‘บ้านดอนกลาง’ เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากชายแดนของเขตอำเภอ พื้นที่ส่วนใหญ่ของหมู่บ้านนี้เป็นทุ่งนา สวนผลไม้ และป่าชุมชนที่ยังคงรักษาความเป็นธรรมชาติเอาไว้อย่างดี แทนไทจอดรถหน้าบ้านไม้ใต้ถุนสูงของแม่วิไล หญิงวัยหกสิบต้น ๆ ที่ยังแข็งแรงและขยันขันแข็งเหมือนเช่นทุกวัน“แม่! แทนมาแล้วครับ” แทนไทร้องเรียกขณะที่เดินขึ้นบันไดบ้าน กลิ่นข้าวสวยหอมกรุ่นลอยมากระทบจมูก“อ้าว แทนมาแล้วเหรอ มาทันกินข้าวพอดีเลย” วิไลยิ้มกว้าง รินน้ำใส่แก้วให้ลูกชาย ก่อนจะยกหม้อข้าวและแกงส้มมาวางลงบนโต๊ะไม้กลางบ้านหลังจากนั่งทานข้าวและพูดคุยถึงชีวิตในกรุงเทพฯ ได้สักพัก วิไลก็เปรยเรื่องหนึ่งที่ทำให้แทนไทตั้งใจฟังมากขึ้น“ช่วงนี้ผู้ใหญ่บ้านเขาไปยื่นเรื่องของงบประมาณเพื่อทำถนนจากโรงเรียนไปตลาดใหญ่นะลูก แต่ก็โดนปฏิเสธมาแล้วสอ
แสงแดดยามเช้าลูบไล้ปลายใบไม้เบา ๆ ขณะที่สายลมฤดูร้อนพัดผ่านราวกับกำลังกระซิบบอกแทนไทว่า ถึงเวลาที่ต้องกลับมาลุยอีกครั้งแล้ว หลังจากใช้เวลาในภาคใต้เพื่อพักกายพักใจ เขาก็กลับมายังห้องทำงานเล็ก ๆ ในสำนักงานกรมโยธาแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ สถานที่ที่เขาคุ้นเคย ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ยกเว้นเพียงแค่ความคิดและหัวใจของเขาที่เปลี่ยนไปบนโต๊ะทำงานมีแผนที่เก่าใบหนึ่งที่เขาพับไว้อย่างทะนุถนอม มันคือแผนที่ที่ลุงทวีเคยส่งมอบให้ ซึ่งกลายเป็นเหมือนแสงไฟนำทางให้เขาอีกครั้งแทนไทเปิดแผนที่ใบนั้นออก กระดาษเก่ากรอบที่มีรอยพับตามกาลเวลาเผยให้เห็นลายเส้นทางเก่าที่บางส่วนถูกลืมไปจากระบบราชการปัจจุบัน เขาจ้องมองมันราวกับจะมองทะลุเข้าไปยังอดีตของถนนสายที่ไม่เคยได้ถูกสร้าง“ลุงครับ เส้นทางตรงจุดนี้ ถ้าผมต่อมันเข้ากับทางสายหลัก จะช่วยให้ชาวบ้านบนดอยเดินทางลงมาโรงพยาบาลได้สะดวกขึ้นจริง ๆ ใช่ไหมครับ” แทนไทเอ่ยถามผ่านสายโทรศัพท์เสียงของลุงทวีจากปลายสายฟังดูอบอุ่นแม้จะผ่านระยะทางไกล“ใช่ แถวนี้ลุงเคยลงพื้นที่เองเมื่อสิบกว่าปีก่อน มันเป็นทางดินเก่า บางช่วงเป็นแค่ทางเดินสัตว์ แต่ถ้าทำจริง มันจะเปลี่ยนชีวิตคนได้เลยนะ แค่ม
เสียงลมหายใจของทะเลกระทบฝั่งดังเป็นจังหวะช้า ๆ แผ่วเบา แทนไทยืนอยู่บนชายหาด มองเส้นขอบฟ้าที่ค่อย ๆ กลืนแสงสีทองของพระอาทิตย์ยามเย็นเข้าไปในม่านฟ้าสีส้มอมชมพู หลังจากวันที่ยาวนานและเต็มไปด้วยความคิด ฟ้าสีนี้คล้ายกับกำลังปลอบประโลมหัวใจของเขาให้เบาลง อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้“สวยใช่ไหมคะ” เสียงของดาวดังแว่วมาจากด้านข้าง หญิงสาวในชุดเดรสผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดตาเดินเท้าเปล่าลงบนผืนทราย เธอส่งยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่ไม่ต้องพยายามแต่งแต้มมองทีไรก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจจนใจเขาสั่น“ครับ พี่ไม่เคยรู้เลยว่าแค่ฟังเสียงคลื่นกับดูพระอาทิตย์ตกมันจะทำให้รู้สึกสงบได้ขนาดนี้” แทนไทตอบ เขาไม่ได้พูดเล่นเลย ถึงแม้จะเคยเดินทางมาแทบทุกภาคของประเทศ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ความเหนื่อยล้าจะหลุดออกไปจากใจจากกายง่ายเท่าครั้งนี้ดาวยิ้มอีกครั้ง พลางเดินนำเขาไปนั่งที่เปลผ้าริมชายหาดใต้ต้นสนทะเลที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ เธอหยิบกระบอกน้ำไม้ไผ่ออกมายื่นส่งให้“น้ำสมุนไพรเย็น ๆ ค่ะ ดาวทำเอง รับประกันพี่จะสดชื่นหายเหนื่อยแน่นอน”แทนไทหัวเราะเบา ๆ “ขอบคุณครับ น้องดาวดูจะเตรียมตัวมาดีจัง”“แน่นอนสิคะ ดาวเป็นไกด์ประจำเ