“ไอ้แทนโว้ย ไอ้แทนมึงดังใหญ่แล้วโว๊ย!!” เสียงของวิทยาร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังลั่นไปทั่วไซต์งานในเช้าวันหนึ่ง
แทนไทหันตามเสียงเอะอะของเพื่อนที่กำลังชูม้วนกระดาษอะไรบางอย่างไปมา ท่าทางของมันเหมือนเด็กอวดขนมไม่มีผิด
“อะไรของมึงวะไอ้วิทย์”
“มึงดูนี่” วิทยานั่งลงกับพื้นดินข้างแทนไทแล้วกางม้วนกระดาษออก มันคือหนังสือพิมพ์ของจังหวัดที่ลงข่าวทั่วไป ซึ่งหนึ่งในนั้นมีหัวข้อไม่ใหญ่ไม่เล็กแต่สะดุดตาอยู่หัวข้อหนึ่งที่เขียนว่า ‘ช่างแทนผู้ไม่รอใคร’ พร้อมภาพของเขาขณะที่กำลังตอกตะปูซ่อมแผ่นไม้บนสะพาน
“กูไปอยู่ในนั้นได้ไงวะ แล้วนี่นึกยังไงตีข่าวเรื่องกูเนี่ย เดี๋ยวลุงเพิ่มก็มากินหัวกูอีกหรอก” แทนไททั้งดีใจและกลุ้มใจในเวลาเดียวกัน
“มึงจะคิดมากไปทำไมวะ ยังไงก็เป็นเรื่องดี เอ้า นี่เก็บไว้เป็นที่ระลึก” วิทยายื่นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นใส่มือเพื่อนรัก
“อืม”
หลังเลิกงานแทนไทเอาสิ่งนั้นให้ผู้เป็นแม่ดู แน่นอนว่าวิไลดีใจจนเอาไปโม้ให้ข้างบ้านฟังแทบจะทันที ชายหนุ่มส่ายหัวให้วิไลแต่หัวใจกลับมีความสุขอย่างประหลาด
แรงกระเพื่อมจากสื่อเล็ก ๆ ใครจะไปคิดว่าจะสามารถลุกลามกลายเป็นสื่อหลักตามลงมาสัมภาษณ์เขาออกทีวี ตอนแรกเขาตั้งใจปฏิเสธแต่วิไลไม่เห็นด้วย สกู๊ปข่าวฉายไม่ถึงหนึ่งนาทีของเขาทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของส่วนราชการระยะหนึ่ง ความคิดเห็นมากมายแสดงใต้คลิปในอินเทอร์เน็ต ทำให้แทนไทหยุดไปไซต์งานและไม่ออกจากบ้านอยู่สองสามวัน
“แม่ไม่รู้ว่ามันจะไปกันใหญ่ขนาดนี้” วิไลรู้สึกผิดที่ไม่เชื่อลูกชาย
“ไม่เป็นไรครับแม่ ได้พักบ้างก็ดี” แทนไทปลอบผู้เป็นแม่ ถึงเขาจะไม่ได้คิดแบบนั้นก็ตามทีเถอะ
คืนนั้นแทนไทหอบข้าวของออกมานอนชานบ้านอีกครั้ง ดูเหมือนการได้รับลมเย็น ๆ และมองท้องฟ้ายามค่ำคืนผ่านผ้ามุ้งผืนบางจะช่วยคลายความตึงเครียดในใจได้อยู่บ้าง
มือหนาหยาบกดโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่ามีหนังยางรัดห้าหกเส้นกันแผงจอหลุดออกจากกรอบหัก ๆ ขึ้นมา โชคดีที่มันยังทำงานได้ตามสภาพ แทนไทเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อดูคลิปข่าวของตัวเอง ก่อนหน้านี้เขาเคยดูครั้งสองครั้ง แต่เพราะเขาไม่เคยมีประสบการณ์ได้รับความคิดเห็นต่าง ๆ ในโซเซียลมาก่อน และเมื่อเห็นความคิดเห็นด้านลบเขาเลยหลีกหนีด้วยการไม่เปิดมันขึ้นมา... ทว่าครั้งนี้เขาพร้อมแล้ว
แทนไทไล่สายตาอ่านมันทีละข้อความ ส่วนใหญ่เป็นการต่อว่าระบบของรัฐที่ล่าช้ามากกว่า ตามมาด้วยความชื่นชมการกระทำของเขา มีเพียงไม่กี่ข้อความที่ตำหนิกล่าวหาว่าเขาทำเอาหน้าและต้องการชื่อเสียง ชายหนุ่มทอดถอนใจแต่ก็ไม่ได้ย่อท้อกับมันมากนัก จนกระทั่งสะดุดเข้ากับความคิดเห็นสองสามข้อความ
‘ไม่รู้ว่าได้มาตรฐานหรือเปล่า’
‘ช่างไม่มีความรู้แบบนั้นถ้าเกิดผลเสียตามมาใครจะรับผิดชอบ’
‘เด็กคนนี้คิดดีนะ แต่น่าเสียดาย ถ้ามีแบบอย่างที่ถูกต้องอนาคตคงไปได้ไกลแน่’
‘อยากให้น้องเขาได้เรียนต่อจัง ถ้าได้คนดีมาทำงาน ถนนบ้านเราคงดีกว่านี้’
แทนไทอ่านข้อความเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมาเพื่อตกตะกอนความคิดของตนเอง บางทีเขาอาจจะทำมันก็ได้ ชายหนุ่มเลิกมุ้งบางขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง เขาเปิดลิ้นชักหัวเตียงไม้เก่า ๆ ของตัวเองแล้วหยิบสมุดบัญชีเล่มน้อยออกมา เพ่งพิจารณามองมันอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจวางมันไว้ข้างนอก
ชานบ้านชั้นสองของเขาร่มรื่นสวยงามยามเย็นแต่ร้อนมากในตอนเช้า เพราะรับแสงอาทิตย์เต็มใบ แทนไทเก็บข้าวของเข้าห้องด้วยใบหน้าหงิกงอเนื่องจากคิดอะไรไปเรื่อยจนดึก
“แทนวันนี้ก็ไม่ไปทำงานเหรอ” วิไลถามหลังเห็นลูกชายเดินหน้าง่วงลงมาจากบันไดบ้าน
“ไม่ไปครับ” แทนไทหยิบปาท่องโก๋เข้าปากแล้วเช็ดมันบนเสื้อของผู้เป็นแม่
“มาเช็ดเสื้อแม่ทำไม ไอ้เด็กคนนี้นี่” วิไลบ่นอุบแต่ก็ไม่ได้โกรธเคือง
“แม่ครับ ผมอยากเรียนต่อครับ” อยู่ดี ๆ แทนไทก็โพล่งทะลุขึ้นกลางปล้องอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“อายุขนาดนี้มหาวิทยาลัยเขาจะให้เข้าเรียนเหรอ” วิไลเป็นคนยุคเก่าเลยไม่รู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับการศึกษาของไทยปัจจุบัน
“เรียนได้ครับแม่ แต่ว่าถ้าผมไปเรียนผมต้องอยู่ไกลแม่” เขาห่วงมารดาสูงวัยที่ต้องอยู่เพียงลำพัง
“งั้นก็ไปสิ” แต่ทางเดินของลูกมีหรือที่คนเป็นแม่จะขัดขวาง
แทนไทจ้องมองใบหน้าของผู้เป็นแม่อยู่พักใหญ่ “แม่พูดจริงเหรอครับ”
“เอ้า เอ็งเห็นข้าเป็นคนชอบพูดเล่นหรือไง” วิไลส่ายหน้าไปมา
“แต่แม่ได้ยินที่ผมบอกใช่ไหมครับ ว่าถ้าผมไปเรียนผมก็ต้องไปอยู่ไกลแม่” แทนไทยังคงพูดย้ำประโยคเดิม
“เออ ได้ยินสิวะ ข้าไม่ได้หูตึงนะ”
“แล้วใครจะดูแลแม่ล่ะถ้าผมไป”
วิไลได้ยินคำพูดของลูกชายแบบนั้นก็หัวเราะ
“ไอ้แทน ข้าดูแลตัวเองได้ แม่เอ็งดูเหมือนคนแก่ขนาดนั้นเลยเรอะ อีกอย่างข้าก็ยังแข็งแรงดี ที่ผ่านมาข้าไม่มีปัญญาส่งเสียให้เอ็งเรียนสูง ๆ ได้ มาถึงตอนนี้เอ็งโตมีงานทำ มีกำลังพอที่จะส่งเสียตัวเองเรียนได้แล้ว ถ้าตอนนี้มันยังพอทำได้ เอ็งก็ไปทำตามความฝันของเอ็งเถอะนะ แม่อยู่ได้”
แทนไทมองผู้เป็นแม่ด้วยแววตาซาบซึ้ง เขารู้สึกว่าขอบตาเริ่มร้อนผ่าว ที่ผ่านมาเข้าไม่เคยโกรธเคืองผู้เป็นแม่เลยที่ส่งเสียเขาได้เพียงแค่นั้น
“ขอบคุณนะครับแม่”
จากนั้นเพียงไม่นาน... ชายหนุ่มก็ก้าวเข้าสู่เมืองหลวงและเลือกศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโยธาในมหาวิทยาลัยที่เงินเก็บจากการทำงานของเขาพอจะเอื้ออำนวย แม้เขาจะกลายเป็นคนอายุมากสุดในชั้นปีแต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการศึกษา แถมยังได้เปรียบเนื่องจากมีประสบการณ์จากไซต์งานมาพอสมควร คณาจารย์เองก็มองเห็นจุดนี้ของเขาจึงได้ชักชวนให้ลงแข่งขันระดับมหาวิทยาลัยซึ่งมีการจัดทุกปี
ปีแรกแทนไทได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับสองจากหัวข้อ โครงงานออกแบบโครงสร้างอาคาร
ปีที่สอง แทนไทคว้ารางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งจากหัวข้อ การสร้างแบบจำลองระบบขนส่ง
ปีที่สาม ตำแหน่งชนะเลิศอันดับหนึ่งการออกแบบสะพานเหล็ก
และปีที่สี่... ปีสุดท้ายนี้นอกจากโครงการคอนกรีตมวลเบาแล้ว แทนไทยังก้าวเป็นตัวแทนประเทศไทยในการแข่งขันสะพานเหล็กจำลองแห่งเอเชีย (Asia Bridge Competition) ที่จัดขึ้น ณ โตเกียวประเทศญี่ปุ่น ซึ่งแทนไทสามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศอันดับ 1 มาไว้ในมือ สร้างชื่อเสียงจนวิไลเอาไปโม้ทั่วอำเภอและทุกครั้งที่เห็นหน้าอัมพรและบุญเพิ่ม
แทนไทถูกจองตัวโดยบริษัทเอกชนตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ทว่าเขาก็ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกที่ใดที่หนึ่ง นั่นก็เพราะความคิดเห็นใต้คลิปของเขายังคงตราตรึงในหัวใจอยู่เสมอ
“แทนไท อาจารย์ได้ข่าวมาว่าเรายังไม่ได้เลือกทำงานที่ไหนเหรอ” อาจารย์ประจำสาขาถามลูกศิษย์ด้วยความเป็นห่วง
“ยังเลยครับ” แทนไทยิ้มเจื่อน
“เอางี้ไหม หลังได้ใบอนุญาตภาควิศวกรแล้วลองไปสอบที่กรมทางหลวงไหม ตอนนี้เห็นว่ากำลังรับสมัครวิศวกรโยธาอยู่พอดี”
“จริงเหรอครับอาจารย์ ผมลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง ผมขอตัวก่อนนะครับ” แทนไทดีดตัวออกจากม้านั่งทันที
ปีนั้นแทนไทสามารถสอบเข้าเป็นวิศวกรโยธาปฏิบัติการของกรมทางหลวงได้สำเร็จ ด้วยรางวัลและเกียรติบัตรที่ได้รับ เขาค่อย ๆ สร้างผลงานทีละเล็กทีละน้อยสะสมไปเรื่อย ๆ บวกกับแรงสนับสนุนจากคณาจารย์ที่เอ็นดูเขามาตลอด ทำให้เขาก้าวเข้าสู่กรมทางหลวงอย่างมั่นคงและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการโยธา
หลายจังหวัดที่ต้องการพัฒนาเส้นทางใหม่และสร้างภูมิทัศน์ให้เหมาะสมกับเมืองท่องเที่ยวมักเรียกร้องต่อหน่วยงานของรัฐให้แทนไทเป็นผู้ออกแบบอยู่เสมอ แม้จะไม่ทั้งหมดแต่ก็พบเห็นได้บ่อยครั้งตามเส้นทางหลัก
ห้าปีต่อมา... แทนไทก็คว้าใบวุฒิวิศวกรมาไว้ในมือได้สำเร็จ ซึ่งมันคือระดับสูงสุดของใบอนุญาต หลังจากนี้แทนไทสามารถรับผิดชอบโครงการขนาดใหญ่และซับซ้อนได้ ขอบเขตงานไม่มีข้อจำกัดอีกต่อไป ทั้งยังพาตัวเองก้าวสู่ตำแหน่งวิศวกรโยธาชำนาญการพิเศษ สำนักสำรวจและออกแบบของกรมทางหลวงอีกด้วย
นับตั้งแต่ที่เขาชนะการแข่งขันระดับมหาวิทยาลัยมาจนถึงตอนนี้ ทุกครั้งที่กลับบ้าน การตามหาวิไลมักเป็นภารกิจหลักเนื่องจากมารดาไม่เคยหยุดโม้เรื่องของเขาเลยสักวัน
“สวัสดีครับลุงเพิ่ม” แทนไทกมือไหว้บุญเพิ่มอดีต อบต.
“เอ้อ แหม กลับมาคราวนี้มีสง่าราศีขึ้นเยอะเลยนะ ผิดกับตอนทำงานก่อสร้างลิบลับเลย” อัมพรเอ่ยแทรกบทสนทนา
“ครับ” แทนไทตอบกลับสั้น ๆ เพราะอีกไม่นานพลังงานบวกเชิงลบของมารดาก็คงตอบแทนเขาเช่นเคย
“แน่นอนอยู่แล้ว ลูกข้าทั้งหล่อ ทั้งเก่ง นี่มันได้ใบอนุญาตใบใหม่มาแล้วนะ เขาเรียกอะไรนะ ไอ้แทน อ้อ ใบวุฒิวิศวกร ฮ่าฮ่า” วิไลได้ทีเสียงดังยกใหญ่ทำเอาคนแถวนั้นหัวเราะตาม
“ท่าจะอีกนาน ไปนั่งกินโอเลี้ยงกับข้าไหม” บุญเพิ่มกระทุ้งศอกสะกิดแทนไท เพราะดูจากท่าทางแล้วบรรดารุ่นแม่คงจะใช้เวลาพูดคุยกันอีกพักใหญ่
“ไปครับ ลุงเพิ่มเลี้ยงนะครับ”
“วะ ไอ้นี่ ทำงานใหญ่โตแล้วยังให้ข้าเลี้ยงอีก” บุญเพิ่มบ่นกระเง้ากระงอดแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ แทนไทอมยิ้มแล้วเดินตามชายผู้ล่วงเข้าสู่วัยชราไป ปล่อยให้วิไลโม้เรื่องของเขาต่อไปจนกว่าจะคอแห้งและหยุดไปเอง
แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านผ้าม่านสีอ่อนในบ้านไม้สองชั้นหลังเดิมของวิไล หญิงร่างเล็กในวัยชราเดินออกมายังระเบียงหน้าบ้าน หยิบวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเก่าที่เปิดฟังเป็นประจำมานั่งฟังข่าวยามเช้า ท่ามกลางเสียงไก่ขัน เสียงลมพัดผ่านยอดไม้ วิไลทอดสายตามองไปยังถนนดินเล็ก ๆ ที่ทอดยาวออกจากหมู่บ้าน ผู้เป็นแม่เฝ้ามองอยู่ทุกวัน ไม่ใช่เพราะเธอคาดหวังจะเห็นลูกชายกลับบ้านโดยไม่บอกกล่าว แต่เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่ลูกชายของเธอเคยใช้ก้าวออกไปสู่โลกกว้าง“แทน เอ็งสู้ไหวไหมลูก..” วิไลพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ขณะที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา มองหน้าจอแชตกับลูกชายคนเดียวที่เธอรักที่สุดแทนไท ในวัยสามสิบปลาย ๆ เจ้าหน้าที่วิศวกรชำนาญการพิเศษของกรมทางหลวง หลังจากถูกตักเตือนอย่างเป็นทางการด้วยเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว เขากลับไม่ได้เสียขวัญ หากแต่เขาได้นำเอาเหตุการณ์นั้นกลับมาเป็นบทเรียนสำคัญที่หล่อหลอมวิธีคิดและการวางแผนของเขาให้รอบคอบมากยิ่งขึ้นเช้าวันนี้ แทนไทนั่งอยู่ในห้องทำงานเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยแผนที่ภูมิประเทศ กระดาษโน้ต และหนังสือวิชาการเกี่ยวกับวิศวกรรมโยธา เขาหยิบแผนที่เดิมขึ้นมาดูอีกครั้ง เส้นทางสายที่เขาอยาก
แสงแดดยามเช้าของวันจันทร์ลอดผ่านม่านหน้าต่างห้องทำงานที่แทรกตัวอยู่กลางอาคารสำนักงานโยธาธิการและผังเมือง แทนไทนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ด้วยใบหน้าหนักแน่นกว่าทุกวัน ถึงแม้เขาจะเพิ่งผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจจากบทลงโทษทางวินัยในมาในช่วงก่อนหน้า แต่สายตาของเขายังคงเต็มเปี่ยมด้วยเป้าหมายและแรงผลักดันเหมือนเดิมเขาเปิดแฟ้มโครงการที่เคยนำเสนอลงบนโต๊ะ พลางไล่สายตาอ่านบันทึกการประชุมครั้งล่าสุด พร้อมกับเปิดเครื่องบันทึกเสียงจากมือถือเพื่อทบทวนคำพูดที่ลุงทวีเคยพูดไว้“ในชีวิตข้าทำงานสายนี้มาก็หลายสิบปี ไอ้ที่สำคัญไม่ใช่แค่ถนนจะตัดตรงไหน แต่มันอยู่ที่ว่าเราทำเพื่อใครต่างหากล่ะ”คำพูดนั้นยังดังก้องอยู่ในใจของเขาเสมอเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น“แทน ผมขอเข้าไปหน่อยนะ” เสียงของหัวหน้าเอ่ยดังขึ้นจากหน้าห้อง“เชิญครับหัวหน้า” แทนไทลุกขึ้นยืนด้วยความเคารพหัวหน้าก้าวเข้ามาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนตามแบบฉบับของผู้ที่ผ่านประสบการณ์มานับไม่ถ้วน“แทน ผมชี้แจงบทลงโทษเกี่ยวกับรายงานของจังหวัดนั้นแล้วนะ เรื่องที่เขาแจ้งเตือนพฤติกรรมคุณ”แทนไทพยักหน้ารับเบา ๆ“ผมผิดเองครับหัวหน้า ผมใจร้อนไปหน่อย ผมอยากให้ชาวบ้านมีทางเดิน
ท้องฟ้ายามเช้าของเมืองหลวงยังคงครึ้มเทา แม้ไม่มีฝนตก แต่เมฆสีหม่นนั้นก็ทำให้บรรยากาศดูอึมครึมและกดดันไม่ต่างจากจิตใจของแทนไทในเวลานี้ รถยนต์คันเดิมที่เขาขับอยู่แล่นไปบนถนนด้วยความเร็วคงที่ ใจของเขาหนักอึ้งกว่าที่เคยเป็นมาในช่วงหลายเดือนเมื่อคืนเขาใช้เวลาคิดอยู่ทั้งคืน ว่าเขาควรทำอย่างไรดีหลังจากที่ข่าวลือเริ่มแพร่สะพัดไปถึงระดับจังหวัดว่ามีวิศสวกรจากสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองคนหนึ่งลงมือสร้างถนนเส้นทางลัดในพื้นที่ยังไม่ผ่านการอนุมัติให้สร้าง ซึ่งนั่นหมายถึงตัวเขาโดยตรง และแทนไทก็ไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่จนนำไปสู่การฟ้องร้องหรือคดีความ เขาจึงตัดสินใจจะเดินทางไปที่สำนักงานจังหวัดในเช้าวันนี้ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และพร้อมยอมรับฟังทุกคำตักเตือนเมื่อรถของแทนไทมาถึงหน้าอาคารสำนักงาน เขาก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะก้าวออกจากรถพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องในมือ แม้จะรู้ดีว่าในทางระเบียบนั้นตนเองพลาดที่ลงมือก่อนคำอนุมัติ แต่หัวใจของเขาก็ยังมั่นคงว่าตนเองกระทำไปเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของชาวบ้านและส่วนรวมทั้งสิ้นเขาถูกเรียกให้เข้าไปยังห้องประชุมชั้นสามของอาคาร หน้าห้องมีป้ายเล็ก ๆ ติด
ช่วงเช้าของวันหยุดยาว แทนไทขับรถกระบะเก่า ๆ ที่เขาผูกพันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ออกจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเล็ก ๆ ในจังหวัดบ้านเกิด สองข้างทางเป็นทุ่งนาเขียวขจี ฝนที่ตกลงมาเมื่อคืนก่อนทำให้ผิวดินยังชุ่มชื้นและมีกลิ่นสดชื่นของธรรมชาติอบอวลในอากาศบ้านของแทนไทอยู่ในชุมชนที่ชื่อว่า ‘บ้านดอนกลาง’ เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากชายแดนของเขตอำเภอ พื้นที่ส่วนใหญ่ของหมู่บ้านนี้เป็นทุ่งนา สวนผลไม้ และป่าชุมชนที่ยังคงรักษาความเป็นธรรมชาติเอาไว้อย่างดี แทนไทจอดรถหน้าบ้านไม้ใต้ถุนสูงของแม่วิไล หญิงวัยหกสิบต้น ๆ ที่ยังแข็งแรงและขยันขันแข็งเหมือนเช่นทุกวัน“แม่! แทนมาแล้วครับ” แทนไทร้องเรียกขณะที่เดินขึ้นบันไดบ้าน กลิ่นข้าวสวยหอมกรุ่นลอยมากระทบจมูก“อ้าว แทนมาแล้วเหรอ มาทันกินข้าวพอดีเลย” วิไลยิ้มกว้าง รินน้ำใส่แก้วให้ลูกชาย ก่อนจะยกหม้อข้าวและแกงส้มมาวางลงบนโต๊ะไม้กลางบ้านหลังจากนั่งทานข้าวและพูดคุยถึงชีวิตในกรุงเทพฯ ได้สักพัก วิไลก็เปรยเรื่องหนึ่งที่ทำให้แทนไทตั้งใจฟังมากขึ้น“ช่วงนี้ผู้ใหญ่บ้านเขาไปยื่นเรื่องของงบประมาณเพื่อทำถนนจากโรงเรียนไปตลาดใหญ่นะลูก แต่ก็โดนปฏิเสธมาแล้วสอ
แสงแดดยามเช้าลูบไล้ปลายใบไม้เบา ๆ ขณะที่สายลมฤดูร้อนพัดผ่านราวกับกำลังกระซิบบอกแทนไทว่า ถึงเวลาที่ต้องกลับมาลุยอีกครั้งแล้ว หลังจากใช้เวลาในภาคใต้เพื่อพักกายพักใจ เขาก็กลับมายังห้องทำงานเล็ก ๆ ในสำนักงานกรมโยธาแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ สถานที่ที่เขาคุ้นเคย ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ยกเว้นเพียงแค่ความคิดและหัวใจของเขาที่เปลี่ยนไปบนโต๊ะทำงานมีแผนที่เก่าใบหนึ่งที่เขาพับไว้อย่างทะนุถนอม มันคือแผนที่ที่ลุงทวีเคยส่งมอบให้ ซึ่งกลายเป็นเหมือนแสงไฟนำทางให้เขาอีกครั้งแทนไทเปิดแผนที่ใบนั้นออก กระดาษเก่ากรอบที่มีรอยพับตามกาลเวลาเผยให้เห็นลายเส้นทางเก่าที่บางส่วนถูกลืมไปจากระบบราชการปัจจุบัน เขาจ้องมองมันราวกับจะมองทะลุเข้าไปยังอดีตของถนนสายที่ไม่เคยได้ถูกสร้าง“ลุงครับ เส้นทางตรงจุดนี้ ถ้าผมต่อมันเข้ากับทางสายหลัก จะช่วยให้ชาวบ้านบนดอยเดินทางลงมาโรงพยาบาลได้สะดวกขึ้นจริง ๆ ใช่ไหมครับ” แทนไทเอ่ยถามผ่านสายโทรศัพท์เสียงของลุงทวีจากปลายสายฟังดูอบอุ่นแม้จะผ่านระยะทางไกล“ใช่ แถวนี้ลุงเคยลงพื้นที่เองเมื่อสิบกว่าปีก่อน มันเป็นทางดินเก่า บางช่วงเป็นแค่ทางเดินสัตว์ แต่ถ้าทำจริง มันจะเปลี่ยนชีวิตคนได้เลยนะ แค่ม
เสียงลมหายใจของทะเลกระทบฝั่งดังเป็นจังหวะช้า ๆ แผ่วเบา แทนไทยืนอยู่บนชายหาด มองเส้นขอบฟ้าที่ค่อย ๆ กลืนแสงสีทองของพระอาทิตย์ยามเย็นเข้าไปในม่านฟ้าสีส้มอมชมพู หลังจากวันที่ยาวนานและเต็มไปด้วยความคิด ฟ้าสีนี้คล้ายกับกำลังปลอบประโลมหัวใจของเขาให้เบาลง อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้“สวยใช่ไหมคะ” เสียงของดาวดังแว่วมาจากด้านข้าง หญิงสาวในชุดเดรสผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดตาเดินเท้าเปล่าลงบนผืนทราย เธอส่งยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่ไม่ต้องพยายามแต่งแต้มมองทีไรก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจจนใจเขาสั่น“ครับ พี่ไม่เคยรู้เลยว่าแค่ฟังเสียงคลื่นกับดูพระอาทิตย์ตกมันจะทำให้รู้สึกสงบได้ขนาดนี้” แทนไทตอบ เขาไม่ได้พูดเล่นเลย ถึงแม้จะเคยเดินทางมาแทบทุกภาคของประเทศ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ความเหนื่อยล้าจะหลุดออกไปจากใจจากกายง่ายเท่าครั้งนี้ดาวยิ้มอีกครั้ง พลางเดินนำเขาไปนั่งที่เปลผ้าริมชายหาดใต้ต้นสนทะเลที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ เธอหยิบกระบอกน้ำไม้ไผ่ออกมายื่นส่งให้“น้ำสมุนไพรเย็น ๆ ค่ะ ดาวทำเอง รับประกันพี่จะสดชื่นหายเหนื่อยแน่นอน”แทนไทหัวเราะเบา ๆ “ขอบคุณครับ น้องดาวดูจะเตรียมตัวมาดีจัง”“แน่นอนสิคะ ดาวเป็นไกด์ประจำเ