“ไอ้แทนโว้ย ไอ้แทนมึงดังใหญ่แล้วโว๊ย!!” เสียงของวิทยาร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังลั่นไปทั่วไซต์งานในเช้าวันหนึ่ง
แทนไทหันตามเสียงเอะอะของเพื่อนที่กำลังชูม้วนกระดาษอะไรบางอย่างไปมา ท่าทางของมันเหมือนเด็กอวดขนมไม่มีผิด
“อะไรของมึงวะไอ้วิทย์”
“มึงดูนี่” วิทยานั่งลงกับพื้นดินข้างแทนไทแล้วกางม้วนกระดาษออก มันคือหนังสือพิมพ์ของจังหวัดที่ลงข่าวทั่วไป ซึ่งหนึ่งในนั้นมีหัวข้อไม่ใหญ่ไม่เล็กแต่สะดุดตาอยู่หัวข้อหนึ่งที่เขียนว่า ‘ช่างแทนผู้ไม่รอใคร’ พร้อมภาพของเขาขณะที่กำลังตอกตะปูซ่อมแผ่นไม้บนสะพาน
“กูไปอยู่ในนั้นได้ไงวะ แล้วนี่นึกยังไงตีข่าวเรื่องกูเนี่ย เดี๋ยวลุงเพิ่มก็มากินหัวกูอีกหรอก” แทนไททั้งดีใจและกลุ้มใจในเวลาเดียวกัน
“มึงจะคิดมากไปทำไมวะ ยังไงก็เป็นเรื่องดี เอ้า นี่เก็บไว้เป็นที่ระลึก” วิทยายื่นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นใส่มือเพื่อนรัก
“อืม”
หลังเลิกงานแทนไทเอาสิ่งนั้นให้ผู้เป็นแม่ดู แน่นอนว่าวิไลดีใจจนเอาไปโม้ให้ข้างบ้านฟังแทบจะทันที ชายหนุ่มส่ายหัวให้วิไลแต่หัวใจกลับมีความสุขอย่างประหลาด
แรงกระเพื่อมจากสื่อเล็ก ๆ ใครจะไปคิดว่าจะสามารถลุกลามกลายเป็นสื่อหลักตามลงมาสัมภาษณ์เขาออกทีวี ตอนแรกเขาตั้งใจปฏิเสธแต่วิไลไม่เห็นด้วย สกู๊ปข่าวฉายไม่ถึงหนึ่งนาทีของเขาทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของส่วนราชการระยะหนึ่ง ความคิดเห็นมากมายแสดงใต้คลิปในอินเทอร์เน็ต ทำให้แทนไทหยุดไปไซต์งานและไม่ออกจากบ้านอยู่สองสามวัน
“แม่ไม่รู้ว่ามันจะไปกันใหญ่ขนาดนี้” วิไลรู้สึกผิดที่ไม่เชื่อลูกชาย
“ไม่เป็นไรครับแม่ ได้พักบ้างก็ดี” แทนไทปลอบผู้เป็นแม่ ถึงเขาจะไม่ได้คิดแบบนั้นก็ตามทีเถอะ
คืนนั้นแทนไทหอบข้าวของออกมานอนชานบ้านอีกครั้ง ดูเหมือนการได้รับลมเย็น ๆ และมองท้องฟ้ายามค่ำคืนผ่านผ้ามุ้งผืนบางจะช่วยคลายความตึงเครียดในใจได้อยู่บ้าง
มือหนาหยาบกดโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่ามีหนังยางรัดห้าหกเส้นกันแผงจอหลุดออกจากกรอบหัก ๆ ขึ้นมา โชคดีที่มันยังทำงานได้ตามสภาพ แทนไทเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อดูคลิปข่าวของตัวเอง ก่อนหน้านี้เขาเคยดูครั้งสองครั้ง แต่เพราะเขาไม่เคยมีประสบการณ์ได้รับความคิดเห็นต่าง ๆ ในโซเซียลมาก่อน และเมื่อเห็นความคิดเห็นด้านลบเขาเลยหลีกหนีด้วยการไม่เปิดมันขึ้นมา... ทว่าครั้งนี้เขาพร้อมแล้ว
แทนไทไล่สายตาอ่านมันทีละข้อความ ส่วนใหญ่เป็นการต่อว่าระบบของรัฐที่ล่าช้ามากกว่า ตามมาด้วยความชื่นชมการกระทำของเขา มีเพียงไม่กี่ข้อความที่ตำหนิกล่าวหาว่าเขาทำเอาหน้าและต้องการชื่อเสียง ชายหนุ่มทอดถอนใจแต่ก็ไม่ได้ย่อท้อกับมันมากนัก จนกระทั่งสะดุดเข้ากับความคิดเห็นสองสามข้อความ
‘ไม่รู้ว่าได้มาตรฐานหรือเปล่า’
‘ช่างไม่มีความรู้แบบนั้นถ้าเกิดผลเสียตามมาใครจะรับผิดชอบ’
‘เด็กคนนี้คิดดีนะ แต่น่าเสียดาย ถ้ามีแบบอย่างที่ถูกต้องอนาคตคงไปได้ไกลแน่’
‘อยากให้น้องเขาได้เรียนต่อจัง ถ้าได้คนดีมาทำงาน ถนนบ้านเราคงดีกว่านี้’
แทนไทอ่านข้อความเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมาเพื่อตกตะกอนความคิดของตนเอง บางทีเขาอาจจะทำมันก็ได้ ชายหนุ่มเลิกมุ้งบางขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง เขาเปิดลิ้นชักหัวเตียงไม้เก่า ๆ ของตัวเองแล้วหยิบสมุดบัญชีเล่มน้อยออกมา เพ่งพิจารณามองมันอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจวางมันไว้ข้างนอก
ชานบ้านชั้นสองของเขาร่มรื่นสวยงามยามเย็นแต่ร้อนมากในตอนเช้า เพราะรับแสงอาทิตย์เต็มใบ แทนไทเก็บข้าวของเข้าห้องด้วยใบหน้าหงิกงอเนื่องจากคิดอะไรไปเรื่อยจนดึก
“แทนวันนี้ก็ไม่ไปทำงานเหรอ” วิไลถามหลังเห็นลูกชายเดินหน้าง่วงลงมาจากบันไดบ้าน
“ไม่ไปครับ” แทนไทหยิบปาท่องโก๋เข้าปากแล้วเช็ดมันบนเสื้อของผู้เป็นแม่
“มาเช็ดเสื้อแม่ทำไม ไอ้เด็กคนนี้นี่” วิไลบ่นอุบแต่ก็ไม่ได้โกรธเคือง
“แม่ครับ ผมอยากเรียนต่อครับ” อยู่ดี ๆ แทนไทก็โพล่งทะลุขึ้นกลางปล้องอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“อายุขนาดนี้มหาวิทยาลัยเขาจะให้เข้าเรียนเหรอ” วิไลเป็นคนยุคเก่าเลยไม่รู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับการศึกษาของไทยปัจจุบัน
“เรียนได้ครับแม่ แต่ว่าถ้าผมไปเรียนผมต้องอยู่ไกลแม่” เขาห่วงมารดาสูงวัยที่ต้องอยู่เพียงลำพัง
“งั้นก็ไปสิ” แต่ทางเดินของลูกมีหรือที่คนเป็นแม่จะขัดขวาง
แทนไทจ้องมองใบหน้าของผู้เป็นแม่อยู่พักใหญ่ “แม่พูดจริงเหรอครับ”
“เอ้า เอ็งเห็นข้าเป็นคนชอบพูดเล่นหรือไง” วิไลส่ายหน้าไปมา
“แต่แม่ได้ยินที่ผมบอกใช่ไหมครับ ว่าถ้าผมไปเรียนผมก็ต้องไปอยู่ไกลแม่” แทนไทยังคงพูดย้ำประโยคเดิม
“เออ ได้ยินสิวะ ข้าไม่ได้หูตึงนะ”
“แล้วใครจะดูแลแม่ล่ะถ้าผมไป”
วิไลได้ยินคำพูดของลูกชายแบบนั้นก็หัวเราะ
“ไอ้แทน ข้าดูแลตัวเองได้ แม่เอ็งดูเหมือนคนแก่ขนาดนั้นเลยเรอะ อีกอย่างข้าก็ยังแข็งแรงดี ที่ผ่านมาข้าไม่มีปัญญาส่งเสียให้เอ็งเรียนสูง ๆ ได้ มาถึงตอนนี้เอ็งโตมีงานทำ มีกำลังพอที่จะส่งเสียตัวเองเรียนได้แล้ว ถ้าตอนนี้มันยังพอทำได้ เอ็งก็ไปทำตามความฝันของเอ็งเถอะนะ แม่อยู่ได้”
แทนไทมองผู้เป็นแม่ด้วยแววตาซาบซึ้ง เขารู้สึกว่าขอบตาเริ่มร้อนผ่าว ที่ผ่านมาเข้าไม่เคยโกรธเคืองผู้เป็นแม่เลยที่ส่งเสียเขาได้เพียงแค่นั้น
“ขอบคุณนะครับแม่”
จากนั้นเพียงไม่นาน... ชายหนุ่มก็ก้าวเข้าสู่เมืองหลวงและเลือกศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโยธาในมหาวิทยาลัยที่เงินเก็บจากการทำงานของเขาพอจะเอื้ออำนวย แม้เขาจะกลายเป็นคนอายุมากสุดในชั้นปีแต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการศึกษา แถมยังได้เปรียบเนื่องจากมีประสบการณ์จากไซต์งานมาพอสมควร คณาจารย์เองก็มองเห็นจุดนี้ของเขาจึงได้ชักชวนให้ลงแข่งขันระดับมหาวิทยาลัยซึ่งมีการจัดทุกปี
ปีแรกแทนไทได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับสองจากหัวข้อ โครงงานออกแบบโครงสร้างอาคาร
ปีที่สอง แทนไทคว้ารางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งจากหัวข้อ การสร้างแบบจำลองระบบขนส่ง
ปีที่สาม ตำแหน่งชนะเลิศอันดับหนึ่งการออกแบบสะพานเหล็ก
และปีที่สี่... ปีสุดท้ายนี้นอกจากโครงการคอนกรีตมวลเบาแล้ว แทนไทยังก้าวเป็นตัวแทนประเทศไทยในการแข่งขันสะพานเหล็กจำลองแห่งเอเชีย (Asia Bridge Competition) ที่จัดขึ้น ณ โตเกียวประเทศญี่ปุ่น ซึ่งแทนไทสามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศอันดับ 1 มาไว้ในมือ สร้างชื่อเสียงจนวิไลเอาไปโม้ทั่วอำเภอและทุกครั้งที่เห็นหน้าอัมพรและบุญเพิ่ม
แทนไทถูกจองตัวโดยบริษัทเอกชนตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ทว่าเขาก็ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกที่ใดที่หนึ่ง นั่นก็เพราะความคิดเห็นใต้คลิปของเขายังคงตราตรึงในหัวใจอยู่เสมอ
“แทนไท อาจารย์ได้ข่าวมาว่าเรายังไม่ได้เลือกทำงานที่ไหนเหรอ” อาจารย์ประจำสาขาถามลูกศิษย์ด้วยความเป็นห่วง
“ยังเลยครับ” แทนไทยิ้มเจื่อน
“เอางี้ไหม หลังได้ใบอนุญาตภาควิศวกรแล้วลองไปสอบที่กรมทางหลวงไหม ตอนนี้เห็นว่ากำลังรับสมัครวิศวกรโยธาอยู่พอดี”
“จริงเหรอครับอาจารย์ ผมลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง ผมขอตัวก่อนนะครับ” แทนไทดีดตัวออกจากม้านั่งทันที
ปีนั้นแทนไทสามารถสอบเข้าเป็นวิศวกรโยธาปฏิบัติการของกรมทางหลวงได้สำเร็จ ด้วยรางวัลและเกียรติบัตรที่ได้รับ เขาค่อย ๆ สร้างผลงานทีละเล็กทีละน้อยสะสมไปเรื่อย ๆ บวกกับแรงสนับสนุนจากคณาจารย์ที่เอ็นดูเขามาตลอด ทำให้เขาก้าวเข้าสู่กรมทางหลวงอย่างมั่นคงและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการโยธา
หลายจังหวัดที่ต้องการพัฒนาเส้นทางใหม่และสร้างภูมิทัศน์ให้เหมาะสมกับเมืองท่องเที่ยวมักเรียกร้องต่อหน่วยงานของรัฐให้แทนไทเป็นผู้ออกแบบอยู่เสมอ แม้จะไม่ทั้งหมดแต่ก็พบเห็นได้บ่อยครั้งตามเส้นทางหลัก
ห้าปีต่อมา... แทนไทก็คว้าใบวุฒิวิศวกรมาไว้ในมือได้สำเร็จ ซึ่งมันคือระดับสูงสุดของใบอนุญาต หลังจากนี้แทนไทสามารถรับผิดชอบโครงการขนาดใหญ่และซับซ้อนได้ ขอบเขตงานไม่มีข้อจำกัดอีกต่อไป ทั้งยังพาตัวเองก้าวสู่ตำแหน่งวิศวกรโยธาชำนาญการพิเศษ สำนักสำรวจและออกแบบของกรมทางหลวงอีกด้วย
นับตั้งแต่ที่เขาชนะการแข่งขันระดับมหาวิทยาลัยมาจนถึงตอนนี้ ทุกครั้งที่กลับบ้าน การตามหาวิไลมักเป็นภารกิจหลักเนื่องจากมารดาไม่เคยหยุดโม้เรื่องของเขาเลยสักวัน
“สวัสดีครับลุงเพิ่ม” แทนไทกมือไหว้บุญเพิ่มอดีต อบต.
“เอ้อ แหม กลับมาคราวนี้มีสง่าราศีขึ้นเยอะเลยนะ ผิดกับตอนทำงานก่อสร้างลิบลับเลย” อัมพรเอ่ยแทรกบทสนทนา
“ครับ” แทนไทตอบกลับสั้น ๆ เพราะอีกไม่นานพลังงานบวกเชิงลบของมารดาก็คงตอบแทนเขาเช่นเคย
“แน่นอนอยู่แล้ว ลูกข้าทั้งหล่อ ทั้งเก่ง นี่มันได้ใบอนุญาตใบใหม่มาแล้วนะ เขาเรียกอะไรนะ ไอ้แทน อ้อ ใบวุฒิวิศวกร ฮ่าฮ่า” วิไลได้ทีเสียงดังยกใหญ่ทำเอาคนแถวนั้นหัวเราะตาม
“ท่าจะอีกนาน ไปนั่งกินโอเลี้ยงกับข้าไหม” บุญเพิ่มกระทุ้งศอกสะกิดแทนไท เพราะดูจากท่าทางแล้วบรรดารุ่นแม่คงจะใช้เวลาพูดคุยกันอีกพักใหญ่
“ไปครับ ลุงเพิ่มเลี้ยงนะครับ”
“วะ ไอ้นี่ ทำงานใหญ่โตแล้วยังให้ข้าเลี้ยงอีก” บุญเพิ่มบ่นกระเง้ากระงอดแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ แทนไทอมยิ้มแล้วเดินตามชายผู้ล่วงเข้าสู่วัยชราไป ปล่อยให้วิไลโม้เรื่องของเขาต่อไปจนกว่าจะคอแห้งและหยุดไปเอง
สายลมยามเย็นพัดผ่านต้นไม้ใหญ่ที่ยังคงยืนหยัดอยู่ในสนามบอลชุมชน แสงแดดสีทองทอผ่านใบไม้สาดกระทบใบหน้าของแทนไท เขายืนอยู่ตรงระเบียงชั้นสองของบ้านไม้สองชั้นหลังเก่า ที่บัดนี้ได้รับการรีโนเวทใหม่ให้แข็งแรงและอบอุ่นขึ้น แต่ยังคงเก็บรายละเอียดเดิมไว้ทุกอย่าง ตั้งแต่ไม้กระดานที่เคยเดินเล่นกับแม่ ยันชานบ้านที่เขาเคยหอบเสื่อ มุ้ง หมอนมามองท้องฟ้าในวัยเยาว์แทนไทในวัย 65 ปี หัวใจยังเต็มเปี่ยมเหมือนวัยหนุ่ม แม้จะไม่สามารถปีนขึ้นลงชั้นสองได้คล่องเหมือนเดิมแล้ว แต่วันนี้เขาก็ยังรู้สึกอยากมองวิวจากมุมเดิม มุมที่เขาเคยนั่งอยู่กับแม่ มองถนนเส้นเล็ก ๆ ด้านล่างถนนเส้นเดิมที่แม่ของเขาเคยเดินผ่านเพื่อหาบขนมหวานไปขายแล้วตกหลุมบ่อจนปาดเจ็บ ถนนเส้นนั้นที่เขาได้เป็นคนซ่อมแซมมัน ถนนเส้นนั้นที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของเขา“เขาเป็นใครกันเหรอแม่” เสียงเด็กชายคนหนึ่งถามขณะวิ่งผ่านหน้าบ้านไปพร้อมกลุ่มเพื่อน“นั่นแหละ คนที่ทำให้หนูเดินไปโรงเรียนได้ง่ายขึ้นทุกวันนี้ไงลูก” เสียงแม่ของเด็กคนนั้นตอบกลับอย่างภูมิใจแทนไทได้ยินประโยคนั้นแผ่วเบา แต่กลับชัดเจนในหัวใจ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอดรับ
เสียงเปิดแฟ้มเอกสารดังแผ่วเบาภายในห้องประชุมของกรมทางหลวง แทนไทนั่งเงียบอยู่ตรงหัวโต๊ะ สายตาอ่านผ่านเอกสารฉบับหนึ่งไปยังอีกฉบับด้วยความตั้งใจอย่างไม่ลดละ ด้านข้างของเขาคือแผนที่ที่ถูกขีดเขียนวางแนวเส้นทางจนลายเส้นหนาทึบเหมือนชั้นหินทับซ้อน“นี่คือโครงการที่รัฐบาลอนุมัติล่าสุดนะแทนไท” เสียงของหัวหน้ากองวางแผนโครงสร้างพื้นฐานเอ่ยขึ้น พร้อมส่งเอกสารอีกชุดหนึ่งให้เขาแทนไทเงยหน้าขึ้น พยักหน้าช้าๆ เขารับแฟ้มมาก่อนจะเปิดดู หน้าปกระบุชื่อโครงการว่า “มอเตอร์เวย์สายตะวันออกเฉียงใต้-ตะวันตกเฉียงเหนือ”“ทางด่วนสายใหม่นี้จะเชื่อมจากชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกทะลุไปถึงจังหวัดทางเหนือ ใช้ตัดผ่านถึง 7 จังหวัด กินระยะเวลาก่อสร้างทั้งหมด 4 ปี มีคุณเป็นผู้ควบคุมโครงการโดยตรง” หัวหน้ากองวางแผนโครงสร้างพื้นฐานอธิบายแทนไทนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นคง“ผมจะทำให้ดีที่สุดครับ”นับจากวันนั้น เขาเริ่มเข้าสู่การทำงานอย่างเต็มรูปแบบในโครงการระดับชาตินี้ แม้จะใช้เวลาก่อสร้างนานถึงสี่ปี แต่ในทุกปี ทุกเดือน และทุกสัปดาห์ของการทำงาน เขาไม่เคยผ่อนแรงหรือปล่อยผ่านรายละเอียดเลยแม้แต่น้อยภายในไซต์งานกลางหุบเ
เช้าตรู่ของวันจันทร์ แสงแดดอ่อน ๆ สาดลอดผ่านผ้าม่านบาง ๆ ที่หน้าต่างห้องพักของแทนไท เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงไม่ต่างจากวันแรกที่ยืนต่อหน้ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อเสนอโครงการครั้งแรก มือของเขาลูบผ่านปกเสื้อเชิ้ตที่แขวนไว้ข้างเตียงอย่างเบามือ ทุกอย่างต้องพร้อม ทุกอย่างต้องเป๊ะในวันนี้ วันประชุมใหญ่ประจำเดือนของกรมทางหลวงที่สำนักงานใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯแทนไทนั่งอยู่ในห้องประชุมที่เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่จากหลากหลายแผนกและตัวแทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เข้าร่วมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ห้องประชุมกว้างใหญ่เงียบกริบเมื่อเสียงประธานเปิดการประชุมจบลง และแทนไทก็ได้รับเชิญให้ขึ้นไปนำเสนอในลำดับแรก“ผมขอเริ่มต้นด้วยโครงการเส้นทางตัดผ่านจากหมู่บ้านปากคลองสำราญไปยังโรงเรียนบ้านทุ่งหญ้าคา จังหวัดพัทลุงครับ” แทนไทกล่าว พลางคลิกเปิดสไลด์ที่เตรียมไว้ภาพแผนที่ถูกฉายขึ้นหน้าจอพร้อมกับกราฟิกที่แสดงเส้นทางที่เด็ก ๆ ต้องนั่งเรือข้ามคลองไปโรงเรียนทุกวัน เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังขึ้นจากบางมุม“ปัจจุบัน เด็ก ๆ ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีในการเดินทางไปโรงเรียนในแต่ละวัน ต้องพึ่งเรือโดยสารที่มีอยู่เพียงสองลำ ซึ่งหากฝน
หลังจากกลับจากหมู่บ้านบนดอย แทนไทเดินทางกลับกรุงเทพฯ ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ยิ่งกว่าเดิม ความรู้สึกอบอุ่นจากรอยยิ้มและคำขอบคุณของชาวบ้านยังคงติดตรึงอยู่ในใจของเขา กลิ่นหอมของอาหารพื้นเมือง คำพูดที่แสนจริงใจของผู้ใหญ่บ้าน เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่รับขนมจากมือของเขา และสายตาแห่งความหวังจากคนทั้งหมู่บ้าน มันหล่อหลอมใจเขาจนแน่นหนา เขารู้เพียงว่าจะต้องไม่ยอมแพ้ทันทีที่กลับมาถึง เขาจัดโต๊ะทำงาน เปิดโน้ตบุ๊ก และเริ่มลงมือเขียนโครงการเส้นทางลัดจากหมู่บ้านบนดอยสู่ตัวอำเภออย่างจริงจังที่สุดเท่าที่เคยทำมา ทำมันด้วยความรอบคอบมากกว่าครั้งไหน ๆ เขาอ่านเอกสารอ้างอิงซ้ำไปซ้ำมา นั่งวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเทคนิค ทบทวนเส้นทางบนแผนที่ที่เขาศึกษาไว้ทั้งคืนจนกระทั่งดวงตาเริ่มพร่ามัวแต่ในขณะที่เขากำลังจะพักสายตา เขาก็นึกถึงภาพหนึ่งที่ยังคงติดอยู่ในใจตอนที่เขาไปเที่ยวพักร้อนภาคใต้ในช่วงนั้น ภาพของหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ริมคลองใกล้กับตัวเมืองก็ปรากฏขึ้นในความทรงจำ เด็ก ๆ ในหมู่บ้านแห่งนั้นต้องล่องเรือข้ามคลองเพื่อไปเรียนหนังสือในโรงเรียนอีกฟากฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ ทุกเช้าและเย็นเด็ก ๆ ต้องนั่งเรือไปกลับ บางครั้งน
เสียงเครื่องยนต์รถกระบะสีขาวคู่ใจของแทนไทดังกระหึ่มไปตามถนนที่ลัดเลาะผ่านเนินเขาและหุบเหว เขากำลังเดินทางกลับขึ้นสู่หมู่บ้านบนดอยอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยเดินทางมาเมื่อหลายเดือนก่อนเพื่อศึกษาสภาพพื้นที่และฟังเสียงสะท้อนจากชาวบ้านด้วยตัวเอง ครั้งนี้เขามาพร้อมกับความหวังใหม่และแผนงานที่วางไว้อย่างรอบคอบกว่าเดิม พร้อมกับคำมั่นในใจว่า จะต้องทำให้โครงการถนนเส้นทางลัดเชื่อมหมู่บ้านบนดอยกับตัวอำเภอเป็นจริงให้ได้ ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม“อาแทนไท!” เสียงเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งที่ยืนรออยู่ริมทางหน้าศาลาหมู่บ้านร้องเรียกด้วยความดีใจ เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้คุ้นเคยกลับมาอีกครั้ง แทนไทยิ้มกว้างก่อนจะจอดรถ เขาเปิดประตูลงมาและหยิบถุงขนมหลายถุงออกจากกระบะหลัง แจกจ่ายให้กับเด็ก ๆ อย่างที่เคยทำ“อ้าว มาเร็วเด็ก ๆ ทั้งหลาย ยังจำอาได้กันอยู่ไหมเนี่ย” เขาถามพร้อมเสียงหัวเราะ เด็ก ๆ พยักหน้าอย่างกระตือรือร้น บ้างก็ยื่นมือไปรับขนม บ้างก็โผเข้ากอดเอวเขาไว้แน่น“คราวนี้อามาพร้อมของสำคัญด้วยนะ” แทนไทหยิบแฟ้มเอกสารหนาออกมาจากรถ“จะให้พ่อ ๆ แม่ ๆ ของทุกคนช่วยเซ็นชื่อสนับสนุนโครงการถนนที่จะสร้างตัดผ่านหมู่บ้านของเราไ
แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านผ้าม่านสีอ่อนในบ้านไม้สองชั้นหลังเดิมของวิไล หญิงร่างเล็กในวัยชราเดินออกมายังระเบียงหน้าบ้าน หยิบวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเก่าที่เปิดฟังเป็นประจำมานั่งฟังข่าวยามเช้า ท่ามกลางเสียงไก่ขัน เสียงลมพัดผ่านยอดไม้ วิไลทอดสายตามองไปยังถนนดินเล็ก ๆ ที่ทอดยาวออกจากหมู่บ้าน ผู้เป็นแม่เฝ้ามองอยู่ทุกวัน ไม่ใช่เพราะเธอคาดหวังจะเห็นลูกชายกลับบ้านโดยไม่บอกกล่าว แต่เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่ลูกชายของเธอเคยใช้ก้าวออกไปสู่โลกกว้าง“แทน เอ็งสู้ไหวไหมลูก..” วิไลพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ขณะที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา มองหน้าจอแชตกับลูกชายคนเดียวที่เธอรักที่สุดแทนไท ในวัยสามสิบปลาย ๆ เจ้าหน้าที่วิศวกรชำนาญการพิเศษของกรมทางหลวง หลังจากถูกตักเตือนอย่างเป็นทางการด้วยเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว เขากลับไม่ได้เสียขวัญ หากแต่เขาได้นำเอาเหตุการณ์นั้นกลับมาเป็นบทเรียนสำคัญที่หล่อหลอมวิธีคิดและการวางแผนของเขาให้รอบคอบมากยิ่งขึ้นเช้าวันนี้ แทนไทนั่งอยู่ในห้องทำงานเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยแผนที่ภูมิประเทศ กระดาษโน้ต และหนังสือวิชาการเกี่ยวกับวิศวกรรมโยธา เขาหยิบแผนที่เดิมขึ้นมาดูอีกครั้ง เส้นทางสายที่เขาอยาก