Share

ตอนที่4 เริ่มทำตามแผน

ในเช้าวันต่อมา แสงอาทิตย์อันอ่อนละมุนทาบผ่านหน้าต่างห้องนอนของหยุนจิง เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นหลังจากผ่านคืนที่เต็มไปด้วยความสับสน

แต่เมื่อความเป็นจริงของสถานการณ์แปลกประหลาดนี้ตีแผ่ชัดเจนในจิตใจ เธอรู้สึกเหมือนมีพลังใหม่เข้ามาแทนที่ความหวาดหวั่นที่เคยมี

“ตอนนี้ต้องตั้งสติ และเริ่มวางแผน” หยุนจิงพึมพำเบา ๆ กับตัวเองขณะลุกจากเตียงพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” น้ำเสียงสดใสเล็ก ๆ สายหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของนาง

“เจ้าคือเถาจู?” (เด็กขนาดนี้มาทำงานได้ยังไง) หยุนจิง คิดขึ้นด้วยความสงสัย (หรือที่นี่จะใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมาย) ดูเหมือนว่าวิญญาณของตำรวจสาวยิ่งคิดจะยิ่งเลยเถิด

“คุณหนู ลืมบ่าวหรือเจ้าคะ” เด็กหญิงวัยไม่เกินเจ็ดปีรีบคุกเข่านั่งลงบนพื้นสีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

ใบหน้าของหยุนจิงแสดงความตกใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเธอ

“คุณหนู ท่านอย่าขายบ่าวเลยนะเจ้าคะ” คำพูดต่อมาของเด็กหญิงทำให้ตำรวจสาวผู้อยู่ในร่างเด็กสีหน้าเต็มไปด้วยความมึนงง

ก่อนเธอจะย้อนถามออกมาอย่างกังขา “ขาย? ที่นี่มีการขายคนด้วยอย่างนั้นเหรอ อย่างนี้มันผิดกฎหมายชัด ๆ ” จากความงุนงงสีหน้าของเจ้าตัวพลันเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวเข้ามาแทนที่

เยว่ฮวา ที่นี่กับโลกที่เจ้าจากมานั้นไม่เหมือนกัน ที่นี่จะมีแหล่งซื้อขายทาสทั้งถูกต้องและไม่ถูกต้อง เอาไว้เจ้าอยู่ไปเรื่อย ๆ ก็ค่อยศึกษาเอาเองเถิด เสียงของอวิ๋นซิงดังขึ้นรีบหยุดความคิดเหลวไหลของเด็กหญิงผู้มีวิญญาณจากต่างยุค

โหดร้ายเกินไปแล้ว หยุนจิงทิ้งตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง

มันเป็นธรรมดาของโลกใบนี้ ส่วนใหญ่คนที่ถูกขายมาเป็นทาสก็จะเป็นพวกนักโทษ หรือไม่ก็ชาวบ้านที่ไม่สามารถเลี้ยงดูลูกของตนได้ อีกส่วนก็อาจจะเป็นเด็กกำพร้าจากสงครามหรือไม่ก็ถูกทิ้งเพราะความยากจน หรือไม่ก็มารดา บิดา ญาติพี่น้องตายจากเพราะโรคระบาด

คนเหล่านี้จึงต้องยอมขายตัวเองมาเป็นทาสเพื่อไม่ต้องทนหนาวหรืออดตายอยู่ข้างนอก ส่วนพวกที่ทำผิดก็คือพวกที่ลักพาตัวคนมาขาย ซึ่งพวกประเภทหลังนี้ก็มีคนของทางการคอยดูแลแต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นพวกมันก็มักจะมีพวกคนมีอำนาจหนุนหลังทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานลำบาก  

คำอธิบายยืดยาวดังขึ้นจากนกชิงเหนียวทำให้หยุนจิงได้แต่ถอนหายใจด้วยความรู้สึกอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนที่เธอจะมองไปทางเถาจูที่ยังคุกเข่าก้มหน้าด้วยความหวาดกลัว

“ลุกขึ้นเถอะ ข้าไม่ได้คิดจะขายเจ้า” เธอเอ่ยเสียงอ่อน

เถาจูเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมสดใสมองหยุนจิงด้วยความโล่งอก

“ขอบพระคุณคุณหนูเจ้าค่ะ บ่าวจะตั้งใจรับใช้อย่างดีที่สุด”

หยุนจิงมองเด็กหญิงตรงหน้าพลางคิดในใจว่า เธอต้องปรับตัวให้เข้าใจกับโลกใหม่ใบนี้ให้ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความไม่ชอบใจในความไม่เสมอภาคนี้เช่นกัน

เสียงของอวิ๋นซิงดังขึ้นอีกครั้งในหัวของเธอ เยว่ฮวา เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก โลกนี้ไม่ได้มีเพียงความโหดร้ายแต่ยังมีโอกาสที่เจ้าจะทำให้มันดีขึ้นหากเจ้ายังยึดมั่นในสิ่งที่เจ้าถือว่าเป็นความถูกต้อง

หยุนจิงหันไปมองนกชิงเหนียวที่ยืนสงบนิ่งบนขอบหน้าต่าง อืม! ข้าเข้าใจแล้ว

“ต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องแทนตัวว่าบ่าวให้แทนตัวว่าข้า เข้าใจไหม หากมีใครพูดอะไรหรือต่อว่าเจ้าก็ให้เขามาถามเอากับข้า” หยุนจิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“เจ้าค่ะ คุณหนู บ่าว..ข้าจำไว้แล้ว” เถาจูตัวน้อยรีบเปลี่ยนคำเรียกขานทันที เมื่อเธอสบสายตากับเจ้านายตัวเล็กที่อยู่ด้วยกันมาหนึ่งปีเต็มที่ในตอนนี้กลับทำให้เธอรู้สึกถึงความเกรงขามอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ในใจของหยุนจิงรู้ดีว่าทาสในโลกนี้อาจไม่มีทางได้รับอิสรภาพในเร็ววัน แต่เธอตั้งใจว่าจะเริ่มเปลี่ยนแปลงสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว และหากเธอมีโอกาสเธอจะทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นทีละนิด

“ข้าดีใจที่เจ้าเข้าใจ เอาเถอะเจ้าช่วยพาข้าไปหาท่านแม่ได้หรือไม่” ในขณะที่สองนายบ่าวตัวน้อยกำลังสนทนากันด้านนอกพลันมีฝีเท้าดังขึ้นพร้อมกับเสียงผลักประตู

“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวนำอ่างล้างหน้ากับผ้าเช็ดหน้ามาให้เจ้าค่ะ” คิ้วของหยุนจิงขมวดเข้าหากัน

“เจ้าคือใคร” น้ำเสียงของหยุนจิงเต็มไปด้วยความสับสน

“คุณหนูเจ้าคะ นางคือพี่สาวอาหลันเป็นพี่เลี้ยงของคุณหนู” เถาจูกระซิบข้างหูของเธออย่างหัวไว

“พี่สาวอาหลันนี่เอง ข้าเพียงล้อท่านเล่นเท่านั้น” หยุนจิงหัวเราะกลบเกลื่อน

“บ่าวตกใจหมดเลยเพราะคิดว่าคุณหนูจะป่วยหนักจนจำใครไม่ได้อย่างที่บ่าวพวกนั้นพากันเล่าลือ” เด็กสาววัยสิบห้ายกมือทาบอกของตนก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา

“เสี่ยวจู เจ้ารีบไปเตรียมชุดให้คุณหนู ช่วงนี้แม้จะเพิ่งเป็นต้นวสันต์แต่ก็ควรหาชุดที่ค่อนข้างอุ่นหน่อยเล่า” คำพูดของ             อาหลันทำให้เถาจูรีบทำตามอย่างว่องไว

เด็กหญิงรีบสาวเท้าไปยังหีบผ้าไม้ขนาดกลางที่ถูกแกะสลักลวดลายดอกเหมยละเอียดอ่อน เธอเปิดฝาหีบขึ้นอย่างระมัดระวังกลิ่นหอมอ่อน ๆ ภายในนั้นโชยออกมา หยุนจิงพลันรู้สึกถึงความสดชื่นก่อนจะถามออกไปอย่างสงสัย

“นี่กลิ่นอะไรอย่างนั้นเหรอ”

เถาจูยิ้มในขณะเดียวกันนางก็หยิบชุดสีชมพูปักลวดลายดอกเหมยเล็ก ๆ ออกมาถือไว้ในมือ

“กลิ่นดอกเหมยที่อบไว้กับผ้าเจ้าค่ะ เป็นกลิ่นที่คุณหนูชอบ” นางตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมกับชูชุดในมือขึ้นสูง

“คุณหนูชอบชุดนี้หรือไม่เจ้าคะ” เมื่อเถาจูเห็นสายตาของคนเป็นนายที่มองเสื้อคลุมยาวสีชมพูปักด้วยลวดลายดอกเหมยสีขาวอย่างประณีตทำให้เสื้อดูทั้งอ่อนหวานและสง่างาม ผ้าคาดเอวสีขาวนวลลายเมฆเล็ก ๆ ช่วยเพิ่มความสมดุลระหว่างความน่ารักและความเรียบง่าย

“อืม ชุดนี้ดูไม่เลว” วิญญาณของตำรวจสาวในร่างเด็กหญิงตัวน้อยกล่าวชมออกมาตามตรง

และระหว่างที่นางสวมชุด กลิ่นหอมจากดอกเหมยยังคงอบอวลไปทั่ว หยุนจิงรู้สึกถึงความสุขบางอย่าง ในขณะเดียวกันเธอก็มองเงาของตัวเองในกระจกทองแดงขนาดเล็กที่อาหลันยกมาให้

“ข้าดูเด็กมากขนาดนี้เลย” คำพูดของหยุนจิงฟังดูค่อนข้างประหลาด แต่ทว่าเด็กรับใช้ทั้งสองต่างไม่ได้เก็บมาคิดมาก เนื่องจากพวกเธอคิดว่าอาจจะเป็นเพราะพิษไข้ทำให้คุณหนูของตนแปลกไป

“ข้าแต่งกายเรียบร้อยแล้วพวกเราไปหาท่านแม่กันเถอะ” ก่อนที่เธอจะพูดออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงร่าเริง

ในขณะเดินนำหน้าสาวใช้โดยมีนกชิงเหนียวเกาะอยู่บนบ่า หัวสมองเล็ก ๆ ของเธอก็คิดถึงสิ่งที่จะต้องทำเป็นอันดับแรกไปด้วย

(หนึ่งคือต้องมีความสัมพันธ์อันดีกับท่านแม่ให้มาก จากนั้นถึงค่อยเริ่มแผนต่อไป) เจ้าตัวคิดด้วยความมุ่งมั่น

หยุนจิงเดินนำเถาจูและอาหลันไปยังโถงกลางของเรือนเหยียนฮวา (เรือนบุปผาแห่งนกนางแอ่น) ของมารดาอย่างกระตือรือร้น

โดยระหว่างทางเธอพยายามเก็บบรรยากาศรอบตัวให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นต้นเหมยที่เบ่งบานตามมุมสวน เสียงนกร้อง และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของอาหารเช้าที่โชยมาจากทิศทางของห้องครัว

เมื่อเด็กหญิงเดินมาถึง เธอพบว่าบนโต๊ะอาหารตัวกลมได้ถูกจัดวางอย่างเรียบร้อยด้วยจานอาหารหลากหลายชนิด         ไม่ว่าจะเป็นข้าวต้มร้อน ๆ ปลานึ่งซอสถั่วเหลือง ติ่มซำหลากสี และขนมหน้าตาน่ากิน แต่สิ่งที่สะดุดตาหยุนจิงที่สุดคือใบหน้าของมารดา หลิวอวี้เฟย ที่ดูอ่อนโยนและงดงามแม้จะมีเงาความเหนื่อยล้าพาดผ่าน

“คุณหนูมาแล้วเจ้าค่ะ” คนรับใช้คนหนึ่งเอ่ยขึ้นขณะที่หยุนจิงเดินเข้ามาใกล้

“หยุนจิง ลูกตื่นแล้วหรือ” เสียงของหลิวอวี้เฟยเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ดวงตาของเธอฉายแววโล่งใจขณะที่มองลูกสาวตัวน้อย

หยุนจิงรีบก้าวเข้าไปหาก่อนจะย่อตัวลงนั่งข้างมารดาแล้วจับมือเธอเบา ๆ “ท่านแม่ ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องเป็นห่วง”

หลิวอวี้เฟยเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนพร้อมกับลูบศีรษะลูกสาวด้วยความรัก

“ไม่เป็นไรลูก แค่เจ้าหายดีแม่ก็โล่งใจแล้ว”

ขณะที่บรรยากาศอบอุ่นกำลังแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เถาจูแอบกระซิบกับอาหลันเบา ๆ

“วันนี้ดูคุณหนูร่าเริงผิดปกตินะ พี่สาวหลันเห็นด้วยหรือไม่”

“นั่นสิ แต่แบบนี้ก็ดีแล้ว อย่างน้อยฮูหยินก็ไม่ต้องเป็นห่วงมาก” อาหลันตอบกลับด้วยรอยยิ้มอย่างพอใจ

ในขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกมีความสุขพลันมีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นจากด้านนอก ก่อนที่หลี่เจี้ยนเฉิงจะเดินเข้ามาในห้องอาหาร สายตาของเขากวาดมองทุกอย่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ข้าคิดว่าเจ้าคงลืมไปแล้วว่าข้าเป็นใคร” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาขณะที่มองหลิวอวี้เฟย

บรรยากาศที่สดใสพลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียด หลิวอวี้         เฟยมองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง

“ท่านยังจำได้หรือเจ้าคะว่าตัวเองเป็นใคร ข้าคิดว่า...ท่านคงหลงลืมไปนานแล้วเสียแล้ว”

หยุนจิงที่นั่งอยู่ข้างมารดารู้สึกถึงบรรยากาศอันอึดอัด เธอเงยหน้ามองทั้งสองคนก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น

“ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านมาร่วมรับประทานอาหารกับเราหรือไม่ ข้าคิดว่าท่านไม่ได้มาร่วมโต๊ะเช่นนี้นานแล้ว”

คำพูดของเด็กหญิงดูเหมือนจะทำให้หลี่เจี้ยนเฉิงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะปรายตามองลูกสาวแล้วพูดขึ้นอย่างขอไปที “เจ้าอย่าได้มายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่”

หยุนจิงแอบถอนหายใจ แต่ในใจกลับคิดว่า (นี่คงเป็นจุดเริ่มต้นที่ข้าต้องช่วยท่านแม่และเปลี่ยนชะตาของตนเองกับครอบครัวของท่านตาจากพ่อเลวคนนี้ให้ได้)

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • ย้อนเวลาป่วน...ฉางอัน    ตอนพิเศษที่4 ขอเพียง...ได้ร่วมเรียงเคียงหมอน

    การเดินทางบนเส้นทางสายไหมในครั้งนั้นของคณะหลิวหยุนจิงใช้เวลาหลายปีในการบุกเบิก สำรวจ และสร้างสัมพันธ์ทางการค้า มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานจากที่หลิวหยุนจิงเคยคาดไว้พวกเขาล้วนผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งจากธรรมชาติอันโหดร้าย โจรป่า และความขัดแย้งระหว่างชนเผ่า แต่ด้วยความรู้ ความสามารถ และความกล้าหาญของทุกคนในคณะโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสัยทัศน์ของหลิวหยุนจิงพร้อมด้วยกำลังคุ้มกันอันแข็งแกร่งภายใต้การนำของฮั่วหยุนพวกเขาก็สามารถเปิดเส้นทางการค้าใหม่ ๆ นำสินค้าหายาก ความรู้รวมถึงวัฒนธรรมที่ไม่เคยมีใครรู้จักกลับสู่ต้าฮั่นได้สำเร็จ อีกทั้งกิจการเมิ่งฮวารวมถึงกิจการร้านรับแลกเงินที่นางกับองค์ฮ่องเต้ทำร่วมกันได้ขยายสาขาไปยังเมืองน้อยใหญ่ไกลถึงเมืองชายแดนยิ่งสร้างความมั่งคั่งและชื่อเสียง เส้นทางที่หลิวหยุนจิงเคยบอกว่าเป็นเส้นทางสายไหมแห่งอนาคตเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นสิ่งที่นางทำร่วมกันกับสามีและลูกพี่ลูกน้องได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับแผ่นดินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลายปีผ่านไป... จวบจนฮั่วหยุนก้าวเข้าสู่วัยสี่สิบเศษ ใบหน้าคมคายปรากฏ

  • ย้อนเวลาป่วน...ฉางอัน    ตอนพิเศษที่3 ว่าด้วยเรื่องขององค์รัชทายาท

    ในระหว่างที่พวกเขาเคลื่อนขบวนลึกเข้าไปในดินแดนทางตะวันตกมากขึ้นเรื่อย ๆ ทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นทะเลทรายแสนเวิ้งว้างและแนวเขาหินสีน้ำตาลแดงมากกว่าเดิมอากาศในตอนกลางวันเองก็ร้อนระอุขึ้นแต่ทว่าในตอนกลางคืนกลับหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ พวกเขาต้องเดินทางผ่านเมืองน้อยใหญ่รวมถึงโอเอซิสขนาดเล็กและยังต้องแวะพักเป็นระยะ เพื่อเติมน้ำและอาหารรวมถึงเพื่อพักผ่อนหลบเลี่ยงพายุทรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อหลิวหยุนจิงมองแผนที่ในมือตามการสำรวจของเหล่าบริวารนกน้อยของอวิ๋นซิง ก็รู้ได้ว่าทางไหนจะไปยังอาณาจักรโหลวหลานอาณาจักรโบราณตามยุคสมัยเดิมของตน ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบลอปนอร์[1] ซึ่งในระหว่างนี้บางครั้งนางก็ยังได้ยินพ่อค้าในกองคาราวานที่สวนทางมาพูดถึง เมืองอวีเทียน[2]นครรัฐที่มั่งคั่งด้วยหยกเนื้อดีทางตอนใต้ของแอ่งทาริมและก็มีบางเวลานางยังได้เห็นกองคาราวานขนาดใหญ่ของพ่อค้าชาวแบกเตรียหรือต้าเซี่ยและซอกเดียหรือคังจวี ขนสินค้าแปลกตาที่นางเคยเห็นแต่ในบันทึกหรือพิพิธภัณฑ์ในโลกเก่าทั้งเครื่องแก้วหลากสีที่มาจากดินแดนตะวันตกอันไกลโพ้น ซึ่งอาจจะ

  • ย้อนเวลาป่วน...ฉางอัน    ตอนที่157 เอ่ยปากฝากรัก

    พวกเขาเดินจับมือกันท่ามกลางฝูงชนที่ขวักไขว่ ชื่นชมความงามของโคมไฟหลากรูปแบบ พูดคุยหยอกล้อกันเบา ๆ ถึงเรื่องราวสัพเพเหระความรู้สึกคุ้นเคยที่ยาวนานผสมผสานกับความรู้สึกใหม่ที่เริ่มก่อตัวขึ้นทำให้บรรยากาศรอบตัวของคนทั้งคู่อบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่นอย่างน่าประหลาด แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่คล้ายกับว่าโลกของพวกเขามีเพียงกันและกันเดินเล่นกันมาได้ชั่วครู่ใหญ่ฮั่วหยุนก็จูงมือนางมาหยุดอยู่ที่สะพานไม้โค้งแห่งหนึ่งซึ่งทอดข้ามคูน้ำในย่านที่ไม่พลุกพล่านนัก บนราวสะพานมีโคมไฟรูปดอกบัวสีสดแขวนประดับไว้เป็นระยะแสงไฟนวลสะท้อนลงบนผิวน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็งแผ่นบางและเกล็ดหิมะที่ยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทิวทัศน์รอบด้านดูงดงามราวกับภาพวาดจากฝีมือของจิตรกรเอกทั้งสองหยุดยืนพิงราวสะพานมองดูแสงไฟและเงาสะท้อนในน้ำเงียบ ๆ มือยังคงกุมกันไว้แน่นโดยมีบ่าวรับใช้และองครักษ์ยืนอยู่ห่างออกไปพอสมควร"มองจากตรงนี้ยิ่งสวยไปอีกแบบนะ" ฮั่วหยุนเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบแต่สายตากลับไม่ได้มองทิวทัศน์ทว่าจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของหลิวหยุนจิง"ทั้งโคมไฟทั้งหิม

  • ย้อนเวลาป่วน...ฉางอัน    ตอนพิเศษที่2 เดินทาง...ตามเส้นทางสายไหม

    ห้าปีผ่านไปไวราวสายลมพัด... ฤดูใบไม้ผลิอีกคราได้เวียนมาเยือน ทุ่งหญ้าชายแดนเริ่มผลิดอกออกใบขับไล่ความแห้งแล้งของฤดูหนาวให้จางหายไปขบวนเดินทางขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ประกอบด้วยทหารคุ้มกันหลายสิบนายและรถม้าขนสัมภาระกำลังเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองนอกด่านของเมืองเตี้ยนหวงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเส้นทางเบื้องหน้าคือทะเลทรายอันกว้างใหญ่และเทือกเขาสลับซับซ้อนเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่หลิวหยุนจิง เรียกว่าเส้นทางสายไหมแห่งอนาคตบนหลังม้าศึกที่ควบตีคู่กันมา หลิวซูเหยาหญิงสาวผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายหลิวหยุนจิงผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องหันมามองสหายร่วมทางด้วยแววตากังวล"เยว่ฮวา! พวกเราทิ้งเจ้าตัวเล็กพวกนั้นไว้กับซูอันที่ค่ายจะดีจริงหรือ? ข้ายังอดห่วงไม่ได้ โดยเฉพาะเจ้าลูกลิงของข้าเขาช่างแสบทรวงนัก" นางหมายถึงบุตรชายวัยสี่ขวบของตนและฝาแฝดชายหญิงวัยสามขวบของหลิวหยุนจิงกับฮั่วหยุนหลิวหยุนจิงหัวเราะในลำคอหันไปมองญาติผู้พี่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน"ถังเจี่ยเจ้าคะ ท่านอย่ากังวลไปเลยน่า ซูอันตอนนี้นะโตแล้วฝากผีฝากไข้ได้ อีกอย่างที่ค่ายก็ยังมีท่านพี่เจิ้นฟง ท่านแม่ไหนจะท่านพ่

  • ย้อนเวลาป่วน...ฉางอัน    ตอนพิเศษที่1 ศึกไหนก็ไม่ยาก...เท่าศึกนี้

    หลายเดือนพ้นผ่านราวกับความฝัน ฤดูหนาวผ่านพ้น ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนวนเวียนอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งหลิวหยุนจิงมีอายุครบสิบแปดปีเต็ม นครฉางอันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลังจากที่หลิวหยุนจิงได้ทำการเสนอให้องค์จักรพรรดิเปิดสอนหลักสูตรแพทย์ตามที่นางรับปากกับท่านเทพเอาไว้แม้ว่าย้อนกลับไปในตอนนั้นจะมีทั้งผู้คัดค้านและเห็นด้วยทว่าหลิวหยุนจิงกับท่านหมอจางก็สามารถแสดงให้เห็นแล้วว่าการแพทย์ของพวกเขานั้นประสบความสำเร็จได้อย่างงดงามกลับมายังปัจจุบันและในวันนี้บรรยากาศก็ยิ่งคึกคักเป็นพิเศษ เสียงประทัดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งเมือง เสียงดนตรีมงคลดังกระหึ่ม ขบวนผู้คนในชุดใหม่สีสันสดใสเดินขวักไขว่ใบหน้าของพวกเขาล้วนแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเพราะวันนี้คือวันมงคลสมรสระหว่างท่านหัวหน้าองครักษ์หนุ่มรูปงามแห่งกองทัพต้าฮั่น ฮั่วหยุนและคุณหนูหลิวหยุนจิง เสียนจูผู้พ่วงตำแหน่งธิดาเทพ สตรีผู้มีความสามารถล้ำเลิศและเป็นที่โปรดปรานของราชสำนักณ บริเวณหน้าจวนสกุลหลิวซึ่งก็คือจวนของท่านใต้เท้าหลิวห่าวเทียนผู้เป็นท่านตา ถูกประดับประดาไปด้วยผ้าแพรสีแดงสดและอักษรมงคลคู่ โคมแดงถูกแขวนเรียงราย

  • ย้อนเวลาป่วน...ฉางอัน    เกร็ดความรู้ท้ายเรื่องตามประวัติศาสตร์

    บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคฮั่นตะวันตกจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ (หลิวเช่อ) ครองราชย์ 141 - 87 ปีก่อนคริสตกาลเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก และเป็นหนึ่งในจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่และครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน (54 ปี)ความสำคัญ: รัชสมัยของพระองค์ถือเป็นยุคทองของราชวงศ์ฮั่น มีการขยายอาณาเขตครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการทำสงครามกับชนเผ่าซยงหนูทางตอนเหนืออย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งนำโดยแม่ทัพคนสำคัญอย่างเว่ยชิงและฮั่วชวี่ปิ้ง พระองค์เป็นผู้ริเริ่มและสนับสนุนการเปิดเส้นทางสายไหมอย่างเป็นทางการ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจกับดินแดนตะวันตกอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังทรงส่งเสริมลัทธิขงจื๊อให้เป็นแนวคิดหลักของรัฐ และรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางอย่างเข้มแข็งลักษณะ: เป็นผู้นำที่ทะเยอทะยาน เด็ดขาด มีวิสัยทัศน์กว้างไกล แต่ในขณะเดียวกันการทำสงครามและการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ก็ใช้ทรัพยากรของแผ่นดินไปอย่างมหาศาลเช่นกัน ในช่วงปลายรัชกาลเกิดปัญหาความขัดแย้งในราชสำนักครั้งใหญ่เกี่ยวกับองค์รัชทายาท (ภัยพิบัติจากม

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status