ข้ามเวลามาเป็นลูกเมียบ่าว เธอจะทำอย่างไรให้ชีวิตดีขึ้น เมื่อไม่มีอำนาจก็ต้อง ผันตัวเองเป็น เจ๊ดัน เอาวะ ในเมื่อเซี่ยงเส้าหลงปั้นจิ๋นซีได้ ข้าก็จะปั้น บูเชคเทียน ด้วยสองมือนี้ให้ดู นิยายเรื่องนี้เป็นจินตการของผู้เขียน อาจมียุคสมัยที่ใช้เทียบเคียงแต่บุคคลและเหตุการณ์ล้วนมาจากจิตนาการและผลงานนี้เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว ห้ามิให้ผู้ใดคัดลอก ทำซ้ำหรือดัดแปลงใดๆ หากฝ่าฝืนจะดำเนินการตามกฏหมาย เบื้องต้นคาดว่าจะมีประมาณ 50 ตอนและเปิดให้อ่านฟรีถึงตอนที่ 8 หากมากว่า 50 ตอนจะเปิดให้อ่านฟรี 10 ตอนเป็นอย่างต่ำ จากนั้นจะติดเหรียญในราคา ไม่เกิน 3 บาท โดยพิจารณาจากจำนวนคำเป็นหลัก
view more“ท่านแม่ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเจ้าค่ะ” “มีอันใดเล่าอี้เอ๋อ” ฮูหยินใหญ่บูที่มีเพียงนามเพราะแต่งเข้ามาทีหลังเอ่ยถามคุณหนูใหญ่บูผู้เป็นธิดาคนโต “เรื่องที่ข้าเคยขอท่านเขาวัง ท่านแม่ตัดสินใจได้หรือยังเจ้าคะ” “อี้เอ๋อ หากไว้ทุกข์ให้ท่านพ่อเจ้าครบ 3 ปี ข้าก็จะขอแยกไปอยู่บ้านสวน เจ้าเอาเงินส่วนนี้ไปเก็บไว้เป็นสินเดิมมิดีกว่าหรือ” เข้าวังไหนจะต้องมีเสื้อผ้าเครื่องประดับแล้ว ฮวยซวง ก็เป็นหูเป็นตาแทนบุตรสาวไม่ได้ ฮูหยินใหญ่กังวลยิ่งนักเพราะ วังหลัง ก็มิต่างจากถ้ำเสือวังมังกรตัวนางเองกว่าจะหลุดออกมาได้นั้นก็มิใช่ง่าย “ท่านแม่ มีสินเดิมก็คือต้องแต่งงาน แต่งกับใครก็มีอนุกันทั้งนั้น จะมีอะไรต่างกัน หากข้าเข้าวังยังมีโอกาสได้เป็นกุ้ยเฟย หรือกระทั่ง....” แม้จะกล่าวออกมาไม่หมดแต่การคิดการใหญ่เช่นนั้นก็เป็นที่น่าตกใจไม่น้อย “แล้วสาวใช้ติดตามเจ้าเล่า” ด้วยพวกนาง 2 คนแม่ลุกเคยถกเรื่องนี้กันมาหลานหน ฮวยซวงมีนิสัยโอหัง ไม่เหมาะเป็นสาวใช้ติดตาม แต่พวกนาง 2 คนก็ยังมองไม่เห็นใครที่มีคุณสมบัติที่ดีพอ ก็อย่างที่บูอี้กล่าว แต่งกับใครก็ต้องมีสาวใช้ติดตามอยู่
“ท่านยายจางเล่า” หลังจากทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดจากความทรงจำขอเจ้าของร่างเดิมจนหลับไปจริงๆ จินนี่ที่เคยอ่านนิยายจีนแนวข้ามภพมาบ้างก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ตนเองมากขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือตามหาผู้มีอำนาจให้ได้เกาะขอทองคำ ในเมื่อมาเกิดใหม่ในรัชสมัยของจักรพรรดิถังไท่จงทั้งทีคนต่อไปที่จะครองราชย่อมต้องเป็น บูเชคเทียน แล้วจะไปตามหาได้ที่ไหนกันนะ “ฟื้นแล้วรึอาจิน” เมื่อได้ยินเสียงยายจางก็ขานรับทันใดเพราะตอนนี้นางได้วางมือจากงานครัวลงบ้างแล้ว จึงมีเวลาพักผ่อนมากขึ้นและสามารถเฝ้าไข้คนเจ็บในความดูแลทั้ง 2 ได้อย่างเต็มที่ “ท่านยายฮูหยินใหญ่จะให้นายหน้ามาดูพวกข้าเมื่อใดหรือ” จินนี่ผู้เกิดมาในยุคประชาธิปไตยมีหรือจะยอมถูกขายไปเป็นทาส นางถามเพียงเพื่อต้องการยื้อเวลาเท่านั้น “น่าจะอีกสัก 2-3 วัน รอให้สภาพพวกเจ้าดีขึ้นสักนิดเพื่อจะได้ขายออกไปง่ายๆ แต่เจ้าไม่ต้องห่วงไปข้าให้อาโกว่ไปแจ้งน้าชายเจ้าแล้วเขาคงจะกำลังหาวิธีช่วยเจ้าสองคนแม่ลูกออกไป” ท่านยายจางเอ่ยตอบยาวยืดหวังให้คนถามสบายใจ “ท่านยายเจ้าคะ ถ้าขอถามท่านสักหน่อยว่าตอนนี้เป็นรัชสมัยใดกันแน่”
“ฮูหยินใหญ่ อี๋เหนียงไม่ผิด ข้าแอบออกไปเอง ข้าขอรับโทษโบยแทนนางเถิดเจ้าค่ะ” ไป่จินไม่อาจทำใจเห็นมารดาที่แสนจะบอบบางของนางถูกโบย 20 ไม้ได้ลงคอ ได้แต่กัดฟันขอรับไว้เอง “ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้กตัญญูต่อนางเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้เจ้าตายเสียไวๆจะได้ไม่ต้องถูกขายอย่างไรเล่า ลาก่อนนังตัวเสนียด” ด้วยมั่นใจว่าโดนโบย 40 ไม้ครานี้ไป่จินต้องมิรอดแน่จึงได้พูดจาทำร้ายจิตใจนางเสียให้เต็มที่แล้วเดินจากไป “พี่ใหญ่ต้า ท่าน...” ไป่จินพูดไม่ออกเมื่อเห็นร่างใหญ่ที่ถูกมัดอยู่บนม้ายาว เมื่อนางถูกกดให้นอนลงบนม้ายาวอีกตัวที่วางข้างกัน “ไม่ต้องพูดอันใด หายใจเข้าออกลึกๆ อย่าเกร็งต้าน” 3 ประโยคสั้นๆ ก่อนที่ไม้โบยหนาหนักและแบนกว้างจะฟาดลงมาที่บั้นท้ายของทั้ง 2 ไม่มีเสียงอ้อนวอนจากริมฝีปากบาง แม้เสียงสะอื้นก็มิมี เพียงแต่ริมฝีปากบางนั้นแตกและมีรอยเลือดหยาดหยดจนบ่าวไพร่ที่เคยได้รับความช่วยเหลือสงสารจนน้ำตาอาบหน้าไปตามๆ กัน “ปล่อยข้า ปล่อยข้า ข้าจะรับโทษเอง” เสียงแหบแห้งดังมาตามทางซึ่งบ่าวไพร่สตรีล้วนพากันยื้อยุดมู่อี๋เหนียงไว้ไม่ให้ต้องเห็นภาพอันชวนสลดใจเบื้อง
“เจ้าหรือคือคุณหนูใหญ่ตระกูลไป่ที่ช่วงนี้คนเค้าลือกันว่า...” คุณหนูบูเอ่ยถามแต่ก็มิได้จบประโยคเพราะเป็นเรื่องที่ไม่ควรเอ่ยถามแต่แรก แต่เพราะความที่นางเป็นคนปากไวใจร้อน จึงอดเอ่ยปากถามไม่ได้ กว่าจะรู้สึกตัวก็เกือบจบประโยคเสียแล้ว “เรียกข้าว่าอาจินก็พอเจ้าค่ะคุณหนูบู เรื่องที่ท่านถามนั่นก็มิมีอันใดต้องปิดบัง ข้านั้นจะเรียกว่า ตกอับ อย่างที่ใครๆเขากล่าวถึงก็คงมิได้ เพราะตัวข้าเองมิเคยได้ถูกวางไว้บนที่สูงแต่อย่างไร ตำแหน่งคุณหนูใหญ่นั่นก็เป็นเพียงคำที่ฮูหยินใหญ่ใช้แดกดัน ใครๆในจวนไป่ต่างทราบดีว่าข้าก็มีชีวิตเทียบเท่าบ่าวไพร่ทั่วไปเท่านั้นเจ้าค่ะ” ไป่จินตอบคำถามครึ่งประโยคด้วยความในใจอันยาวเหยียด ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงได้ไว้ใจสตรีแปลกหน้าที่บังเอิญได้พบกันเพียงครั้งแรก หรือจะเป็นเพราะคุณหนูใหญ่บูตรงหน้าก็มีชีวิตไม่ต่างจากนางเท่าใดนัก “ข้าเข้าใจเจ้าดี อย่างไรเสียพวกเราก็มีชะตาต้องกันในเมื่อเจ้าไม่ให้ข้าเรียกว่าคุณหนู ก็จงเรียกข้าว่าพี่สาวเถิด เรามาเป็นพี่น้องกันน่าจะดี เพราะข้าเองก็มีเพียงน้องชายทั้งยังเล็กนัก จะพูดคุยอันใดก็ยังมิรู่ความ” คุณหนูใหญ่บูค
“ท่านแม่ มู่อี๋เหนียง1 อาการไม่ดีเลยท่านช่วยให้คนตามหมอมาดูอาการนางหน่อยเถอะเจ้าค่ะ” ไป่จินคุกเข่าขอร้องแม่ใหญ่ หรือก็คือภรรยาเอกของบิดาที่เพิ่งจากไปของนาง “ยาในโกดังมีอยู่มากมาย เจ้าไปเอามาต้มให้นางกินซะก็สิ้นเรื่อง จะต้องตามหมอมาทำไมให้เปลืองเงินเปลืองทอง ไหนท่านพี่เอ็นดูเจ้านักหนาจนถึงขั้นสอนตำหรับยาให้มิใช่รึ ขนาดพี่ใหญ่เจ้าที่เป็นลูกเมียเอกอย่างข้าท่านพี่ยังไม่เคยสอนแม้สักครึ่งคำ ในเมื่อเก่งนักก็รักษานางเองสิ” หม่าซื่อตอบบุตรสาวของมู่เจี่ย อนุที่สามีนางทั้งรักทั้งหลง เมื่อสามีจากไปนางก็คิดกำจัดสองคนแม่ลูกในทันทีเป็นผลให้นางมู่เจี่ยต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ตัวไป่จินผู้เป็นบุตรสาวก็ไม่ค่อยดีไปกว่ากันมากเท่าใดต้องอดมื้อกินมื้อและทำงานหนักในจวนไม่ต่างจากบ่าวไพร่ “อาจิน อย่าไปรบกวนฮูหยินเลย ข้า... แค่กๆ ” เสียงแผ่วเบาดังมาตามทางเดินริมระเบียง เจ้าของเสียงอยู่ในสภาพหนังหุ้มกระดูกกำลังกระอักกระไอหลังจากเอื้อนเอ่ยได้เพียงแค่ครึ่งประโยค “อี๋เหนียงท่านออกมาจากห้องทำไม เดี๋ยวก็ต้องลมเย็นจนไอไม่หยุดอีก” ไป่จินถลาเข้าไปประคองผู้เป็นมารดาบังเกิดเกล้าด้วยความห
Mga Comments