ย้อนเวลาป่วน...ฉางอัน เป็นนิยายแนวสโลว์ไลฟ์ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน อารมณ์ขัน และการผจญภัยในยุคโบราณ ตัวเอกของเราคือเด็กหญิงที่แม้จะตัวเล็กแต่หัวใจใหญ่ พร้อมเปลี่ยนชะตาชีวิตของคนรอบข้างด้วยความฉลาด ไหวพริบ และความตลก เรื่องนี้อาจมีดราม่าเล็กน้อยเพื่อเพิ่มมิติของตัวละคร แต่รับรองว่าไม่หนักเกินไป เหมาะสำหรับผู้อ่านที่ต้องการพักผ่อนจิตใจ ที่จะพาคุณเพลิดเพลินไปกับฉากตลก อบอุ่นหัวใจ และความน่ารักของตัวละคร ขอให้ทุกท่านสนุกกับการเดินทางในโลกนิยายโบราณนี้ไปพร้อมกับหลี่ (หลิว) หยุนจิงค่ะ
View Moreในห้องพักขนาดเล็กบนชั้นสองของอาคารสำนักงานตำรวจ เสียงพัดลมเก่าบนเพดานกำลังหมุนไปอย่างเชื่องช้าเติมเต็มความเงียบของยามค่ำคืน
โต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารหลากชนิดตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง ด้านข้างมุมขวามีถ้วยกาแฟที่เหลืออยู่เพียงครึ่งและกลิ่นหอมจาง ๆ ของมันลอยฟุ้งในอากาศ
“หยุนจิง! ดูนี่สิ!” เสียงของเพื่อนร่วมงานดังขึ้นจากโต๊ะอีกฝั่ง หญิงสาวในชุดเครื่องแบบตำรวจเจ้าของชื่อวางเอกสารในมือก่อนจะเดินเข้ามาดูจอคอมพิวเตอร์ที่เพื่อนกำลังจ้องอย่างตื่นเต้น
“มีอะไร คราวนี้ใครเป็นสามีของเธออีก? ฉันหวังว่าคงจะไม่ใช่หนึ่งในพระเอกของนิยายที่เธอชอบอ่านอีกหรอกนะ?” หยุนจิงถามพลางถอนหายใจ ถึงปากจะพูดออกไปแบบนี้ทว่าเธอก็ยังเดินเข้าไปหาเพื่อนอย่างไม่ปฏิเสธ
บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ปรากฏภาพหน้าปกนิยายจีนโบราณที่วาดอย่างประณีต พร้อมกับชื่อเรื่องตัวอักษรสีทองสะดุดตา (พยัคฆ์ล่มราชวงศ์)
“เธอรู้ทันฉันตลอด แต่ครั้งนี้ฉันไม่ได้หลงพระเอกนะ ฉันจะบอกเธอว่า นิยายเรื่องนี้มันสนุกมาก ตัวเอกที่เป็นนางร้ายเนี่ย ทั้งฉลาดและเก่งมากเลย แต่น่าเสียดายที่ต้องมาตายเพราะถูกสามีชั่วใส่ร้ายพร้อมกับครอบครัวทางแม่ แถมเธอยังมีลูกติดด้วย!" เพื่อนของเธอพูดพลางจิ้มหน้าจอ
หยุนจิงส่ายหน้า “ต่อให้เก่งแค่ไหนสุดท้ายก็ยังแพ้ใช่ไหม? ฉันไม่เข้าใจหรอกว่าเธออ่านเรื่องพวกนี้ไปทำไม”
“เพราะมันมีปมที่น่าสงสารน่ะสิ!” เหม่ยหลินตอบด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“ลองคิดดูสิ ถ้าเราได้เป็นนางเอกแทนตัวร้ายคนนี้ แล้วเปลี่ยนทุกอย่างให้ดีขึ้น มันจะยอดเยี่ยมมากขนาดไหน?”
หยุนจิงส่งเสียงหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของเพื่อนก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ
“ถ้ามีโอกาสแบบนั้นจริง ฉันคงเอาชีวิตรอดไม่พ้นสองวัน”
เหม่ยหลินหันกลับมามองหยุนจิงดวงตาเบิกกว้าง “ก็จริง แต่ว่ามันก็ไม่แน่นะ...แม้ว่าเธอจะดูไม่ค่อยมีเซนส์เรื่องความร้ายกาจ แต่ถ้าเป็นเรื่องแผนการ ฉันว่าเธอเอาอยู่!”
หยุนจิงส่งเสียงหัวเราะอีกครั้ง “เอาล่ะ ๆ หยุดเพ้อเจ้อแล้วกลับไปทำงานเถอะ พรุ่งนี้เรายังต้องไปตรวจสอบคดีอีกตั้งหลายที่”
“อืม” เหม่ยหลินตอบรับอย่างว่าง่าย จากนั้นไฟในห้องของหญิงสาวทั้งสองจึงค่อย ๆ ดับลง เหลือเพียงแสงจากจอคอมพิวเตอร์ที่ยังเปิดหน้าปกนิยายเรื่องนั้นทิ้งเอาไว้
เสียงลมหายใจของหยุนจิงที่หลับใหลไม่ทันได้รู้เลยว่า นี่อาจเป็นคืนสุดท้ายที่เธอจะได้ตื่นขึ้นในโลกนี้...
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับเสียงนาฬิกาปลุกดังสนั่นในห้องพักแคบ ๆ ของสถานีตำรวจ หยุนจิงขยับตัวขึ้นจากเตียงด้วยความงัวเงียสายตาของเธอมองไปยังเหม่ยหลินเพื่อนร่วมห้องที่ยังหลับสนิทพร้อมเสียงกรนเบา ๆ
หญิงสาวไม่ได้ปลุกเพื่อนเนื่องจากทั้งสองคนนั้นต่างไม่ได้ทำงานพร้อมกัน ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากเตียงและคว้าชุดเครื่องแบบจากราวแขวน
หลังจากเตรียมตัวเสร็จ หยุนจิงสะพายกระเป๋าเป้คู่ใจเดินลงบันไดไปยังลานจอดรถตำรวจ เธอรับหน้าที่ดูแลคดีปล้นร้านทองที่มีผู้ต้องสงสัยหลบหนีในย่านใจกลางเมือง
“วันนี้ต้องจับมันให้ได้!” เธอบอกกับตัวเองด้วยความมุ่งมั่นขณะสตาร์ตรถ
การจราจรบนถนนยังไม่หนาแน่นมากในช่วงเช้าแต่ในจังหวะที่เธอกำลังเปลี่ยนเลนเพื่อเลี้ยวเข้าสู่ถนนเส้นหลัก มีรถบรรทุกคันหนึ่งพุ่งออกมาจากทางแยกด้วยความเร็วสูง เสียงแตรดังสนั่นขณะที่หยุนจิงพยายามหักพวงมาลัยหลบ
“ไม่ทันแล้ว!” เสียงในใจของเธอหวีดร้องก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นสีดำสนิท
เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งหยุนจิงได้ยินเสียงคล้ายคนพูดคุยแว่วมาแต่ทุกอย่างยังดูพร่ามัว เธอรู้สึกเจ็บแปลบทั่วร่างกายเหมือนถูกบีบอัดด้วยแรงมหาศาล ก่อนที่ความเจ็บปวดนั้นจะค่อย ๆ จางลง
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูของบ่าว!" เสียงใครบางคนร้องเรียกเธอด้วยความโศกเศร้า
เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อย ๆ เปิดออกอย่างอ่อนแรง ดวงตาเธอมองเห็นเพดานไม้เก่า ๆ และโคมไฟน้ำมันที่ห้อยอยู่ เสียงจอแจรอบตัวบ่งบอกว่าเธอไม่ได้อยู่ในที่เดิม
“ที่นี่คือที่ไหน” หยุนจิงพึมพำก่อนที่เธอพยายามยันตัวลุกขึ้นแต่กลับรู้สึกว่าร่างกายเล็กลงอย่างผิดปกติ
เสียงผู้หญิงวัยกลางคนดังขึ้นข้างเตียง “คุณหนู! ฟื้นแล้ว ไข้คุณหนูเพิ่งจะลดอย่าเพิ่งรีบลุกขึ้นมาเลยนะเจ้าคะ บ่าวจะรีบไปบอกฮูหยิน” ไป่ซินรีบเดินออกไปสั่งกับเด็กรับใช้ด้านนอก “เถาจูรีบไปบอกฮูหยินว่าคุณหนูฟื้นแล้ว”
“เจ้าค่ะ” เด็กหญิงวัยเจ็ดปีรีบทำตามคำสั่งอย่างว่องไว
ที่โถงกลางของจวน ในตอนนี้กำลังจะเป็นทะเลเพลิงเนื่องจากฮูหยินเอกของจวนไม่ยินยอมที่ลูกสาวของตนถูกทำร้าย
“จื่อเซียว! (นามรองของพ่อนางเอก) ท่านจะต้องให้ความเป็นธรรมกับลูกของข้า” น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความเฉียบขาด
“เหม่ยจู (นามรองแม่นางเอก) เจ้าจะมากเกินไปแล้วนะ เจ้าเป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่เหตุใดไม่รู้ธรรมเนียมกล้ามาขึ้นเสียงใส่สามีอย่างข้า” ชายหนุ่มสะบัดชายชุดของตนก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อสะกดกลั้นอารมณ์
“ท่านเพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นสามีอย่างนั้นเหรอ จื่อเซียวข้าขอถามท่านสักประโยคเถอะ มีครั้งไหนบ้างที่ท่านให้ความเป็นธรรมแก่เราแม่ลูก” น้ำเสียงของหลิวเหม่ยจูเต็มไปด้วยความขมขื่น เธอก้าวไปข้างหน้าสองก้าวเผชิญหน้ากับสามีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ย่อท้อ
หลี่เจี้ยนเฉิงขมวดคิ้วแต่กลับหัวเราะเยาะเย้ย “เหม่ยจู เจ้าไม่รู้หรือว่าในจวนนี้ข้าคือผู้ตัดสินใจสูงสุด ลูกของข้าก็คือลูกของข้า จะเป็นลูกของใครก็ตามล้วนต้องได้รับการปกป้องจากข้า! แต่เจ้า...เจ้าไม่เคยสอนลูกของเจ้าดี ๆ ให้รู้จักนอบน้อมบ้างเลย เจ้าต่างหากที่ผิด!”
“ผิดงั้นหรือ? ลูกของข้าต่างหากที่ถูกทำร้าย แต่ท่านกลับปกป้องคนที่ผิดเพียงเพราะเขาเป็นลูกของเมียสุดที่รักของท่าน!” เหม่ยจูตวาดเสียงดัง สายตาของเธอเต็มไปด้วยไฟโทสะ
“เจ้าก็แค่ผู้หญิงที่เอาแต่ใจตัวเอง เหม่ยจู เจ้าควรเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมให้สมกับเกิดมาในตระกูลใหญ่บ้าง!” ผู้เป็นสามีลุกขึ้นยืนและชี้นิ้วใส่นางตวาดขึ้นอย่างถืออำนาจ ถึงกระนั้นคำพูดของเขาก็ไม่อาจสั่นคลอนความตั้งใจของเหม่ยจูได้
“สงบเสงี่ยมอย่างนั้นหรือ? จื่อเซียวข้าทนมานานแล้ว ข้าจะไม่ยอมอีกต่อไป! หากท่านไม่ให้ความเป็นธรรมแก่ลูกของข้า ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกของข้าเอง!” เหม่ยจูพูดพลางจ้องสามีของตนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างปิดไม่มิด
บรรยากาศในโถงกลางเริ่มตึงเครียดจนคนรับใช้ที่แอบดูอยู่มุมหนึ่งต่างสะดุ้งเฮือก ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดออกมา
“เหม่ยจู เจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้ากล้าท้าทายข้าอย่างนั้นหรือ?” หลี่เจี้ยนเฉิงคำรามเสียงต่ำ
“ใช่ ข้ากล้า! ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายลูกของข้าอีกต่อไป ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม!”
คำประกาศกร้าวของเหม่ยจูดังก้องไปทั่วโถงกลาง จนแม้แต่ลมที่พัดผ่านก็เหมือนหยุดนิ่ง มือของผู้เป็นใหญ่ในจวนกำเข้าหากันแน่นได้แต่มองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ ของนางอย่างอดทน
ย้อนกลับไปในวันวาน หากว่าเขาไม่ต้องการทางลัดเพื่อตำแหน่งหน้าที่การงาน...
หลี่เจี้ยนเฉิงหวนคิดถึงอดีตด้วยความรู้สึกปั่นป่วนในใจ จากเสมียนประจำอำเภอเล็ก ๆ ผู้ไม่มีวาสนาใด เขากลับไต่เต้าจนได้เป็นเจียงจวิ้นซื่อ (เสมียนฝ่ายโยธา) และในเวลาเพียงห้าปี ก็สามารถนั่งในตำแหน่งกงปู้ซื่อหลางได้สำเร็จ เขารู้ดีว่าเส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
หากไม่ได้การช่วยเหลือจากไท่โสว่ผู้เป็นขุนนางปกครองท้องถิ่น และที่สำคัญ คือ การแต่งงานกับหลิวอวี้เฟย คุณหนูตระกูลหลิวที่ในตอนนั้นมีอำนาจและอิทธิพลสูงสุด
แต่แล้ว...อย่างไร?
ในเมื่อหน้าที่การงานของเขามั่นคง ลูกเมียที่เสียสละเพื่อให้เขาได้ก้าวหน้าต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ แม้เขาจะส่งหนังสือหย่ากลับไปยังบ้านเกิดเพื่อบอกเลิกกับจงเสวี่ยเหม่ย ญาติผู้น้องที่เคยเป็นทั้งภรรยาและมารดาของลูกทั้งสองของเขา
เขากลับไม่อาจลบเลือนความผิดที่เคยหลอกล่อให้ชื่อเสียงของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์อย่างหลิวอวี้เฟยต้องเสียหายเพื่อบีบนางให้แต่งงาน
เขาหลอกหลิวอวี้เฟยว่าตัวเองยังไม่ได้แต่งงาน ทั้งที่ความจริงแล้วเขาได้ใช้เล่ห์กลส่งข่าวลวงกลับไปบ้านเกิดเพื่อหย่ากับจงเสวี่ยเหม่ย และขอให้นางเข้าใจเหตุผลที่เขาต้องทำเช่นนี้
จงเสวี่ยเหม่ยยอมรับความจริงอย่างอดทน นางพยายามประคับประคองชีวิตตัวเองและลูก ๆ ภายใต้เสียงนินทาว่าร้ายอยู่เจ็ดปีเต็ม จนในที่สุดเขาก็พานางกับลูกมาเปิดตัวในเมืองหลวง
ทว่าชีวิตของครอบครัวที่เขาหวังจะสร้างกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด...
“ท่านพ่อ...” เสียงเรียกแผ่วเบาของหลี่อี้เฉินลูกชายคนโตดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของเขา เด็กชายวัยสิบปีมองพ่อด้วยแววตากังวล
“เจ้ามีอะไรหรือ?” หลี่เจี้ยนเฉิงพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดในใจ เขาลูบศีรษะของลูกชายเบา ๆ
“ท่านแม่รองให้ข้ามาแจ้งท่านว่า ท่านแม่ใหญ่กล่าวหาว่าท่านแม่รองขโมยข้าวของของนางอีกแล้วขอรับ...” น้ำเสียงเด็กชายเจือความกดดัน
หลี่เจี้ยนเฉิงถอนหายใจยาว “แม่ใหญ่เจ้าเอาอีกแล้วหรือเมื่อสักครู่ยังมาด่าทอข้าเรื่องที่ว่าน้องสาวเจ้าผลักลูกของนางตกน้ำอยู่เลยแล้วตอนนี้มันเรื่องอะไรอีก”
“เจ้านี่ช่างคิดเสียจริง สำนักชิงหยวนกวานนั้นเป็นสำนักเต๋าที่มีประวัติค่อนข้างยาวนาน สอนหลักคำภีร์หลายอย่าง” หลิว อวี้เฟยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยความภูมิใจในความรู้ที่มีหยุนจิงเงยหน้าขึ้นมองมารดาด้วยความสนใจ “สำนักชิงหยวนกวานมีสอนอะไรบ้างหรือเจ้าคะท่านแม่?”“หลัก ๆ แล้ว สำนักนี้มุ่งเน้นสอนศาสตร์แห่งเต๋า วิถีแห่งความสงบสุขและสมดุลในชีวิต แต่ไม่ใช่แค่นั้นนะเยว่ฮวา สำนักนี้ยังมีสอนการคำนวณ การแพทย์ ดาราศาสตร์ และดนตรี” หลิวอวี้เฟยยิ้มอ่อนเอ่ยเสียงนุ่มก่อนจะพูดเสริมออกมาอีกเมื่อเห็นว่าลูกน้อยยังคงสนใจฟัง“ว่ากันว่าในอดีต ฮ่องเต้หลายพระองค์ก็โปรดการศึกษาของสำนักนี้เพราะช่วยพัฒนาความรู้ให้กับราชสำนัก แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเองก็ด้วย”“แล้วลูกผู้หญิงเข้าเรียนได้ด้วยหรือไม่เจ้าคะ” หยุนจิง ถามอย่างสงสัย พลางนึกถึงโลกเดิมของตนที่การศึกษาสำหรับหญิงชายเท่าเทียมกัน“ในส่วนของการศึกษาหลัก ไม่ค่อยเปิดกว้างสำหรับสตรีนัก” หลิวอวี้เฟยถอนหายใจเล็กน้อย“แต่สำนักใหญ่บางแห่ง เช่น ชิงหยวนกวานจะมีสาขาสำหรับสตรีโดยเฉพาะ เช่น การเรียนดนตรี วรรณคดี หรือกา
เจ้ามีคนรู้จักอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนี้ก็เยี่ยมเลย อวิ๋นซิงกระพือปีกขึ้นลงอย่างตื่นเต้นก็ไม่นับว่ารู้จัก แต่อย่างน้อยเขาก็นับได้ว่าเป็นคนดีคนหนึ่งอีกทั้งยังน่าสงสารมากด้วย อวิ๋นซิงขยับหัวก่อนจะโน้มเข้ามาใกล้ใบหูของหยุนจิงพูดขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นข้าคิดว่าหากเขาเป็นคนดีมีหรือจะปฏิเสธความช่วยเหลือได้ลงคอ โดยเฉพาะกับเด็กตัวเล็ก ๆ ว่าแต่ที่เจ้าบอกว่าน่าสงสารนั้นหมายความว่าเช่นไรข้าไม่คิดว่าเจ้าจะทำตัวเป็นนกสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้อื่น หยุนจิงอดไม่ได้ที่จะสัพยอกเจ้าตัวจิ๋วมันก็ต้องมีบ้างไหมเพื่อเพิ่มสีสันให้ชีวิต เจ้ารีบพูดมาเถอะ หากข้าไม่ได้รู้วันนี้เห็นทีคงจะนอนไม่หลับ คำพูดของนกชิงเหนียวทำให้หยุนจิงส่งเสียงหัวเราะออกมาเอาไว้สักวันข้าจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าฟัง แต่ยามนี้คงไม่ได้แล้ว เจ้าเห็นหรือไม่ดวงจันทร์ลอยเด่นกลางเวหาแล้วข้าเองก็ง่วงเต็มทีหยุนจิงผ่อนลมหายใจยาวพลางโน้มตัวลงบนฟูกนุ่มบนเตียงของตน นัยน์ตาคู่น้อยปิดลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะลืมขึ้น
ภายในเรือนเล็กของหยุนจิง บรรยากาศเงียบสงบกว่าที่เคย เด็กหญิงนั่งอยู่บนเก้าอี้เตี้ยคู่ใจกับเบาะรองนั่งอันคุ้นเคย แผ่นหลังเล็ก ๆ พิงพนักพลางทอดสายตามองออกไปนอกบานหน้าต่าง เสียงนกร้องจิ๊บ ๆ ไกล ๆ ทำให้เธอเผลอคิดถึงอวิ๋นซิงขึ้นมา“หายไปนานเหมือนกันนะ...หวังว่าคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น”ก่อนที่เจ้าตัวจะถอนหายใจระบายความกลัดกลุ้ม ใจหนึ่งก็อยากให้เจ้าตัวจิ๋วรีบกลับมาเร็ว ๆ พร้อมข่าวดี แต่อีกใจก็กลัวว่าข่าวที่ได้อาจไม่เป็นอย่างที่หวัง“หวังว่าเจ้าจะเจอหนังสือหย่าที่ถูกซ่อนไว้… ถ้าเจอจริง ๆ คงเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ข้าช่วยแม่ได้ง่ายขึ้น”น้ำเสียงอ่อน ๆ พึมพำกับตัวเอง ดวงตาของหยุนจิงฉายแววกังวลเล็กน้อย เธอตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะใช้หนังสือหย่าเป็นเครื่องมือหลักในการเรียกร้องความชอบธรรมให้แม่ แต่มันต้องผ่านการยืนยันด้วยหลักฐานที่แน่นหนา หาไม่ผู้ชายเห็นแก่ตัวอย่างหลี่เจี้ยนเฉิงคงไม่ปล่อยมารดาเธอออกไปง่าย ๆ แน่เวลาผ่านไปราวสองเค่อ หยุนจิงก็ได้ยินเสียงปีกกระพือเบา ๆ ดังขึ้นแถวริมหน้าต่าง แม้ว่าเสียงของมันจะจนแทบไม่ได้ยินแต่เธอก็ยังรู้สึกได้จึงรีบหั
หยุนจิงกำชายเสื้อของตัวเองแน่นอย่างระมัดระวัง ( ดูเหมือนพวกเขาจะทะเลาะกันเรื่องงานเข้าเฝ้าในวังของฮ่องเต้เพื่อร่วมพิธีเปิดคันไถแรกของปี...นี่คือโอกาสที่ข้าจะได้อ่านสถานการณ์สินะ)เธอคิดก่อนจะตัดสินใจขยับก้าวเข้าไปใกล้พลางกวาดตามองหามารดาที่น่าจะอยู่ตรงนี้เช่นกัน ทันทีที่เด็กหญิงปรากฏตัวในกรอบสายตาของทุกคนบรรยากาศรอบด้านก็ดูเหมือนจะเงียบขึ้นอีกเล็กน้อยหยุนจิงเผยรอยยิ้มบางพลางย่อตัวลงคำนับทุกคนอย่างนุ่มนวลแบบที่เคยเห็นในละครย้อนยุคตามที่เคยดูมากับเหม่ยหลิน ในขณะเดียวกันสายตาของเธอก็หยุดอยู่ตรงหน้าของพ่อเลวคล้ายพิจารณาว่าเขาจะทำอย่างไรต่อในสถานการณ์ตรงนี้เยว่ฮวา... ระวังคำพูดของเจ้าด้วยเสียงนกชิงเหนียวดังเข้ามาในหัวอีกครั้งเป็นการเตือนก่อนจะเอ่ยเสริมออกมาอีกอย่างเป็นห่วง คราวนี้เป็นเกมการเมืองในเรือนหลัง เจ้าเพิ่งตัวเล็กผ่านร้อนหนาวมาเพียงห้ารอบ ต้องยิ่งรอบคอบให้มากหยุนจิงพยักหน้าเงียบ ๆ ก่อนเหลือบตามองไปทางที่แม่นั่งอยู่ สีหน้าของมารดาดูเคร่งขรึมและมีเค้าแห่งความโกรธกักเก็บเอาไว้
บรรยากาศในห้องโถงกลางเรือนพลันเงียบงันลงชั่วขณะ หลังจากหลี่เจี้ยนเฉิงเอ่ยปากบอกลูกสาวไม่ให้ยุ่งเรื่องผู้ใหญ่ เขาเหลือบสายตาไปทางหลิวอวี้เฟยแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไปโดยไม่รอฟังคำโต้แย้งใด ๆ อีกหยุนจิงกำมือเล็กแน่น ก้อนความโกรธและความไม่พอใจอัดแน่นอยู่ในอก แต่เด็กหญิงยังฝืนเก็บซ่อนอารมณ์ทั้งหมดไว้เบื้องหลังรอยยิ้ม เพราะเธอรู้ดีว่าเวลานี้การจะเผชิญหน้าตรง ๆ กับพ่อเลวไม่มีประโยชน์อันใด นอกจากจะทำให้แม่ลำบากใจมากกว่าเดิม“เยว่ฮวา...” เสียงของหลิวอวี้เฟยฟังดูแผ่วเบา พร้อมกันนั้นนางก็ก้าวเท้าเข้ามาหาบุตรสาวอย่างอ่อนโยน มือเรียวสัมผัสแก้มลูกสาวพลางมองดวงตาใสซื่อที่ดูจะมีแววครุ่นคิดเกินวัย“เจ้าอย่าได้กลัวเลยลูก แม่จะหาทางจัดการเรื่องนี้เอง”หยุนจิงเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นแม่ ใจหนึ่งนั้นอยากโผเข้ากอดแต่ก็ต้องข่มกลั้นไว้เพื่อไม่ให้แม่กังวล เด็กหญิงจึงตอบเพียงเบา ๆ“เจ้าค่ะ ท่านแม่...ข้าเพียงเป็นห่วงท่าน”แววตาของหลิวอวี้เฟยฉายแววเศร้าปะปนไปกับความรักอันแน่นแฟ้นที่มี
ในเช้าวันต่อมา แสงอาทิตย์อันอ่อนละมุนทาบผ่านหน้าต่างห้องนอนของหยุนจิง เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นหลังจากผ่านคืนที่เต็มไปด้วยความสับสนแต่เมื่อความเป็นจริงของสถานการณ์แปลกประหลาดนี้ตีแผ่ชัดเจนในจิตใจ เธอรู้สึกเหมือนมีพลังใหม่เข้ามาแทนที่ความหวาดหวั่นที่เคยมี“ตอนนี้ต้องตั้งสติ และเริ่มวางแผน” หยุนจิงพึมพำเบา ๆ กับตัวเองขณะลุกจากเตียงพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” น้ำเสียงสดใสเล็ก ๆ สายหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของนาง“เจ้าคือเถาจู?” (เด็กขนาดนี้มาทำงานได้ยังไง) หยุนจิง คิดขึ้นด้วยความสงสัย (หรือที่นี่จะใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมาย) ดูเหมือนว่าวิญญาณของตำรวจสาวยิ่งคิดจะยิ่งเลยเถิด“คุณหนู ลืมบ่าวหรือเจ้าคะ” เด็กหญิงวัยไม่เกินเจ็ดปีรีบคุกเข่านั่งลงบนพื้นสีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกใบหน้าของหยุนจิงแสดงความตกใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเธอ“คุณหนู ท่านอย่าขายบ่าวเลยนะเจ้าคะ” คำพูดต่อมาของเด็กหญิงทำให้ตำรวจสาวผู้อยู่ในร่างเด็กสีหน้าเต็มไปด้วยความมึนงงก่อนเธอจะย้อนถามออกมาอย่างกังขา “ขาย? ที่นี่มีการขายค
Comments