“โห บริษัทนำเข้ารถยนต์ชื่อดังด้วย คุณทำงานเป็นเซลล์หรือคะ งั้นเอาไว้ถ้าฉันมีเพื่อนคนไหนสนใจจะออกรถ ฉันจะแนะนำไปให้” ก็ถ้าดูจากการแต่งตัวฉันคิดเป็นอื่นไปไม่ได้เลย เขาใส่แค่เสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมดาไม่ได้ใส่สูทอย่างผู้บริหารระดับสูงหรือระดับเมเนเจอร์ เพราะงั้นเขาก็คงเป็นเซลล์นะแหละคงไม่ใช่ช่างซ่อมในอู่รถหรอกมั๊ง หุ่นสูง ๆ ผิวขาว ๆ ดูเจ้าสำอางมันทำให้ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าเดาไม่ผิด
“อืม ครับ งั้นถ้าคุณมีเพื่อนสนใจจะออกรถจริงก็ติดต่อมาได้เลยครับ ผมยินดี”
“ได้เลยค่ะ ว่าแต่คุณมีนามบัตรไหมล่ะ เผื่อมีเพื่อนสนใจออกรถ ฉันจะได้ให้ติดต่อคุณไป”
“เออ...พอดีนามบัตรของผมน่าจะติดไปกับเสื้ออีกตัว”
“ไม่ได้นะคะ ทีหลังต้องพกไว้ตลอด คุณเป็นเซลล์และนามบัตรเป็นสิ่งสำคัญ” ฉันเผลอตำหนิเล็กน้อยเพราะแทนที่มานัดบอดแบบนี้เขาควรจะเตรียมความพร้อมให้มากกว่านี้ แต่พอรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรออกไปก็ถึงกับเม้มปากสำนึกผิด
“ขอโทษด้วยนะครับ”
“มะ ไม่เป็นไรค่ะ คนเราลืมกันได้แหละ” ฉันหัวเราะแหะ แหะ แก้เก้อก่อนจะพยายามชวนคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป
Talk ภีมม์
ผมรู้ว่าเธอคู่นัดบอดของผม ไม่ได้เปิดอ่านประวัติของผมจากเมล์ที่ส่งไปให้เลย ไม่เหมือนกับผมที่อ่านข้อมูลของเธอไปมานับสิบรอบ ผมว่าเธออาจจะผิดหวังเล็กน้อยที่ผมไม่ได้แต่งตัวสุภาพอย่างที่คนนัดบอดทั่วไปแต่งมา และตอนนี้เธออาจจะผิดหวังเข้าไปอีกที่คิดว่าคู่นัดบอดอย่างผมเป็นแค่เซลล์ขายรถธรรมดา
เธอคือใบเฟิร์น ลูกสาวคนเดียวของเพื่อนสนิทคุณพ่อ เธอกับผมอายุห่างกันถึงเจ็ดปี ใช่ผมอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว ในขณะที่ใบเฟิร์นอายุแค่ยี่สิบเอ็ด ตอนที่เธอเพิ่งคลอดใหม่ ๆ คุณพ่อและคุณแม่ของผมเคยพากันไปเยี่ยมครอบครัวของเธอ
“ดีเลยที่นายได้ลูกสาว เอาไว้ถ้าลูกสาวนายอายุยี่สิบแล้วเรียนจบมหาวิทยาลัยเมื่อไหร่ให้ลูกนายกับฉันแต่งงานกันทันทีเลยนะเว้ย”
คำสัญญาระหว่างผู้ใหญ่ที่เป็นมั่นเป็นเหมาะเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ทำให้ผมรับรู้มาตลอดว่าเด็กน้อยแบเบาะในวันนั้นจะต้องกลายเป็นเจ้าสาวของผมในอนาคต ในขณะที่ผมเฝ้ามองเธออยู่ห่าง ๆ แต่เธอกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผมเลยสักนิด
“ต่อไปคุณควรเรียกผมว่าพี่ พี่ภีมม์ เพราะผมอายุมากกว่าคุณ” ผมบอกเจตนาของผมให้เธอรู้ เพราะอายุของเราค่อนข้างห่างกันพอสมควร
“อ่อจริงสิ คุณอายุมากกว่าฉันนี่นา”
“พี่ภีมม์-ครับ” ขนาดผมเพิ่งบอกเธอไปหยก ๆ ไม่ถึงวินาที เธอก็ลืมซะแล้ว
“อ่าได้ค่ะ พี่ภีมม์” ริมฝีปากสวยของเธอเม้มแน่นคล้ายกับกำลังเขินที่ผมให้เธอเรียกว่าพี่ ก็นะ...ขนาดผมยังฟังดูแปลก ๆ แต่ก็ดันรู้สึกดี
“ในเมื่อเราสองคนต้องแต่งงานตามคำตกลงของผู้ใหญ่ โดยที่ฉันและคุณ เออ...พี่ พี่ภีมม์ไม่เต็มใจ งั้นเราสองคนมาทำข้อตกลงกันก่อนดีไหมคะ”
นี่เธอคิดเป็นตุเป็นตะจากไหนว่าผมไม่เต็มใจ แล้วถ้าผมบอกออกไปว่าผมเต็มใจ เธอจะเชื่อผมไหมนะ
เดาว่า...ไม่
“คือฉันว่าถ้าเราสองคนต้องแต่งงานกันจริง ๆ ฉันอยากทำงานไปด้วยได้ไหมคะ คุณ...เอ๊ยพี่ภีมม์คิดดูนะคะฉันเพิ่งเรียนจบใหม่ ๆ ฉันควรจะได้ใช้ความรู้ความสามารถที่อุตส่าห์เรียนมาตั้งหลายปีได้ทำงานก่อน พี่ภีมม์จะโอเคไหมถ้าฉันจะขอทำงานไปด้วยเพราะฉันไม่อยากแต่งงานแล้วอยู่เป็นแค่แม่บ้านเฉย ๆ”
“ได้ครับ”
“แล้วก็งานแต่งงาน ฉันอยากให้จัดเล็ก ๆ แค่ภายในครอบครัว เพราะบอกตามตรงค่ะว่าฉันยังรู้สึกอายเพื่อน คือพี่ภีมม์ต้องเข้าใจนะว่าฉันเพิ่งอายุแค่ยี่สิบเท่านั้นเอง ฉันว่ามันไวเกินไปที่จะต้องแต่งงานในอายุขนาดนี้ แล้วถ้าคุณ...เอ่อ พี่ภีมม์ตกลงทุกข้อเสนอที่ฉันขอ เราสองคนจะแต่งงานกันก็ได้ค่ะ เพราะต่อให้ฉันหรือพี่ปฏิเสธครั้งนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็คงจับพี่กับฉันแต่งงานกับคนอื่นอยู่ดี ถ้าเป็นพี่ภีมม์ฉันว่า ฉันไม่ติดอะไร”
ใบเฟิร์นพูดเป็นฉาก ๆ อย่างไม่ปล่อยช่องว่างให้หายใจ ผมว่าเธอเป็นคนตรงไปตรงมาและดูสดใสมากกว่าที่ผมคิด ที่สำคัญตัวจริงของเธอและดวงตาของเธอสวยกว่าในรูปเป็นไหน ๆ
แต่เมื่อกี้เธอว่าไงนะ...เธอเพิ่งพูดว่าไม่ติดอะไรอย่างงั้นเหรอ หมายความว่า เธอกำลังจะบอกว่ายินดีที่จะแต่งงานกับผมโดยไม่ติดอะไรอย่างนั้นเหรอ
“ค่ะ...ว่าไงคะ ได้ไหมคะ” เสียงหวาน ๆ ของเธอเรียกสติของผมที่กำลังเผลอเอาแต่จ้องหน้าหวาน ๆ ของเธออยู่
“ได้ครับ”
“อีกอย่างเราแค่แต่งงานกันตามคำขอร้องของผู้ใหญ่ มันไม่ได้เกิดจากความรักเพราะอย่างนั้นเราแยกห้องนอนกันด้วยก็ได้ค่ะ” เธอยื่นใบหน้าสวย ๆ ของเธอมองมาที่ผม ดูเธอจริงจังมากกับความคิดของเธอจนแทบไม่เหลือช่องว่างให้ผมออกความเห็นเลย แต่ก็นะ...ดวงตาเป็นประกายที่จ้องมองผมอยู่ทำให้ผมไม่กล้าปฏิเสธเธอ ถ้าผมบอกว่าไม่...ดวงตาของเธอจะหม่นลงไปไหมนะ
“ได้ครับ...ถ้าทำได้” ผมเลยเลือกที่จะตอบเธออ้อม ๆ แบบนี้แหละ แต่ผมว่าทำไม่ได้หรอกถึงทำได้ผมก็ไม่ทำ
“เอ...แล้วมีอะไรอีกน้า เฟิร์นนึกไม่ออก เอาไว้นึกออกจะบอกอีกนะคะ แล้วพี่ภีมม์ละ อยากมีข้อยกเว้นอะไรบ้างในการแต่งงานครั้งนี้”
“แทนตัวเองว่าเฟิร์นแบบเมื่อกี้...ก็พอ” ผมไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกมาด้วยซ้ำ คือพอได้ยินเธอเผลอแทนตัวเองว่าเฟิร์นแล้วแบบ ฟังดูแล้วมันก็น่ารักดี
น้องเกิด 1 กุมภาพันธ์ วั้นนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเพราะคุณแม่น้องเพิ่งคลอดใหม่ๆและเขาเจอน้องครั้งแรกในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั่นเป็นครั้งแรกที่ภีมม์เจอกับใบเฟิร์นทั้งสองบ้านสนิทกันมากไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ จนกระทั่งครอบครัวของภีมม์ ย้ายไปทำธุรกิจที่เมืองอเมริกา ภีมม์เลยไม่ได้มาหาใบเฟิร์นอีกแต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยลืมที่ตัวเองมีเจ้าสาว…#ภีมม์ตอน 9 ขวบ“แม่ครับ มีผู้หญิงเอาดอกกุหลาบมาให้ภีมม์ แต่ภีมม์ไม่รับไว้ ผิดไหมครับ”“อ้าว ทำไมละลูก”“ภีมม์บอกเขาว่าภีมม์มีเจ้าสาวแล้ว ภีมม์รับดอกไม้จากใครไม่ได้อีก ภีมม์ไม่ชอบให้ผู้หญิงคนอื่นมาทำแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ ภีมม์ขอแต่งงานกับน้องเฟิร์นเลยได้ไหมครับ”ตอนนี้ภีมม์โตขึ้นพอที่จะรู้ความหมายของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่หมายถึงคนที่ต้องแต่งงานอยู่ด้วยกัน“ไม่ได้ลูก น้องเพิ่ง 2-3 ขวบเอง เอาไว้ให้น้องเรียนจบมหาวิทยาลัยก่อนนะลูก”“งั้นถ้าจบ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ใบเฟิร์นเป็นเจ้าสาวของภีมม์เลยนะครับ”“น้องภีมม์ครับ การเป็นเจ้าบ่าวคนไม่ใช่แค่เราไปขอเขาแต่งงานแล้วแต่งงานกันได้เลยนะครับ ก่อนอื่นลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่ง ให้ได้ทำงานดี ๆ เป็นผู้นำคน มีอาชีพแ
“ภีมม์เข้ามาดูน้องสิลูก”เสียงผู้เป็นแม่หันมาเรียกลูกชายวัยเจ็ดขวบ เดินเข้ามาที่เตียงทารกตัวน้อยจิ้มลิ้มตัวแดง ๆ แก้มจ้ำม้ำที่ขยับตัวดุกดิ๊กไปมาอยู่บนเตียง“น่ารักจัง ตุ๊กตาหรือครับหม่าม๊า”“น้องเป็นคนจ๊ะ ไม่ใช่ตุ๊กตา”ภีมม์ขยับเข้าไปใกล้ด้วยความสนใจ สองมือจับขอบเตียงเด็ก จ้องมองทารกตัวน้อยที่ลืมตาแป๋วแหว๋ว ก่อนที่เด็กน้อยจะยิ้มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างไม่รู้ภาษา มือน้อยควานสะเปะสะปะไปทั่ว ส่งผลให้ภีมม์ลองยื่นนิ้วชี้เข้าไปให้เด็กตัวน้อยจับด้วยความอยากรู้หมับ!มือเล็ก ๆ ของเธอนุ่มนิ่ม แต่จับเขาเอาไว้แน่นมาก“หม่าม๊าครับ น้องจับมือภีมม์แน่นเลย” ภีมม์ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนใช้นิ้วชี้อีกข้างที่ว่างอยู่ จิ้มแก้มซาลาเปาของเด็กตัวน้อยเพราะดูนุ่มหยุ่นไปหมด“จับแน่นแบบนี้ แสดงว่าน้องจองภีมม์ไว้เป็นเจ้าบ่าวแน่ ๆ เลย” เสียงคุณน้าที่นอนอยู่บนเตียงและเป็นแม่ของเด็กทารกน้อยเอ่ยขึ้น“เจ้าบ่าว? เจ้าบ่าวคืออะไรครับ”“เจ้าบ่าวก็คือคนที่ต้องอยู่กับน้องไปตลอดชีวิตยังไงคะ”“หมายถึง ให้น้องใช้มือนุ่ม ๆ จับมือภีมม์แบบนี้ไปตลอดแบบนี้เลย นะเหรอครับ?”“ใช่จ๊ะ จับมือกันไปตลอดจนแก่เฒ่า”“แล้วปล่อยได้ไหมครับ”“
หลังจากที่เราปรับความเข้าใจกัน ถึงตอนนี้ฉันก็ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาอะไรนั่นอีกแล้ว นอกจากจะเอาตัวเองมุ่งมั่นกับงานที่ทำ อย่างน้อยก็เพื่อให้งานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของพี่ภีมม์ดีที่สุด และเพื่อเป็นลบคำสบประมาทที่ใครต่อใครอาจจะนินทาฉันได้อีก ยิ่งตอนนี้พอมีพี่ภีมม์คอยให้กำลังใจและสนับสนุนงานฉันเต็มที่ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีพลังบวกเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่าถึงตอนนี้แม้คนจะยังคงซุบซิบเรื่องเดิม ๆ ของเรา แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันให้ความสนใจกับมันอีกต่อไป เพราะตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ฉันควรให้ความสนใจและสำคัญที่สุด คือความรักของฉันกับพี่ภีมม์มากกว่าที่มันมีมากขึ้นทุกวันต่างหากวันงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัททีเคยนต์มาถึงแน่นอนว่าเพราะเป็นรถนำเข้าหรูราคาหลายสิบล้าน ทำให้งานนี้เหล่าบรรดาเซเลปและสื่อมวลชนต่างให้ความสนใจกับงานวันนี้เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงคุณเจนนี่ที่ถูกเชิญมาเป็นแขกพิเศษมาร่วมงาน แต่กลับชอบทำตัวเสนอหน้าไปยืนอยู่ข้างพี่ภีมม์ทำเสมือนเป็นคนสำคัญข้างกายเขาเฮ้อ...จะว่าไปเธอก็น่าสงสารนะพยายามทำทุกอย่างก็แล้ว ก็ยังเป็นได้แค่เพื่อนฉันพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้นแต่สุดท้า
อึก...พออ่านถึงตรงนี้ น้ำตาฉันก็ไหลออกมาหนักกว่าเก่า(เห็นโน้ตที่พี่เขียนเอาไว้ไหมครับ) เสียงพี่ภีมม์แทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไปมีแต่เพียงสะอื้นที่แทรกเข้าไปในปลายสายเบา ๆ“ฮือ เห็นแล้วค่ะ ฮือ...พี่ภีมม์เฟิร์นขอโทษ”ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาเข้ามาในหัวใจ สุดท้ายแล้วพี่ภีมม์เองต่างหากที่เป็นฝ่ายรอรับสายโทรศัพท์มือถือจากฉัน ส่วนตอนนั้นที่ฉันโทรหาเขาไม่ติด ใช่ว่าพี่ภีมม์จะปิดเครื่องหนีแต่ความจริงแล้วตอนนั้นเขาอาจกำลังอยู่บนเครื่องบินเลยไม่ได้เปิดมือถือก็เป็นได้บ้าที่สุด ฮือ....(เฟิร์นครับ ถ้าพี่ทำให้เฟิร์นร้องไห้พี่ขอโทษนะ)“เฟิร์นต่างหากที่ควรขอโทษพี่ภีมม์”พี่ภีมม์วางสายไปแล้ว ในขณะที่ฉันหยิบกระดาษที่พี่ภีมม์ขึ้นมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาน้ำตามันไหลออกมาไม่หยุดเลย มีแต่ฉันที่คิดเองเออเองไปคนเดียวทั้งนั้นแล้วตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ฉันนั่งเสียใจและคิดมากอยู่เป็นคนเดียวทั้งเดียวล่ะ คืออะไรหลังจากที่ฉันวางสายจากพี่ภีมม์น้ำตามันก็ไหลออกมาราวกับทำนบแตก ครั้งนี้ฉันถึงได้ตระหนักเสียงหัวใจของตัวเองว่า ในเวลาที่ฉันไม่มีเขาหรือถ้าต้องเลิกกับเขาฉันคงทนไม่ไหวแน่ นี่สินะที่ใครๆ บอกไว้ว่าเราจะรู้ค่าขอ
ฉันรู้สึกจุกนิดหน่อยที่พวกเอ่ยถึงคุณเจนนี่ ดูเหมือนคุณเจนนี่น่าจะมีอิทธิพลต่อคนกลุ่มนี้พอสมควร ความจริงมันก็ไม่แปลกนักหรอกเพราะคุณเจนนี่มาหาพี่ภีมม์มากกว่าฉันที่เป็นภรรยาตัวจริงเสียอีก ซึ่งฉันไม่แปลกใจอะไรเลยสักนิดเมื่อคิดขึ้นได้ว่าพวกหล่อนอาจจะสนิทกับคุณเจนนี่มากพอสมควร“ถ้าพวกคุณว่างมากน่าจะไปทำงานกันนะคะ ถ้าคุณภีมม์รู้ว่าจ้างคนแบบพวกคุณมาทำงานเขาคงไม่ค่อยโอเค เห็นทีฉันคงต้องรายงานพี่ภีมม์บ้างแล้วละ”“แหมทำตัวเนียนเหมือนเป็นภรรยาเจ้าของบริษัทตัวจริงเลยนะ โน้นจ๊ะคุณภีมม์กับภรรยาตัวจริงเขาตอนที่อยู่ที่วอชิงตันดีซี” ไม่พูดเปล่าผู้หญิงคนนั้นยังเปิดรูปจากไอจีคุณเจนนี่ ที่เช็กอินอยู่ที่รัฐวอชิงตันดีซีมาให้ฉันดูแน่นอนในรูปมีพี่ภีมม์อยู่ในรูปของเธอจริง ๆภาพที่เห็นแม้สองคนจะไม่ได้ยืนใกล้ชิดกันแบบสนิทสนมแต่ก็ทำให้รู้ว่าทั้งสองคนอยู่ที่เดียวกันนี่สินะ...สาเหตุของการไม่โทรหาฉันเลยตลอดอาทิตย์นี้หัวใจมันชาจนแทบไม่มีความรู้สึก เมื่อเห็นว่าพี่ภีมม์อยู่กับคุณเจนนี่ที่อเมริกา ถึงจะเป็นรูปที่เธอเช็กอินเมื่อสองสามวันก่อน แต่มันทำให้มั่นใจได้เลยว่าคุณเจนนี่กับพี่ภีมม์คงเดินทางไปด้วยกันจากที่ตั้งใจจะ
น้ำตามันไหลออกมาจากไหนมากมายหนักก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันร้องไห้จนเผลอหลับไปบนที่นอน จนตอนเช้าของอีกวันเช้าที่ไม่มีพี่ภีมม์อยู่ข้าง ๆ ฉันต้องลากตัวเองเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวทั้งที่ตายังบวมเป่งจนเกือบจะปิด ดูตลกมากเสียจนต้องหาอะไรเย็น ๆ มาประคบเปลือกตาให้ยุบลงก่อนไปทำงาน“คุณเฟิร์น” ในขณะที่ฉันยืนเรียกรถ TAXI อยู่หน้าตึกก็พบว่าคนขับรถของพี่ภีมม์มารออยู่ก่อนแล้ว“อ้าว! สวัสดีค่ะคุณโจ มารับพี่ภีมม์เหรอคะพี่ภีมม์ไม่อยู่หรอกค่ะ น่าจะติดธุระ”“อ่อทราบแล้วครับ เมื่อวานผมเพิ่งไปส่งคุณภีมม์ขึ้นเครื่อง”“คะ...ขึ้นเครื่อง?”“คุณภีมม์ได้บอกคุณเฟิร์นเหรอครับ เห็นว่ามีประชุมด่วนกับบอร์ดบริหารของรถยนต์”“ออค่ะ เฟิร์นไม่ทราบเลย” ฉันพูดเพราะไม่รู้จริง ๆ พี่ภีมม์ไม่ได้บอกอะไรฉันเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะไปไหน อย่าว่าแต่เปิดเครื่องรับสายฉันหรือโทรมาเขายังไม่โทรมาด้วยซ้ำคุณโจทำสีหน้างง ๆ ก่อนจะเปิดประตูรถให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถ“เมื่อวานคุณภีมม์บอกว่าคุณน่าจะไม่สบายเลยให้นอนพักครับ ผมก็นึกว่าคุณจะไม่ออกไปทำงานเลยไม่ได้กลับมารอรับ”“อ่าค่ะ” ฉันซึ่งยังมึนงงอยู่เพราะไม่รู้ว่าพี่ภีมม์ไปไหนเลยยังสับสนอยู่เล็กน้อยจริงสินะเมื่อ