Talk เฟิร์น
เมื่อกี้ฉันรู้สึกเหมือนหูฝาดที่เขาตกลงทุกข้อที่ฉันขอ ใช่มันง่ายกว่าที่ฉันคิดเอาไว้มาก และเมื่อฉันขออะไรเขาก็โอเคหมดไม่มีค้าน อย่างว่าอะเนอะเพราะเขาก็ไม่ได้เต็มใจกับการแต่งงานนี้เลยยอมตกลงกับข้อเสนอของฉันอย่างง่าย ๆ อย่าลืมสิว่าเราสองคนแค่ตกลงยอมแต่งงานเพราะหลีกเลี่ยงสัญญาของพวกผู้ใหญ่ไม่ได้
จากตอนแรกที่ฉันลำบากใจเรื่องแต่งงาน แต่เพราะพี่ภีมม์ดูเป็นคนสุภาพและพูดง่ายกว่าที่คิดไว้ เลยทำให้ฉันรู้สึกโล่งอก โล่งอกที่เขาไม่ได้เป็นคนน่ากลัวอย่างที่ฉันกลัวในตอนแรก ที่สำคัญคือเอ่อ...นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของเขาที่มองมา มันทำให้หัวใจของฉันสั่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นี่...ฉันคงไม่ได้ตกหลุมรักเขาในครั้งแรกหรอกใช่ไหม หรือบางทีที่ฉันใจสั่นอย่างตอนนี้อาจจะเป็นเพราะว่าเขาดูหล่อมาก ๆ เท่านั้นเอง
เมื่อเราสองคนตกลงเรื่องการแต่งงานกันเรียบร้อยก่อนที่จะแยกย้ายไปบอกผู้ใหญ่ของกันและกัน ฉันเลยขอเป็นฝ่ายขอตัวแยกกับเขาก่อน แม้เขาจะอาสามาส่งฉันก็ตามที
“เฟิร์นว่าจะแวะไปหาเพื่อนก่อนเข้าบ้านค่ะ”
“ให้พี่ไปส่งบ้านเพื่อนไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ เพื่อนเฟิร์นอยู่แค่คอนโดตรงนี้เองไม่ไกลเท่าไหร่”
เราเอ่ยปากลากัน ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้มศีรษะให้ฉันเล็กน้อย และฉันเองก็ทำแบบเดียวกันคือก้มศีรษะให้กับเขา แต่ทันทีที่กำลังเงยหน้าขึ้น
“อุ้ย กางเกงตรงหัวเข่า” บังเอิญฉันตาดีมองไปเห็นกางเกงตรงหัวเข่าของเขาคล้ายเป็นรอยขาดเล็กน้อย ซึ่งดู ๆ ไปเหมือนคนหกล้มมา แต่เพราะกางเกงสีเทาเข้ม ๆ ทำให้ฉันเพิ่งนึกอะไรออก ช่างเหมือนที่ฉันเห็นผู้ชายที่วิ่งเข้าไปช่วยอุ้มเด็กจนตัวเองไถลไปกับพื้นถนนก่อนหน้านี้
-อย่าบอกนะว่า-
“พอดีเมื่อกี้ผมช่วยเด็กกำลังจะโดนรถชน”
-นั่นไงว่าแล้วเป็นเขาจริง ๆ ด้วย-
ยิ่งพอรู้แบบนี้ฉันเลยยิ่งรู้สึกดีกับเขามากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าประทับใจตั้งแต่เห็นแค่แผ่นหลังตอนที่เขาเข้าไปอุ้มเด็กคนนั้นแล้ว และยิ่งมารู้ในตอนนี้อีกว่าผู้ชายหล่อ ๆ แต่ใจดีคนนี้กำลังจะกลายมาเป็นเจ้าบ่าวในอนาคต หัวใจมันก็รู้สึกเหมือนเต้นแรงบอกไม่ถูก
“เป็นพี่ภีมม์นี่เอง” ฉันส่งยิ้มให้กับเขา
“ขอบคุณสำหรับพลาสเตอร์สีชมพูนี่นะครับ” เขาพูดพลางส่งยิ้มน้อย ๆ กลับมาให้กับฉัน
งื้อ...ผู้ชายอะไรไม่รู้เวลายิ้มแล้วน่ารักเป็นบ้า เขาจะรู้ไหมนะว่าเขากำลังทำให้ฉันตกหลุมรัก ถึง...อาจจะเป็นแค่ฉันคนเดียวที่รู้สึกดี ๆ แบบนี้แค่ฝ่ายเดียว โดยที่เขาอาจไม่เต็มใจในการแต่งงานครั้งนี้ก็ตามที เฮ้อ...พอคิดถึงข้อนี้ก็รู้สึกหน่วงในใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
...หลังจากที่เราสองคนตกลงกันและผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรับทราบ ก็ตามมาด้วยการแต่งงานอย่างง่าย ๆ ในเดือนถัดมา ซึ่งก่อนหน้างานแต่งงานไม่กี่สัปดาห์งานที่ฉันแอบไปสมัครเอาไว้ก็เพิ่งได้รับการตอบรับ ทำให้ในใบสมัครงานของฉันยังคงสถานะโสด...ผิดกับในเวลานี้ที่ฉันกลายเป็นเจ้าสาวในวัยแค่ยี่สิบ
พวกเราทำพิธีเล็ก ๆ อย่างเรียบง่าย ซึ่งดูพวกผู้ใหญ่จะมีความสุขมากกว่าเราทั้งสองคนอีก พวกท่านมาส่งเราสองคนที่หอ และเชื่อไหมเราสองคนต้องทำเป็นแสดงว่าเข้ากันได้ดีมาก ถึงจะออกฝืน ๆ ก็ตามทีเถอะ
ห้องหอของเราคือคอนโดสุดหรูกลางเมืองมีขนาดเกือบร้อยห้าสิบตารางเมตรเป็นแบบสองห้องนอน ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สุดหรู ทำเอาฉันรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยว่าพี่ภีมม์เป็นแค่เซลล์ขายรถธรรมดาทำไมถึงสามารถซื้อคอนโดหรูย่านกลางเมืองราคาหลายสิบล้านแบบนี้ได้ แต่ก็นะอาจจะเป็นสมบัติของพ่อกับแม่เขา ไม่งั้นลำพังเซลล์ธรรมดาซื้อคอนโดหรูแบบนี้ไม่ได้แน่
“ว่าแต่อีกห้องคือห้องนอนของเฟิร์นใช่ไหมคะ”
ฉันเอ่ยขึ้นหลังจากที่ส่งผู้ใหญ่กลับกันไปหมดแล้ว
“งั้น...เดี๋ยวพรุ่งนี้เฟิร์นจะได้เอาของเข้ามาไว้ที่ห้องโน้น” ฉันรีบดีดตัวลุกขึ้นยืนจากเตียงนอนที่โรยด้วยกลีบกุหลาบสีขาวเป็นรูปหัวใจ เพราะรู้สึกเขินแปลก ๆ เวลามองพี่ภีมม์ในชุดสูทเจ้าบ่าวสีขาว หัวใจของฉันมันเต้นแรงซะจนแทบหลุดออกมากองอยู่ข้างนอก
“อีกห้องเป็นห้องทำงานของพี่ครับ ที่คอนโดนี้มีแค่ห้องเดียว”
“อ้าว แล้วไหนว่าเราจะแยกห้องนอนกันไงคะ”
“พี่บอกเราวันนั้นว่าถ้าทำได้...”
“ใช่ค่ะ พี่ภีมม์บอกเฟิร์นว่าถ้าทำได้ไงคะ”
“ถ้าทำได้ แต่…มันทำไม่ได้ไงครับ พอดีงานพี่ค่อนข้างเยอะและอาจจะมีบางทีที่ต้องเคลียร์งานยันเช้า เกรงว่าพี่อาจจะรบกวนเวลานอนของเรา” นั่นเป็นเหตุผลที่พี่ภีมม์บอกกับฉัน แต่ฟังดูไม่เข้าท่ามากที่สุด เซลล์ขายรถที่ไหนต้องนั่งทำงานยันเช้า
“งั้นหมายความว่าเราสองคนต้องนอนด้วยกันงั้นหรือคะ แน่ใจนะว่าพี่ภีมม์จะไม่ทำอะไรเฟิร์น”
“ครับ...ถ้าเป็นไปได้”
เอาอีกแล้วพี่ภีมม์เล่นตอบกำกวมแบบนี้อีกแล้ว ฉันหน้างอออกมาไม่รู้ตัวแต่มันคงไม่มีทางเลือกแหละ จะออกไปนอนโซฟาเองก็ใช่ที่ หรือจะไล่พี่ภีมม์ออกไปนนอนที่โซฟาก็ใช่เรื่อง
น้องเกิด 1 กุมภาพันธ์ วั้นนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเพราะคุณแม่น้องเพิ่งคลอดใหม่ๆและเขาเจอน้องครั้งแรกในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั่นเป็นครั้งแรกที่ภีมม์เจอกับใบเฟิร์นทั้งสองบ้านสนิทกันมากไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ จนกระทั่งครอบครัวของภีมม์ ย้ายไปทำธุรกิจที่เมืองอเมริกา ภีมม์เลยไม่ได้มาหาใบเฟิร์นอีกแต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยลืมที่ตัวเองมีเจ้าสาว…#ภีมม์ตอน 9 ขวบ“แม่ครับ มีผู้หญิงเอาดอกกุหลาบมาให้ภีมม์ แต่ภีมม์ไม่รับไว้ ผิดไหมครับ”“อ้าว ทำไมละลูก”“ภีมม์บอกเขาว่าภีมม์มีเจ้าสาวแล้ว ภีมม์รับดอกไม้จากใครไม่ได้อีก ภีมม์ไม่ชอบให้ผู้หญิงคนอื่นมาทำแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ ภีมม์ขอแต่งงานกับน้องเฟิร์นเลยได้ไหมครับ”ตอนนี้ภีมม์โตขึ้นพอที่จะรู้ความหมายของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่หมายถึงคนที่ต้องแต่งงานอยู่ด้วยกัน“ไม่ได้ลูก น้องเพิ่ง 2-3 ขวบเอง เอาไว้ให้น้องเรียนจบมหาวิทยาลัยก่อนนะลูก”“งั้นถ้าจบ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ใบเฟิร์นเป็นเจ้าสาวของภีมม์เลยนะครับ”“น้องภีมม์ครับ การเป็นเจ้าบ่าวคนไม่ใช่แค่เราไปขอเขาแต่งงานแล้วแต่งงานกันได้เลยนะครับ ก่อนอื่นลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่ง ให้ได้ทำงานดี ๆ เป็นผู้นำคน มีอาชีพแ
“ภีมม์เข้ามาดูน้องสิลูก”เสียงผู้เป็นแม่หันมาเรียกลูกชายวัยเจ็ดขวบ เดินเข้ามาที่เตียงทารกตัวน้อยจิ้มลิ้มตัวแดง ๆ แก้มจ้ำม้ำที่ขยับตัวดุกดิ๊กไปมาอยู่บนเตียง“น่ารักจัง ตุ๊กตาหรือครับหม่าม๊า”“น้องเป็นคนจ๊ะ ไม่ใช่ตุ๊กตา”ภีมม์ขยับเข้าไปใกล้ด้วยความสนใจ สองมือจับขอบเตียงเด็ก จ้องมองทารกตัวน้อยที่ลืมตาแป๋วแหว๋ว ก่อนที่เด็กน้อยจะยิ้มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างไม่รู้ภาษา มือน้อยควานสะเปะสะปะไปทั่ว ส่งผลให้ภีมม์ลองยื่นนิ้วชี้เข้าไปให้เด็กตัวน้อยจับด้วยความอยากรู้หมับ!มือเล็ก ๆ ของเธอนุ่มนิ่ม แต่จับเขาเอาไว้แน่นมาก“หม่าม๊าครับ น้องจับมือภีมม์แน่นเลย” ภีมม์ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนใช้นิ้วชี้อีกข้างที่ว่างอยู่ จิ้มแก้มซาลาเปาของเด็กตัวน้อยเพราะดูนุ่มหยุ่นไปหมด“จับแน่นแบบนี้ แสดงว่าน้องจองภีมม์ไว้เป็นเจ้าบ่าวแน่ ๆ เลย” เสียงคุณน้าที่นอนอยู่บนเตียงและเป็นแม่ของเด็กทารกน้อยเอ่ยขึ้น“เจ้าบ่าว? เจ้าบ่าวคืออะไรครับ”“เจ้าบ่าวก็คือคนที่ต้องอยู่กับน้องไปตลอดชีวิตยังไงคะ”“หมายถึง ให้น้องใช้มือนุ่ม ๆ จับมือภีมม์แบบนี้ไปตลอดแบบนี้เลย นะเหรอครับ?”“ใช่จ๊ะ จับมือกันไปตลอดจนแก่เฒ่า”“แล้วปล่อยได้ไหมครับ”“
หลังจากที่เราปรับความเข้าใจกัน ถึงตอนนี้ฉันก็ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาอะไรนั่นอีกแล้ว นอกจากจะเอาตัวเองมุ่งมั่นกับงานที่ทำ อย่างน้อยก็เพื่อให้งานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของพี่ภีมม์ดีที่สุด และเพื่อเป็นลบคำสบประมาทที่ใครต่อใครอาจจะนินทาฉันได้อีก ยิ่งตอนนี้พอมีพี่ภีมม์คอยให้กำลังใจและสนับสนุนงานฉันเต็มที่ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีพลังบวกเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่าถึงตอนนี้แม้คนจะยังคงซุบซิบเรื่องเดิม ๆ ของเรา แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันให้ความสนใจกับมันอีกต่อไป เพราะตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ฉันควรให้ความสนใจและสำคัญที่สุด คือความรักของฉันกับพี่ภีมม์มากกว่าที่มันมีมากขึ้นทุกวันต่างหากวันงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัททีเคยนต์มาถึงแน่นอนว่าเพราะเป็นรถนำเข้าหรูราคาหลายสิบล้าน ทำให้งานนี้เหล่าบรรดาเซเลปและสื่อมวลชนต่างให้ความสนใจกับงานวันนี้เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงคุณเจนนี่ที่ถูกเชิญมาเป็นแขกพิเศษมาร่วมงาน แต่กลับชอบทำตัวเสนอหน้าไปยืนอยู่ข้างพี่ภีมม์ทำเสมือนเป็นคนสำคัญข้างกายเขาเฮ้อ...จะว่าไปเธอก็น่าสงสารนะพยายามทำทุกอย่างก็แล้ว ก็ยังเป็นได้แค่เพื่อนฉันพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้นแต่สุดท้า
อึก...พออ่านถึงตรงนี้ น้ำตาฉันก็ไหลออกมาหนักกว่าเก่า(เห็นโน้ตที่พี่เขียนเอาไว้ไหมครับ) เสียงพี่ภีมม์แทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไปมีแต่เพียงสะอื้นที่แทรกเข้าไปในปลายสายเบา ๆ“ฮือ เห็นแล้วค่ะ ฮือ...พี่ภีมม์เฟิร์นขอโทษ”ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาเข้ามาในหัวใจ สุดท้ายแล้วพี่ภีมม์เองต่างหากที่เป็นฝ่ายรอรับสายโทรศัพท์มือถือจากฉัน ส่วนตอนนั้นที่ฉันโทรหาเขาไม่ติด ใช่ว่าพี่ภีมม์จะปิดเครื่องหนีแต่ความจริงแล้วตอนนั้นเขาอาจกำลังอยู่บนเครื่องบินเลยไม่ได้เปิดมือถือก็เป็นได้บ้าที่สุด ฮือ....(เฟิร์นครับ ถ้าพี่ทำให้เฟิร์นร้องไห้พี่ขอโทษนะ)“เฟิร์นต่างหากที่ควรขอโทษพี่ภีมม์”พี่ภีมม์วางสายไปแล้ว ในขณะที่ฉันหยิบกระดาษที่พี่ภีมม์ขึ้นมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาน้ำตามันไหลออกมาไม่หยุดเลย มีแต่ฉันที่คิดเองเออเองไปคนเดียวทั้งนั้นแล้วตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ฉันนั่งเสียใจและคิดมากอยู่เป็นคนเดียวทั้งเดียวล่ะ คืออะไรหลังจากที่ฉันวางสายจากพี่ภีมม์น้ำตามันก็ไหลออกมาราวกับทำนบแตก ครั้งนี้ฉันถึงได้ตระหนักเสียงหัวใจของตัวเองว่า ในเวลาที่ฉันไม่มีเขาหรือถ้าต้องเลิกกับเขาฉันคงทนไม่ไหวแน่ นี่สินะที่ใครๆ บอกไว้ว่าเราจะรู้ค่าขอ
ฉันรู้สึกจุกนิดหน่อยที่พวกเอ่ยถึงคุณเจนนี่ ดูเหมือนคุณเจนนี่น่าจะมีอิทธิพลต่อคนกลุ่มนี้พอสมควร ความจริงมันก็ไม่แปลกนักหรอกเพราะคุณเจนนี่มาหาพี่ภีมม์มากกว่าฉันที่เป็นภรรยาตัวจริงเสียอีก ซึ่งฉันไม่แปลกใจอะไรเลยสักนิดเมื่อคิดขึ้นได้ว่าพวกหล่อนอาจจะสนิทกับคุณเจนนี่มากพอสมควร“ถ้าพวกคุณว่างมากน่าจะไปทำงานกันนะคะ ถ้าคุณภีมม์รู้ว่าจ้างคนแบบพวกคุณมาทำงานเขาคงไม่ค่อยโอเค เห็นทีฉันคงต้องรายงานพี่ภีมม์บ้างแล้วละ”“แหมทำตัวเนียนเหมือนเป็นภรรยาเจ้าของบริษัทตัวจริงเลยนะ โน้นจ๊ะคุณภีมม์กับภรรยาตัวจริงเขาตอนที่อยู่ที่วอชิงตันดีซี” ไม่พูดเปล่าผู้หญิงคนนั้นยังเปิดรูปจากไอจีคุณเจนนี่ ที่เช็กอินอยู่ที่รัฐวอชิงตันดีซีมาให้ฉันดูแน่นอนในรูปมีพี่ภีมม์อยู่ในรูปของเธอจริง ๆภาพที่เห็นแม้สองคนจะไม่ได้ยืนใกล้ชิดกันแบบสนิทสนมแต่ก็ทำให้รู้ว่าทั้งสองคนอยู่ที่เดียวกันนี่สินะ...สาเหตุของการไม่โทรหาฉันเลยตลอดอาทิตย์นี้หัวใจมันชาจนแทบไม่มีความรู้สึก เมื่อเห็นว่าพี่ภีมม์อยู่กับคุณเจนนี่ที่อเมริกา ถึงจะเป็นรูปที่เธอเช็กอินเมื่อสองสามวันก่อน แต่มันทำให้มั่นใจได้เลยว่าคุณเจนนี่กับพี่ภีมม์คงเดินทางไปด้วยกันจากที่ตั้งใจจะ
น้ำตามันไหลออกมาจากไหนมากมายหนักก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันร้องไห้จนเผลอหลับไปบนที่นอน จนตอนเช้าของอีกวันเช้าที่ไม่มีพี่ภีมม์อยู่ข้าง ๆ ฉันต้องลากตัวเองเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวทั้งที่ตายังบวมเป่งจนเกือบจะปิด ดูตลกมากเสียจนต้องหาอะไรเย็น ๆ มาประคบเปลือกตาให้ยุบลงก่อนไปทำงาน“คุณเฟิร์น” ในขณะที่ฉันยืนเรียกรถ TAXI อยู่หน้าตึกก็พบว่าคนขับรถของพี่ภีมม์มารออยู่ก่อนแล้ว“อ้าว! สวัสดีค่ะคุณโจ มารับพี่ภีมม์เหรอคะพี่ภีมม์ไม่อยู่หรอกค่ะ น่าจะติดธุระ”“อ่อทราบแล้วครับ เมื่อวานผมเพิ่งไปส่งคุณภีมม์ขึ้นเครื่อง”“คะ...ขึ้นเครื่อง?”“คุณภีมม์ได้บอกคุณเฟิร์นเหรอครับ เห็นว่ามีประชุมด่วนกับบอร์ดบริหารของรถยนต์”“ออค่ะ เฟิร์นไม่ทราบเลย” ฉันพูดเพราะไม่รู้จริง ๆ พี่ภีมม์ไม่ได้บอกอะไรฉันเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะไปไหน อย่าว่าแต่เปิดเครื่องรับสายฉันหรือโทรมาเขายังไม่โทรมาด้วยซ้ำคุณโจทำสีหน้างง ๆ ก่อนจะเปิดประตูรถให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถ“เมื่อวานคุณภีมม์บอกว่าคุณน่าจะไม่สบายเลยให้นอนพักครับ ผมก็นึกว่าคุณจะไม่ออกไปทำงานเลยไม่ได้กลับมารอรับ”“อ่าค่ะ” ฉันซึ่งยังมึนงงอยู่เพราะไม่รู้ว่าพี่ภีมม์ไปไหนเลยยังสับสนอยู่เล็กน้อยจริงสินะเมื่อ