Mag-log inบทที่ 2
“ใช่เหรอ ดูยังไงก็ไม่เหมือนอะ” หลังจากได้ลอบมองผู้ชายหน้าตาดีตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้ง เธอก็แย้งขึ้นอีก
“สิ่งที่แกเห็นมันเป็นแค่ภาพลวงตา เป็นแค่ฉากหน้าที่เขาสร้างขึ้นมาเท่านั้นแหละ อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น ต้องเชื่อฉันนี่ ฉันนี่แหละเชื่อถือได้มากที่สุด” เห็นแวววิวาห์ยืนยันเสียงแข็งพลางชี้มาที่ตัวเอง พริมรตาก็เริ่มเอนเอียงอีก
“เสียดายของอะ” เธอพึมพำเบาๆ แต่เพื่อนก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน
“ยัยแม่ชีใจแตก เดี๋ยวนี้ริอาจเสียดายผู้ชายกับเขาด้วย เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนฉันเนี่ย” แวววิวาห์ล้อเลียน
“ใจแตกอะไรเล่า ฉันก็แค่…” เธอรีบแก้ต่าง แต่ก็ถูกเพื่อนแทรกขึ้นมาอีก
“แค่หวั่นไหวเพราะผู้ชายหน้าตาดีงี้เหรอ ไอ้พรีมฉันก็อยากจะดีใจอยู่หรอกนะที่เห็นแกใจสั่นกับผู้ชายเหมือนคนอื่นเขาบ้าง แต่นั่นมันเกย์นะแก ต่อให้แกใจสั่นให้ตาย เขาก็ไม่มองชะนีอย่างเราๆ หรอก ฉันควร…” เพราะใส่อารมณ์มากเกินไป เสียงของแวววิวาห์ก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ดังจนผู้ใหญ่ที่ยืนคุยกันอยู่ต้องหันมาเอ็ด
“มัวแต่ซูบซาบกันอยู่ได้ ยะหยังตึงบ่ะเข้ามาตั๊กตายป้อเลี้ยงก๊ะ เด็กสองคนนี้นี่ไปอยู่ในเมืองเมิน บ่ะฮู้จักมารยาทแล้วก๋า (มัวแต่ซุบซิบกันอยู่ได้ ทำไมถึงไม่เข้ามาทักทายพ่อเลี้ยง เด็กสองคนนี้นี่ไปอยู่ในเมืองนาน ไม่รู้จักมารยาทแล้วรึไง)” สองสาวโดนแม่สายใจหันมาดุถึงกับทำหน้าแหย รีบเดินออกมายกมือไหว้เจ้าของไร่ชื่อดังทันที
“สวัสดีป้อเลี้ยงเจ้า (สวัสดีค่ะพ่อเลี้ยง)” แวววิวาห์ทักทายด้วยคำเมือง ในขณะที่พริมรตาเพียงยกมือไหว้ตามเพื่อน
“ป้อเลี้ยงเจ้าจำน้องได้ก่อ น้องวาเปิ้นไปทำงานอยู่กรุงเทพเมินละ ส่วนนี่กะน้องพรีมเพื่อนน้องวาฮั่นล่ะ ฮู้จักกั๋นไว้เน่อ เผื่อมีเรื่องอะหยังกะจะได้จ้วยกั๋น (พ่อเลี้ยงจำน้องได้ไหม น้องวาเขาไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพนานแล้ว ส่วนนี่ก็น้องพรีมเพื่อนของน้องวา รู้จักกันไว่สิ เผื่อมีเรื่องอะไรจะได้ช่วยกันได้) ” แม่อุ้ยที่ดูจะยิ้มกว้างกว่าใครเพื่อนบอก ด้วยอยากให้หลานสาวได้ดองกับคนดีที่หมายตาไว้
“จะอั้นกะอู้กันไปก่อนเน่อ แม้อุ้ยจะไปผ่องานตางโน้นก่อน (ถ้างั้นก็คุยกันไปก่อนนะ ยายจะไปดูงานทางโน้นก่อน)” แม่อุ้ยพยายามเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้คุยกัน ด้วยการลากแม่สายใจออกไปด้วย
“เชิญป้อเลี้ยงตางนั้นดีกว่าเจ้า (เชิญพ่อเลี้ยงทางนั้นดีกว่าค่ะ)” แวววิวาห์ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี ด้วยการเดินนำอีกฝ่ายไปยังพื้นที่รับรองแขก แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงมันคือแผนการ
“ช่วยฉันหน่อยนะพรีม” พริมรตาหันมาทำหน้างง ยังไม่ทันจะถามว่าเพื่อนจะให้ช่วยอะไร เธอก็ต้องร้องเสียงหลงออกมา
“เฮ้ย!” พริมรตาถูกเพื่อนขัดขาจนเกือบเสียหลัก โชคดีที่คนที่เดินตามมาติดๆ อย่างพ่อเลี้ยงพิมายเข้ามารับไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นเธอคงได้ล้มหงายลงไปจนอายคนทั้งงานเป็นแน่
เธอตกอยู่ในอ้อมกอดเขา ในขณะที่เขาก็เหมือนจะชะงักนิ่งไปเพราะกลิ่นหอมจางๆ ที่ลอยมาเตะจมูก กระทั่ง…
“ขะขอบคุณค่ะ” หลังรู้สึกว่าถูกกอดนานเกินไป เธอจึงพยายามดันตัวออกจากอ้อนแขนแข็งแกร่งนั่น ซึ่งเขาเองก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ก่อนจะเดินห่างออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ไอ้วาแกทำบ้าอะไรของแกเนี่ย เกิดฉันล้มหัวฟาดพื้นขึ้นมาจะทำยังไง” ทันทีที่ได้อยู่กันตามลำพัง พริมรตาก็รีบเข้าไปเอ็ดเพื่อนเสียงเขียว
“โทษทีพรีม คือฉันแค่อยากพิสูจน์อะไรบางอย่างน่ะ” แวววิวาห์บ่นงึมงำ
“พิสูจน์ด้วยการขัดขาฉันเนี่ยนะ เพื่อ?” ถ้าไม่เกรงใจที่วันนี้คนพลุกพล่านเต็มบ้าน พริมรตาคงเสียงดังยิ่งกว่านี้
“ก็เพื่อให้เขาร้องออกมาว่า ว้าย! ตายแล้วนังชะนีน้อย เดินระวังๆ หน่อยสิยะไง เสียดายเจ๊เขาระวังตัวแจเลย คนอะไร keep look เวอร์” แวววิวาห์บ่นงึมงำ ในขณะที่พริมรตากลับเพียงแค่เม้มปากแน่น แล้วเดินหนีไป
“เฮ้ย! นั่นมันมุกคลาสสิคเลยนะ ถึงจะเก่าแต่ก็ยังใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง เอาน่าเมื่อวานถือว่าน้ำจิ้ม วันนี้สิของจริง” นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานแล้ว พริมรตาก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาทันใด อีกทั้งหน้าตาเจ้าเล่ห์ของเพื่อนมันก็ไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย
ขณะที่สองสาวกำลังคุยกันเพลิน จู่ๆ เสียงทุ้มๆ ของใครบางคนก็ดึงเอาความสนใจของคนทั้งคู่ให้หันไปมอง
“คุณหื้อคนไปฮ้องผมมา มีอะหยังก่อครับ (คุณให้คนไปตามผมมา มีอะไรรึเปล่าครับ)” พ่อเลี้ยงพิมายเข้ามาคุยด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่นัยน์ตาคมกล้าที่หันมาสบตากับเธอ มันกลับไม่เฉยดังสีหน้า ถึงแม้จะเพียงแค่แวบเดียว แต่มันก็ทำให้ใจเธอเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะได้
“อ้อ! บ่ะได้มีอะหยัง เปิ้นกับเจ้าหมู่มาจากกรุงเทพ ไค่จะไปแอ่วน้ำตกกั๋น แต่บ่ค่อยคุ้นตาง หันแม่บอกว่าคุณไปบ่อย เลยอยากขอจ้วยหื้อคุณพาไป (อ้อ! ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พอดีฉันกับเพื่อนมาจากกรุงเทพ แล้วอยากจะไปเที่ยวน้ำตกกัน แต่ไม่ค่อยคุ้นทาง เห็นแม่บอกว่าคุณไปบ่อย เลยอยากขอช่วยให้คุณพาไป)” พริมรตาได้แต่ขมวดคิ้วสงสัย ว่าตัวเองอยากไปเที่ยวน้ำตกอย่างที่เพื่อนบอกตอนไหน
“ได้สิ ถ้าจะอั้นผมขอไปเตรียมของก่อน แหมสิบนาทีผมจะมาฮับ (ได้สิ ถ้างั้นผมขอไปเตรียมของก่อน อีกสิบนาทีจะมารับ)” สิ้นเสียงพ่อเลี้ยงหนุ่มก็เดินเลี่ยงออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม
“แข็งอย่างกับหินแบบนั้นเนี่ยนะเกย์ ใช่เกย์จริงๆ เหรอวะแก” ลับหลังพ่อเลี้ยงหนุ่ม พริมรตาก็โพล่งออกมา ด้วยอะไรหลายๆ อย่างมันทำให้เธอไม่อยากจะเชื่อตามเพื่อน
“อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นเด็ดขาดพรีม นี่อาจจะเป็นตัวตนที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกเรา แกลองคิดดูนะ ผู้ชายที่เพอร์เฟคทุกกระเบียดนิ้วขนาดนี้ แต่กลับไม่มีข่าวเรื่องผู้หญิงเลย แกว่ามันไม่แปลกเหรอ” พริมรตาคิดตามพลางพยักหน้าให้ พลันอีกเรื่องก็แวบเข้ามาในหัวอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้
“ว่าแต่แกมีนัดกับน้องคำแปงว่าจะไปลองชุดกันไม่ใช่เหรอ” ใช่! เธอจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเพื่อนต้องพาน้องสาวไปรับชุดแต่งงานในเมือง
“อื้อ! ใช่” แวววิวาห์พยักหน้า
“แล้วแกไปนัดเขาแบบนั้นเพื่อ?”
“เพื่อให้แกกับเขาไปกันสองคนไง”
“ไอ้วา ทำบ้าอะไรของแกเนี่ย เกิดฉันยั่วจนเขาโมโห จับฉันฆ่าปาดคอแล้วหมกป่าจะทำยังไง” เธอโวยลั่น เมื่อเพื่อนรักทำอะไรไม่ปรึกษากันก่อน
“ฉันก็จะหาหมอผีที่ดีที่สุดมาสวดเรียกวิญญาณแกกลับบ้านไง ฮ่าๆๆ ล้อเล่น แกนี่ท่าจะดูหนังเยอะไปนะ ใครเขาจะทำแบบนั้นกันเล่า คนระดับพ่อเลี้ยงพิมายไม่เอาอนาคตมาทิ้งเพราะมีคดีฆ่าหมากระเป๋าหรอกน่า” คนถูกหาว่าเป็นหมากระเป๋าถึงกับหันขวับมามองตาขวางทันที
“โอเคๆ ไม่เล่นแล้วก็ได้ เอานี่ไว้ ในนี้มีทั้งสเปรย์พริกไทย มีด แล้วก็เครื่องช็อตไฟฟ้า ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล แกก็หยิบขึ้นมาใช้ทันที ส่วนนี่…เอาไว้เก็บหลักฐาน” แวววิวาห์ยื่นกระเป๋าผ้าใบเล็กมาตรงหน้า ก่อนจะหยิบกล้องตัวเล็กๆ มายื่นให้ด้วย
“แกจะให้ฉันตั้งกล้องแอบถ่ายเขาเนี่ยนะ โอ๊ย! ฉันคิดถูกคิดผิดเนี่ยที่ช่วยแก” เธอได้แต่รับของนั่นมาด้วยสีหน้าทดท้อ แต่เรื่องก็ยังไม่จบแค่นั้น
“ถูกสิ ชีวิตฉันทั้งชีวิตอยู่ในมือแกนะพรีม พยายามหาที่เหมาะๆ วางเจ้ากล้องนี่ไว้ แล้วก็ถ่ายทุกอย่างไว้เป็นหลักฐาน ทีนี้แหละถ้าแม่กับยายเห็น เขาจะได้เลิกบังคับฉันสักที ส่วนตอนนี้ แกต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
“แต่น่ากลัวกว่าที่คิดเยอะ เพราะงั้นถ้าไม่อยากถูกฆ่าปาดคอ อย่าคิดที่จะทิ้งผมเชียว”“ไม่ต้องห่วง ถ้าเธอยอมทิ้งหมอนี่ ฉันจะแถมเงินให้อีกก้อนหนึ่งเลย” เพลิงเสริมขึ้นบ้าง ทำเอาหลานชายถึงกับโวยลั่น“สมัยนี้มีใครเขากีดกันความรักของลูกหลานกันอีก น้านี่เชยชะมัด”“ฉันไม่ได้กีดกัน ฉันแค่หวังดี อยากให้ผู้หญิงเขาไปมีอนาคตที่ดีต่างหาก” เพลิงอดเหน็บให้อีกไม่ได้“เฮ้! นี่น้าเป็นน้าแท้ๆ ของผมรึเปล่า หรือผมเก็บน้ามาเลี้ยงกันแน่เนี่ย”“เพราะปากแบบนี้ไง ฉันถึงอยากให้เขาทิ้งแก เจติยา...ในฐานะที่เธอเป็นเพื่อนกับเมียฉัน ฉันขอเตือนด้วยความหวังดี ถ้าไม่อยากปวดหัว ก็เลิกกับหมอนี่ไปเถอะ” เพลิงหันมายุยงกับเจติยาอย่างนึกสนุก“เฮ้ย! อะไรของน้าเนี่ย ถ้าเขาเกิดทิ้งผมขึ้นมาจริงจะว่าไงเนี่ย” ในขณะที่หลานชายโวยลั่นราวกับเด็กน้อยถูกแย่งของเล่น แต่น้าชายกลับยักไหล่อย่างไม่แยแส พ่อหลานชายตัวดีจึงหันไปหาที่พึ่งอื่น“พ่อครับ งั้นพ่อต้องช่วยผมนะครับ ช่วยพูดกับผู้หญิงคนนั้นทีว่าอย่าทิ้งผม” คนถูกเรียกว่าพ่อครั้งแรกถึงกับนิ่งอึ้ง ทั้งดีใจทั้งตื้นตันจนบอกไม่ถูก กระทั่ง...เพียะ!“เลิกเล่นได้แล้ว ไม่งั้นฉันได้ทิ้งนายจริงๆ แน่” เจต
“ถ้าพวกแกทำอะไรฉัน คิดเหรอว่าจะได้อยู่อย่างสงบ โดยเฉพาะคุณ...อาราชิ”“กะอีแค่กำจัดคนเลวๆ ให้พ้นไปจากแผ่นดิน มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนี่ อีกอย่างไม่มีคุณสักคน อะไรๆ ก็คงดีขึ้น” พายุเอาคำพูดอีกฝ่ายมายอกย้อน ทำคนถูกย้อนถลึงตาด้วยความเกรี้ยวกราด“เรื่องนี้ยูมิไม่เกี่ยวนะคะคุณลุง ก็อย่างที่คุณลุงว่า หนูเป็นเครื่องมือของผู้หญิงคนนี้ หนูเป็นเหยื่อนะคะคุณลุง” อายูมิโอดครวญเอาตัวรอดด้วยความรักตัวกลัวตาย“ไม่ยักรู้ว่าเหยื่อจะปากเก่งได้ขนาดนี้ แต่เอาเถอะ ไว้ฉันจะหาวิธีจัดการกับเธอทีหลัง ส่วนคุณ...เราคงต้องจบความแค้นทั้งหมดไว้แต่เพียงเท่านี้” สิ้นเสียงหัวหน้าแก๊งคาอิดะยกปืนขึ้นมาจ่อ แต่ก่อนจะทันได้ลั่นไก เสียงหลานชายก็ดังขึ้น“เดี๋ยวครับ เลือดต้องล้างด้วยเลือด ในเมื่อผู้หญิงคนนี้เป็นคนฆ่าแม่ผม ก็ควรให้ผมเป็นคนจัดการถึงจะถูก” นทีว่าพลางยกปืนขึ้นมาอีกคน แต่ก็มีอันต้องหยุดชะงักอีก“ฉันเองก็แค้นมันไม่น้อยไปกว่าใคร อย่าลืมสิว่ามันก็ฆ่าแม่ฉัน แล้วก็เกือบจะฆ่าฉันด้วย” เพลิงแค้นจนแทบอยากจะฉีกเนื้อผู้หญิงคนนี้ออกมาเป็นชิ้นๆ จึงยกปืนขึ้นมาเล็งด้วยอีกคน“ซับซ้อนไปอีก ถึงกับเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว ต้องเลวเบอร
“หมายความว่าไง” คำพูดที่ทำให้ฉุกคิดทำให้เขาโพล่งถามเสียงเข้ม“เธอไม่จำเป็นต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าฉันทำอะไรได้มากกว่าที่เธอคิด โดยไม่จำเป็นต้องสนใจคนที่เป็นได้แค่หุ่นเชิดอย่างตาของเธอ” ไอโกะเหยียดริมฝีปากยิ้มเยาะ แต่รอยยิ้มนั้นต้องจางหายไป เมื่อเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น“นั่นสินะ ผมก็เป็นได้แค่หุ่นเชิดในสายตาของคุณ” พายุ หรือที่รู้จักกันในนามอาราชิหัวหน้าแก๊งคาอิดะเดินออกมาจากกลุ่มของชายชุดดำ การปรากฏตัวของเขาทำให้ไอโกะหน้าเสีย แต่เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นเชิดหน้าหยิ่งผยองดังเดิม“เหตุผลที่ทำให้คุณอุตส่าห์ถ่อมาไกลถึงนี่ เพราะอยากได้หุ่นเชิดตัวใหม่สินะ หึ! แก่แล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยวาง คงกลัวว่าถ้าหลานผมเข้ามารับตำแหน่ง คุณจะกลายเป็นสุนัขแก่ๆ ตัวหนึ่งที่ไม่มีอำนาจ เลยหวังจะใช้หลานสาวมาเป็นเครื่องมือเพื่อควบคุมหลานผมให้อยู่ในโอวาท แต่เชื่อเถอะว่าครั้งนี้จะไม่ง่ายเหมือนครั้งที่ผ่านมา เพราะผมนี่แหละจะขัดขวางคุณทุกวิถีทาง” พายุจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็งอย่างไม่มีใครยอมใคร“ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู ถึงขนาดลงทุนแฝงตัวเข้ามา คงคิดว่าจะทำอะไรฉันได้ คนอย่างฉันถ้าไม่มีเขี้ยวเล็บ คงไม่อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ อย่าว่
“อย่าดื้อสิ นี่ไม่ใช่เวลาที่คุณจะมาต่อต้านผมนะ” เขาขอร้อง พลางมองออกไปนอกนอกหน้าต่างด้วยความร้อนใจ“ฉันไม่ได้ต่อต้าน แต่ในเมื่อนายบอกว่ารักฉัน ฉันเองก็รักนาย แล้วจู่ๆ มาบอกให้ฉันทิ้งนายทั้งที่นายตกอยู่ในอันตรายเนี่ยนะ ไม่มีคนรักที่ไหนเขาทำกันหรอก ฉันรู้ว่านายเป็นห่วง ไม่อยากให้ฉันเป็นอันตราย แต่รู้ไหมว่าฉันเองก็ไม่อยากเห็นนายเป็นอะไรไปเหมือนกัน ถ้าวันนี้ฉันเป็นคนที่รอด เคยคิดบ้างไหมว่าฉันจะใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความทรมานแค่ไหน ฉันอยู่ไม่ได้หรอกนะถ้าไม่มีนาย”“โอเค ไม่ทิ้งก็ไม่ทิ้ง ถ้าจะอยู่ก็อยู่ด้วยกัน ถ้าจะตายก็ตายมันด้วยกันนี่แหละ” เขาตอบรับด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ สร้างความพอใจให้คนดื้อรั้นจนต้องยิ้มออกมา ก่อนจะสะดุ้งเพราะเสียงเคาะกระจกด้านข้างก๊อก ก๊อก ก๊อกสองคนหันมองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูแล้วก้าวออกไปพร้อมกันอย่างสง่าผ่าเผย โดยมีพลขับด้านหน้าก้าวตามลงมาติดๆ“พวกแกเป็นใคร” คนถูกล้อมเอาไว้สอดส่ายสายตามองคนต่างชาติที่อยู่ในชุดดำแล้วโพล่งถามออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน แต่กลับไร้ซึ่งคำตอบ กระทั่งผู้หญิงคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ“ดูดีกว่าที่คิดนี่” หญิงสาวหน้าตาดีมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วใช้ภาษ
“คนชั่วๆ แบบนี้เก็บเอาไว้ก็เป็นภัยต่อสังคม ควรส่งไปลงนรกให้หมดทั้งคนสั่งและคนถูกสั่ง” นทีว่าพลางหันปลายกระบอกปืนไปที่คนพวกนั้นอย่างหมายมาด ทำเอาพวกมันถึงกับต้องร้องขอชีวิตกันลนลาน“อย่าเลย ฉันไม่อยากให้มือนายต้องเปื้อนเลือดชั่วๆ ให้มีมลทิน สู้ปล่อยให้พวกมันไปชดใช้กรรมในคุก แล้วค่อยฝากให้คนข้างในช่วยจัดการยังจะสาสมกว่า” ความคิดที่แยบยลนี้ทำเอาทุกคนผงะนัยน์ตาเบิกกว้าง โดยเฉพาะคนที่ต้องเข้าไปชดใช้กรรมในคุก คงมีก็แต่อีกคนที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่เหลือเค้าความถมึงทึงก่อนหน้า ราวกับว่าภูมิใจในความคิดนี้ของเธอ และเหนือสิ่งอื่นใด...เขากำลังมีความสุข“ห่วงผมเหรอ” คนถามถามแล้วก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม ในขณะที่คนถูกถามกลับทำหน้างง ไม่เข้าใจท่าทีที่เปลี่ยนปุบปับของเขา“หา?”“ก็ที่บอกว่าไม่อยากให้มือผมเปื้อนเลือดไง” เธอเลิกคิ้ว ครั้นพอเข้าใจก็กลายเป็นยิ้มขำพลางส่ายหน้าน้อยๆ เมื่อได้รู้ถึงสาเหตุของท่าทีที่เปลี่ยนไปของพ่อคุณ จึงรีบพยักหน้าแทนคำตอบ“เห็นแก่ที่เมียฉันเป็นห่วง ไม่อยากให้มือฉันเปื้อนเลือดชั่วๆ ฉันจะยอมไว้ชีวิตพวกแกสักครั้ง เอาตัวพวกมันไปส่งตำรวจ” สิ้นเสียงคนของเขาก็ลากทั้งสามคนออกไปท่ามกลางเสียง
“นี่สินะธาตุแท้ของคุณ ก่อนหน้านี้ผมคงโง่เองที่มองไม่เห็น ก็ดี มีอะไรก็เผยออกมาให้หมด ผมจะได้ไม่ใจอ่อนเวลาที่เห็นตำรวจใส่กุญแจมือคุณ”“เลอะเทอะ ประสาทกลับรึไง ตำรวจจะมาจับฉันข้อหาอะไรไม่ทราบ ประสาทกลับ” ดวงเดือนว่าพลางเบะปากยิ้มเยาะ“ก็ข้อหาที่คุณจ้างคนมาทำร้ายลูกผมไง” ข้อหานี้ทำเอาคนที่เคยมั่นใจก่อนหน้าเสียอาการทันที แต่ก็ยังไม่วายปฏิเสธเสียงสูง“จ้างอะไร ทำร้ายอะไร อย่ามาพูดพล่อยๆ นะ ไม่งั้นคุณนั่นแหละจะโดนฉันฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท” ดวงเดือนเลิ่กลั่กหน้าเปลี่ยนสี“คิดอยู่แล้วว่าคนดื้อด้านอย่างคุณต้องไม่ยอมรับ ผมเองก็เบื่อจะเล่นเกมกวนประสาทกับคุณแล้วเหมือนกัน เอาตัวเข้ามา” นทีบอกด้วยสีหน้าเอือมระอา ก่อนตะโกนสั่งคนของตัวเองที่รออยู่ด้านนอกทันทีที่คนของเขาพาตัวชายฉกรรจ์สามคนเดินเข้ามา ดวงเดือนถึงกับชะงักหน้าเสีย ประจวบเหมาะกับที่หนึ่งในสามคนนั้นหันมาเผชิญหน้าพอดี“อีนังคุณนาย อีฉิบหาย เพราะมึงคนเดียวพวกกูเลยซวยกันหมด ถ้ามึงบอกตั้งแต่แรกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเมียมาเฟีย กูก็คงไม่ยุ่งด้วย” สภาพคนพูดที่ดูสะบักสะบอม ใบหน้าปูดโปน ทำเอาดวงเดือนใบหน้าซีดเผือด กอปรกับที่สามคนนั้นล้วนถูกปืนจ่อ ก็ยิ่







