บทที่ 3
“ทำไมต้องเปลี่ยน ชุดนี้ก็ดีอยู่แล้วนี่” เธอก้มมองชุดทะมัดทะแมงที่ตัวเองใส่อยู่
“มันจะดีได้ยังไง ในเมื่อมันยังไม่ใช่ชุดพร้อมรบ ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ไปเปลี่ยนซะ นี่แหละชุดพร้อมรบ” แวววิวาห์ว่าพลางหยิบชุดออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้
“เฮ้ย! แกเอาชุดอะไรมาให้ฉันใส่เนี่ย แกจะบ้าเหรอวา” เธอโวยลั่น เมื่อชุดที่แวววิวาห์ยื่นให้ มันทั้งวาบหวิวแล้วก็ไม่เหมะกับการไปเล่นน้ำเลยสักนิด กางเกงขาสั้นแค่คืบกับเสื้อรัดรูปบางเบา ใช่! มันทั้งบางแล้วเบาเลยแหละ อา…จริงๆ มันก็เหมาะแหละกับการใส่เล่นน้ำ ถ้าจะมีอะไรไม่เหมาะ ก็คงเป็นเธอกระมัง ให้ตายสิ! เธอรู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับตัวเองเลยสักนิด
“ใส่ไปเหอะน่าเชื่อฉัน ปังแน่ ปังเดียวอยู่เลย ใส่ชุดนี้ยั่วจนเขาร้องกรี๊ดๆ ออกมา แล้วก็ตะโกนว่า…นังชะนีอย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ” แวววิวาห์บอกพลางชี้มือชี้ไม้ทำท่าทางประกอบ
“ปังปินาศน่ะสิไม่ว่า แล้วแกจะให้ฉันเดินไปทั้งชุดนี้เนี่ยนะ” เธอหยิบชุดที่ว่านั่นขึ้นมามองอีกครั้ง
“ใครจะบ้าให้แกแต่งตัวแบบนี้ออกไปเดินโทงๆ เล่า แกก็แค่ใส่เอาไว้ข้างใน พอถึงเวลาแล้วก็ค่อยถอดออกไง ตกลงตามนี้นะ นี่ก็ใกล้ถึงเวลานัดกับคำแปงแล้วด้วย เอาเป็นว่าฉันไปก่อน ฝากด้วยนะพรีม แกคือความหวังของหมู่บ้าน ชีวิตฉันอยู่ในมือแกนะ” สิ้นเสียงแวววิวาห์ก็รีบเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป คนที่ถูกยัดเยียดหน้าที่อันหนักอึ้งจึงได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เมื่อไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ทักท้วงใดๆ
“อะเอ่อ…พอดีวาเขาติดธุระค่ะ ถ้าคุณจะ…” ทันทีที่เห็นพ่อเลี้ยงเดินมา พริมรตาก็รีบเดินเข้าไปบอก ด้วยหวังว่าอีกฝ่ายจะยกเลิกโปรแกรมวันนี้ แต่พูดยังไม่ทันจบ รายนั้นก็แทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์
“เชิญ!” เขาบอกพลางเดินอ้อมมาเปิดประตูรถข้างคนขับ ทำให้เธอจำต้องเดินมาหาแบบงงๆ แต่พอจะก้าวขาขึ้นรถ จำต้องมาชะงักเพราะความสูงของรถโฟวิลที่ถูกยกให้สูงกว่าโฟวิลทั่วไปอีก เธอหันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ครั้นพอเห็นสายตาดุๆ ของพ่อคุณ ขามันก็ยกขึ้นไปเหยียบบันไดข้างรถโดยอัตโนมัติ แต่เพราะความสูงของรถกับความสูงของเธอมันไม่ค่อยสมดุลกันเท่าไหร่ มันก็เลยกลายเป็นความทุลักทุเล ประหนึ่งเด็กน้อยพยายามปีนขึ้นรถคันใหญ่เกินตัว
“เฮ้ย!” เธอร้องเสียงหลง เมื่อคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง จู่ๆ ก็เข้ามายกอุ้มเธอจนตัวลอยหวือ กระทั่งเธอก็ถูกวางแหมะลงบนรถในที่สุด
“ขะขอบคุณค่ะ” ทันทีที่เขาขึ้นมานั่งอยู่ข้างๆ เธอก็พูดออกไปเบาๆ จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งเงียบกันมาตลอดทาง และไอ้ความเงียบนี่แหละที่ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดแทบบ้า กระทั่งรถคันใหญ่เคลื่อนมาหยุดอยู่ที่ชายป่า ความน่าอึดอัดนั้นก็พลันมลายหายไป ครั้นพอเปิดประตู ความอึดอัดนั้นก็กลับมาเยือนอีกครั้ง
“บ้าจริง! รู้งี้ตอนเด็กกินนมเยอะๆ ก็ดีหรอก” เธอบ่นกระปอดกระแปดก่อนคว่ำตัวเข้าหาเบาะหวังไถลตัวลงไป แต่แล้วจู่ๆ ตัวเธอก็ลอยหวืออีกครั้ง
“เฮ้ย!” อีกครั้งที่เธอร้องเสียงหลง หลังถูกคนตัวโตรวบขึ้นมาอุ้มเอาไว้ ครั้นจะดิ้นก็ไม่กล้า ก็ไม่รู้ว่ากลัวความสูงหรือกลัวหน้าดุๆ ของเขากันแน่
“ขะขอบคุณค่ะ” ให้ตายสิ! วันนี้เธอจะพูดแค่คำนี้รึไงนะ แต่ก็นะมันไม่มีคำไหนที่ดีกว่านี้แล้วนี่สำหรับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดตอนนี้
“เอ่อ…คะคือ…ฉะฉันเดินเองได้ค่ะ” เธออึกอักกระอักกระอ่วน ก็พ่อคุณเล่นอุ้มเธอไว้แล้วไม่ยอมปล่อย
“ทางข้างหน้าค่อนข้างลำบาก คุณเดินไม่สะดวกหรอก” สีหน้าเขายังคงเรียบเฉยดังเดิม อีกทั้งเสียงดุๆ ของเขามันก็ทำให้ยิ่งดูน่ากลัว
“สะดวกค่ะ” ให้ตายสิ! เธอแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอ
“งั้นก็ตามใจ” สิ้นเสียงเขาก็วางเธอลง จากนั้นก็เดินนำไป โดยไม่พูดอะไรอีก
“ทำไมต้องทำหน้านิ่งตลอดเวลาด้วย คนอะไรทำเป็นอยู่หน้าเดียว บ้าจริง! แล้วทำไมฉันต้องใจสั่นเพราะเกย์ด้วยเนี่ย ว้าย!” เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินบ่นงึมงำจนลืมมองทาง เธอจึงสะดุดรากไม้จนเกือบล้มหน้าคะมำ โชคดีที่เขาเข้ามารับไว้ได้ทัน
‘บ้าจริง! อย่างกับฉากสวีทของพระนางในละครหลังข่าว ติดก็แค่ฉากนี้ดันมีแต่นางเอกกับนางเอก หืม! หรือว่าเราเป็นตัวร้ายวะ’ เธออดคิดไม่ได้ กระทั่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังอยู่ในอ้อมกอดเขา
“ขะขอบคุณค่ะ” เธอพยายามดันตัวออกจากอ้อมกอดอบอุ่น แต่นอกจากเขาจะไม่ยอมปล่อย ยังเปลี่ยนมาย่อตัวอุ้มเธอไว้แทนอีก
“อุ๊ย!” หน้าเธอเหลอหลา หลังถูกอุ้มแบบไม่บอกไม่กล่าว
“ก็บอกแล้วว่าทางมันลำบาก ถ้าขืนยังเดินแบบนี้ พรุ่งนี้ก็คงไม่ถึง เอาเป็นว่าผมอุ้มไปเอง จะได้ไม่เสียเวลา”
“ตะแต่ว่าฉันเกรงใจ คุณอาจจะหนักแล้วก็เหนื่อย” เธอทำหน้าแหยพลางบอกเสียงอ่อยขณะถูกเขาพาอุ้มเดินไปตามทาง
“จะไปหนักอะไร ตัวคุณใหญ่กว่าหมากระเป๋าแค่นิดเดียว” พริมรตาถึงกับเม้มปากแน่น ใครจะคิดว่าผู้ชายมาดนิ่งหน้าดุๆ อย่างเขาจะปากร้ายขนาดนี้ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้โต้เถียงอะไร จู่ๆ เท้าทั้งคู่ของเขาก็หยุดกึกจนเธอแปลกใจ
“ถึงแล้วเหรอคะ”
“อยู่นิ่งๆ ข้างหน้าเรามีงูขวางอยู่” เธอได้ฟังถึงกับตาโต ก่อนจะค่อยๆ เหลือบไปมองตามสายตาเขา งูตัวใหญ่ที่กำลังยกตัวแผ่แม่เบี้ยอยู่ตรงหน้าทำให้เธอชะงักตัวแข็งทื่อ
“อยู่เฉยๆ อย่าโวยวาย ถ้าเราไม่ทำอะไรมัน เดี๋ยวมันก็ไป แค่อย่าทำให้มันตกใจก็พอ” เขากระซิบบอก ในขณะที่เธอยังตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
“ไม่ต้องกลัว ผมไม่ปล่อยให้มันทำอะไรคุณหรอก” เขาก้มลงไปปลอบ แต่เธอกลับโผตวัดแขนโอบรอบคอพลางซุกหน้ากับซอกคอเขาแน่น อา…ดูเหมือนสัมผัสจากจมูกและริมฝีปากที่ปัดป่ายลงมาด้วยความไม่ตั้งใจของเธอจะมีอิทธิพลมากกว่างูตัวโตที่ประจันหน้ากันอยู่ตอนนี้ซะอีก เพราะมันทำให้เขาชะงักตัวแข็งทื่อได้
“มันไปรึยัง” เสียงเธออู้อี้จากการซุกหน้าอยู่กับซอกคอเขาด้วยความกลัว โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้มันอันตรายยิ่งกว่างูตัวนั้นซะอีก โดยเฉพาะกลิ่นหอมจางๆ จากกายสาวที่ลอยมาเตะจมูก และมันกำลังริดรอนการควบคุมตัวเองของเขา กระทั่งใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ ก้มลงไปหา ราวกับจะพิสูจน์ว่าที่ได้กลิ่นอยู่ตอนนี้ มันใช่อย่างที่คิดหรือไม่ เป็นเวลาเดียวกับที่คนถามถามไปแล้วแต่ยังไม่ได้คำตอบ จึงเงยหน้าขึ้นมาเพื่อจะถามอีกครั้ง เมื่อคนหนึ่งก้มในขณะที่อีกคนหนึ่งเงย มันจึงประจวบเหมาะกันพอดี
“…” เธอผงะตาโต เมื่อจมูกเขาชนเข้ากับแก้มเธอจังๆ ทั้งคู่ต่างชะงักนิ่ง เธอที่กำลังวางหน้าไม่ถูก หาเสียงตัวเองก็ไม่เจอ เขาเอก็กำลังสับสน เมื่อยังไม่ได้คำตอบจากกลิ่นที่อยากพิสูจน์ กระทั่งเป็นเธอที่นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีบางอย่างที่น่ากลัวกว่าสายตาของเขาตอนนี้
บทที่ 81 “แล้วคุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันจะไป” เธอปาดน้ำตาพลางถามด้วยความสงสัย เขาจึงเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นที่เขาถูกปลายฟ้าสวมกอดจากทางด้านหลัง ทำให้เขาแกะมือนั้นออก จากนั้นก็หันมาเผชิญหน้ากับปลายฟ้าเพื่อยืนยันให้อีกฝ่ายฟังชัดๆ อีกครั้ง ว่าเขาลืมเรื่องในอดีตไปหมดแล้ว ตอนนี้ในหัวใจเขาก็มีแต่ผู้หญิงที่ชื่อพริมรตาคนเดียวเท่านั้นที่เขารักหมดหัวใจ แต่ก่อนที่เขาจะได้พูด เขาก็ทันได้สังเกตเห็นหลังเธอไวๆ จึงพอจะเดาเหตุการณ์ได้คร่าวๆ “คุณก็เลยมาดักรอฉัน เพราะรู้ว่าฉันจะหนี?” ทันทีที่เขาพยักหน้า เธอก็โผกอดเขาอีกครั้ง พร้อมกับร้องไห้โฮ “ทำไมถึงได้ใจร้ายกับผมนักนะยัยเด็กโง่ สงสัยผมคงต้องหาโซ่มาล่ามคุณไว้ให้เราตัวติดกันตลอดเวลาแล้วมั้ง คุณจะได้หนีผมไปไหนไม่ได้อีก” เขากอดพลางใช้มือลูบหลังอย่างปลอบประโลม “ไม่หนีแล้วค่ะ คราวนี้ถึงคุณไล่ฉันก็ไม่ไป แค่คิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าคุณอีก ใจฉันก็แทบขาด ฉันจะไม่ยอมจากคุณไปไหนอีกเด็ดขาด ฉันรักคุณค่ะ” เธอเงยหน้าก่อนเขย่งเท้าขึ้นไปจุ๊บที่ปากเขาเบาๆ อย่างเอาใจ “ผมเคยบอกคุณแล้วใช่ไหม ว่าถ้ามีอะไรให้พูดกันตรงๆ ถามผมตรงๆ ไ
บทที่ 80 “เฮาทนเก็บงูพิษตี้พร้อมจะแว้งกัดเฮาได้ทุกเมื่ออย่างตั๋วบะได้เหมือนกั๋น เฮาบะพร้อมจะเสี่ยง เพราะเฮาบะพร้อมจะเสียคนตี้ฮักตี้สุดไปเพราะตั๋ว ไปซะบัวตอง อยู่ที่โน่นอาจจะบะสุขสบายเต้าตี้นี่ แต่คนตี้นั่นก่อมีน้ำใจ๋ แค่ตั๋วต้องพยายามยะตัวดีๆ ตี้เฮาต้องส่งตั๋วไป เพราะเฮายังหันว่าตั๋วเป๋นน้อง ละไค่หื้อตั๋วประบปรุงตัวซะใหม่ ถ้าบะไค่ลำบากไปเหลือนี่ กลับตัวกลับใจ๋เป็นคนใหม่ เลิกกึ๊ดเลิกขอย ละตั๋วจะพบว่าความสุขอยู่ใกล้ตั๋วแค่เอื้อม (ฉันทนเก็บงูพิษที่พร้อมจะแว้งกัดฉันได้ทุกเมื่ออย่างเธอไม่ได้เหมือนกัน ฉันไม่พร้อมจะเสี่ยง เพราะฉันไม่พร้อมจะเสียคนที่ฉันรักที่สุดไปเพราะเธอ ไปซะบัวตอง อยู่ที่โน่นอาจจะไม่สุขสบายเท่าที่นี่ แต่คนที่นั่นก็มีน้ำใจ แค่เธอต้องพยายามทำตัวดีๆ ที่ฉันต้องส่งเธอไป เพราะฉันยังเห็นว่าเธอเป็นน้อง และอยากให้เธอปรับปรุงตัวซะใหม่ ถ้าไม่อยากลำบากไปมากกว่านี้ กลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่ เลิกคิดเลิกอิจฉา แล้วเธอจะพบว่าความสุขอยู่ใกล้เธอแค่เอื้อม” การตัดสินใจเด็ดขาดของเขาทำบัวตองถึงกับหมดแรงทรุดลงกับพื้น ไม่เหลือเค้าคุณหนูผู้เย่อหยิ่งอีกต่อไป “พฤกษ์ฝากจัดการต่อด้วย
บทที่ 79 “ยั้งบ้าได้ละบัวตอง ตั๋วก่อฮู้ว่าเฮาบ่ะเกยกึ๊ดจะอั้นกับตั๋ว แต่อู้เรื่องนี้ขึ้นมาก่อดีละ จะได้สะสางเรื่องวันนั้นตี้ตั๋วยะหื้อเมียเฮาเข้าใจ๋ผิดละหนีไป (เลิกบ้าได้แล้วบัวตอง เธอก็รู้ว่าฉันไม่เคยคิดแบบนั้นกับเธอ แต่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดีเหมือนกัน จะได้สะสางเรื่องวันนั้นที่เธอปั้นเรื่องจนเมียฉันเข้าใจผิด แล้วก็หนีไป)” อา…ไม่ใช่แค่บัวตองที่กำลังตื่นตระหนก แม้แต่พริมรตาเองก็กำลังทำหน้าแหย เมื่อเรื่องวันนั้นถูกขุดคุ้ยขึ้นมาให้เธอได้อายอีก “อ้ายอู้เรื่องอะหยัง น้องบะฮู้เรื่อง ก่อบอกละว่าเขาหมู่นี้รวมหัวใส่ความน้อง น้องบะได้ยะ แต่ถ้าอ้ายบะเจื้อ น้องก่อบะมีหยังจะอู้แหม (พี่พูดเรื่องอะไร น้องไม่รู้เรื่อง ก็บอกแล้วว่าคนพวกนี้รวมหัวกันใส่ร้ายน้อง น้องไม่ได้ทำ แต่ในเมื่อพี่ไม่เชื่อ น้องก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก)” บัวตองทำท่าจะผละหนีเพื่อเอาตัวรอด แต่กลับถูกใครอีกคนเดินเข้ามาขวางไว้ซะก่อน “จะรีบไปไหนล่ะ มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิ จำไม่ได้เหรอว่าเธอกับฉันเรายังมีเรื่องต้องคุยกัน” เป็นปลายฟ้าที่เข้ามาขวาง ที่มาวันนี้ก็เพื่อจะลบล้างตราบาปที่อีกฝ่ายเคยฝากเอาไว้
บทที่ 78 “เอ๊ะ! ยะหยังสองคนนั้นบะตวยมาตะฮอดบะเดี่ยว เมินละนานิ หันว่าอยากกิ๋นแต่บะหันฟั่งมา งืดแต๊ (เอ๊ะ! ทำไมสองคนนั้นยังไม่ตามมาอีก นี่ก็นานแล้วนะ เห็นบอกว่าหิวแต่กลับไม่รีบตามมา พิลึกคนจริง) ป้าสายบ่นงึมงำ หลังเห็นว่าพ่อเลี้ยงหนุ่มกับพฤกษ์ยังไม่ตามมา “ปล่อยเขาเถอะค่ะป้า อีกเดี๋ยวก็คงมากันเองนั่นแหละ ป้ามานั่งกินข้าวเป็นเพื่อนหนูดีกว่า นั่งกินคนเดียวแล้วมันเขินๆ เกร็งๆ ยังไงก็ไม่รู้ค่ะ” เธอว่าพลางหันไปมองคำเอื้อยกับคำปองที่เอาแต่ยืนมองเธอด้วยรอยยิ้มแหยๆ “บะต้องไปถือสาสองคนนี้เลยเจ้า มันก่อแค่อยากอยู่ใกล้ๆ อยากฮับใจ๊หนู ไถ่โต๊ดตี้มันเกยยะบะดีกับหนูไว้นาก๊ะ(อย่าไปถือสาสองคนนี้เลยค่ะ มันก็แค่อยากจะอยู่ใกล้ๆ อยากรับใช้หนู ไถ่โทษที่มันเคยทำผิดกับหนูไว้นั่นแหละ)” สองพี่น้องรีบพยักหน้าตามที่ป้าสายพูด “หืม! ไถ่โทษอะไรคะ” เธอเลิกคิ้วทันที “ก่อไถ่โต๊ดตี้วันนั้นมันปล่อยหื้อหนูเข้าใจ๋ผิด ทั้งๆ ตี้มันฮู้ละมันก่อหันว่ากุ๊อย่างเป๋นแผนก๋านของคุณบัวตอง แต่มันก่อยังปล่อยหื้อคุณหนีไป (ก็ไถ่โทษที่วันนั้นมันปล่อยให้หนูเข้าใจผิด ทั้งๆ ที่มันรู้แล้วมั
บทที่ 77 “ไปพูดเพราะๆ กับมันทำไม ไม่ได้! ต่อไปห้ามพูดกับมันด้วยน้ำเสียงแบบนี้อีก ผมไม่อนุญาต” เขาทำท่างอแงราวเด็กๆ จนเธอส่ายหน้าน้อยๆ ในขณะที่พฤกษ์กับทำหน้าแหยกับสีหน้าท่าทางที่ไม่คุ้นเคยของเจ้านาย “ตกลงจะเอายังไงกันแน่คะ ไหนบอกว่าชอบให้ฉันพูดเพราะๆ ไง” นั่นสินะ ก็เขาเคยย้ำนักหนาว่าห้ามเธอพูดคำหยาบ มิหนำซ้ำยังใช้จูบมาขู่เธอด้วย “ใช่! แต่เฉพาะกับผมแค่คนเดียว คนที่มีสิทธิ์ฟังเสียงเพราะๆ ของคุณมีผมแค่คนเดียว” พฤกษ์ถึงกับกลอกตาไปมากับความหวงเมีย ที่หวงแม้กระทั่งเสียงของเมีย“เฮ้อ! ท่าจะอาการหนักแล้วเจ้านายเรา” พฤกษ์บ่นพึมพำเบา แต่มันก็ดังพอจะให้คนข้างหลังได้ยินและหันขวับไปมองตาขวางได้ แต่เพราะเคลียร์เรื่องค้างคากับเธอยังไม่จบ เขาจึงไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำกับพฤกษ์อีก “ตกลงว่าคุณจะยอมไปอยู่ที่โน่นกับผมแล้วใช่ไหม” เขาต้องถามเพื่อความแน่ใจ ด้วยกลัวว่าเธอจะหนีกลับมาอีก “เอ่อ…คือฉันไม่รู้ว่าฉันจะทำอะไรได้บ้างถ้าต้องไปอยู่ที่โน่น” “ได้สิ คุณทำได้ทุกอย่างในฐานะ…ภรรยาของผม แต่งงานกันนะครับคนดี” อา…! มันคือการเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานแบ
“เอ่อ…พวกแกต้องใจเย็นแล้วฟังฉันให้ดีนะ ฉันสบายดี ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้พวกแกมาเฝ้า” เธอพยายามอธิบาย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะสำหรับคนที่เตรียมตัวมาขนาดนั้น “อย่าบอกนะว่าที่แกไม่ให้พวกฉันมาเฝ้า เป็นเพราะว่าแกมีคนเฝ้าอยู่แล้ว มานี่เลยยัยตัวแสบ เล่ามาให้หมดเลยว่าเรื่องมันเป็นไงมาไง ทำไมแกกับพ่อเลี้ยงถึงได้…” แวววิวาห์ลากเพื่อนไปคุยกันอีกมุม โดยมีอีกสองสาวตามประชิด ประหนึ่งว่ากลัวเธอจะหนีระหว่างที่กลุ่มสาวๆ กำลังสอบสวนกันอย่างเข้มข้น หนุ่มๆ ก็พากันมานั่งคุยเรื่องคอขาดบาดตายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กระทั่งภาคินยื่นซองขาวมาให้พ่อเลี้ยงหนุ่ม “อะไร” ถึงจะสงสัยแต่เขาก็หยิบซองนั่นมา “ใบลาออกที่คุณขอ” ภาคินตอบตามตรง “ขอบคุณ แต่เอาตรงๆ เลยนะ ผมจะขอบคุณมากกว่านี้ ถ้าพวกคุณช่วยพาบรรดาเมียๆ ของพวกคุณกลับไป ให้ตายสิ! ผมอุตส่าห์ทิ้งงานเพื่อมาหาเมีย มาอยู่กับเมีย แต่ดูสิ่งที่เมียพวกคุณทำสิ เมียพวกคุณกำลังจะพรากเมียผมไป” เอ่อ…เดี๋ยวนะนี่คือเรื่องคอขาดบาดตายที่ว่า? “แล้วคุณคิดเหรอว่าการที่พวกผมต้องอยู่ห่างเมียแล้วพวกเราไม่เครียด เ