เมื่อทุกคนได้ยินซูซานหลางพูดแบบนั้น ยังไม่อะไรที่ไม่เข้าใจอยู่งั้นเหรอ โดยต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่ว “เพื่อกระต่ายตัวเดียวถึงกับคิดฆ่าพี่สาวของตัวเอง คนแบบนี้น่ะ ช่างโหดเหี้ยมเสียจริงๆ!” “ใช่ๆ นางหวางยังพาคนมาอาละวาดอย่างไม่อายแบบนี้อีก! ช่างเลอะเลือน และร้ายกาจเสียจริงๆ!” และนางหวางก็เดินเข้ามา เงื้อมือแล้วตบไปที่ซูซานหลางหนึ่งฉาด การตบฉาดนี้ทำให้เสียงร้องไห้ของซูซานหลางหยุดลงในทันที ใบหน้าของเขาหันไปอีกข้าง และเลือดมุมปากก็ได้ไหลออกมา ในสมองของเขาเต็มไปด้วยเสียงหึ่งๆ ก่อนที่จะรู้สึกหน้ามืดตาลายขึ้นมา นางหวางดึงหน้าของเขา แล้วพูดว่า“ร้องไห้ทำไมกัน เจ้ากำลังพูดเพ้อเจ้ออะไรอยู่!” และซูซานหลางก็ดึงสติกลับมาได้“ท่านแม่ ไม่ใช่ข้า ข้า...” “น้าสาม ความจริงก็ถูกเปิดเผยแล้ว งั้นก็คงไม่ต้องพิสูจน์อะไรแล้ว เอาเงินห้าตำลึงมาให้ข้าเถอะ!” ซูหวั่นพูดอย่างสงบและมีน้ำใจ นางหวางมีเงินซะที่ไหนกันล่ะ? เงินส่วนตัวที่ออมเอาไว้ก็ต้องใช้จ่ายในส่วนอื่น ส่วนที่เหลือก็อยู่ในมือของแม่เฒ่าเซี่ยงเสียหมดแล้ว “อาหวั่น เราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เจ้
เดิมทีมันก็เป็นความผิดของบ้านใหญ่ คิดที่จะปีนป่ายคนใหญ่คนโต แต่คิดไม่ถึงเลยว่าใครเขาจะไม่ต้องการซูฝูเสียแล้ว โดยยังทำให้ตระกูลซูต้องวุ่นวายไปหมดอีก และก็ไม่รู้ว่าซูฝูไปเอาความกล้ามาจากไหนที่อุ้มท้องโตกลับมาบ้านแบบนี้ แม่เฒ่าเซี่ยงเหล่ตามองมายังนางหวาง และคิดทบทวนเรื่องนี้ในใจไปด้วย เพราะท้องของซูฝูโตขึ้นทุกวัน หากผ่านไปอีกสองเดือนก็คงจะปิดบังเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ตอนนี้พ่อเฒ่าซูยังอยู่ที่บ้าน นางก็ไม่กล้าที่จะช่วยซูฝูคิดหาวิธีอย่างเปิดเผยได้ด้วยเช่นกัน มีเรื่องมีราวได้ทุกวัน ไม่มีใครที่จะทำให้สบายใจได้เลย! นางหวางถูกมองจนประหม่า จึงลองถามหยั่งเชิงออกมาว่า“ท่านแม่ หากทางบ้านตระกูลเจียงไม่มีจดหมายมาก็ให้ซูฝูทำแท้งเด็กเถอะนะ ไม่งั้นท้องใหญ่ขึ้นมา มันจะเป็นผลเสียกับชื่อเสียงของซูฝูได้นะคะ” “ปังๆ!” นางจางผลักประตูแล้วเดินเข้าไป ด้วยสีหน้าที่บูดบึ้ง นางมองไปยังนางหวางเป็นอันดับแรก และมองมาที่แม่เฒ่าเซี่ยงอีกครั้ง“ท่านแม่ เรื่องของอาฝูข้ามีวิธีแล้ว ขอแค่ท่านพ่อออกจากบ้าน ข้าก็จะให้อาฝูแต่งกับตระกูลเจียงทันที” ดวงตาของแม่เฒ่าเซี่ยงเป็นประกาย น
ป่วยเป็นอะไร นางไปดูแล้วถึงจะรู้ “ได้ๆ!” ป้าหวังปาดน้ำตาและเดินนำทางไป นางหลี่รีบเดินตามมาจากด้านหลัง และยังปิดประตูให้“ข้าจะไปด้วย!” ดึกดื่นขนาดนี้ ด้านนอกก็ไร้แสงไฟ ซูหวั่นไม่อยากให้นางหลี่ไปด้วย เพราะหากเกิดหกล้มขึ้นมา เด็กในท้องจะรักษาเอาไว้ไม่อยู่ แต่นางหลี่ยังคงยืนกรานอยู่อย่างนั้น นางเป็นห่วงซูหวั่น เพราะหากดูอาการฉ่ายอวิ๋นเสร็จแล้ว ซูหวั่นก็ต้องกลับมาเพียงลำพังไม่ใช่หรอกเหรอ? แม้ว่าหมู่บ้านซีสุ่ยจะค่อนข้างสงบ และไม่มีคนร้ายอะไร แต่ก็ต้องระมัดระวังเอาไว้ก่อน “อาหวั่น แม่ไม่ทำให้ลูกมีปัญหาหรอกนะ แม่ตามลูกไปเฉยๆ ระหว่างทางจะได้มีคนคุยด้วยไง ท่านพ่อไม่เป็นอะไรหรอก ยิ่งไปกว่านั้นซูลิ่วหลางก็นอนอยู่ข้างนอก ถ้าท่านพ่อเจ้าอย่างเข้าห้องน้ำก็สามารถเรียกลิ่วหลางได้นี่นา” เมื่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว ซูหวั่นก็ไม่สามารถบอกปัดได้อีกต่อไป นางจึงทำได้แต่ขอให้ป้าหวังถือตะเกียงน้ำมันที่แสงอ่อนๆ และอาศัยแสงจันทร์ในยามค่ำคืน ประคองข้อมือของนางหลี่โดยมุ่งหน้าไปที่บ้านของป้าหวัง บ้านของทั้งสองครอบครัวไม่ได้ห่างกันมากนัก ห่างออกไปแค่สองร้อยเมตรเท่
ซูหวั่นจังมือของนางหลี่ แล้วพูดปลอบโยนว่า“เป็นพยาธิที่ดูดเลือดค่ะ แค่ฆ่าพวกมันให้ตาย ท้องของพี่ฉ่ายอวิ๋นก็จะยุบลงไปแล้ว พวกเราไม่มีหรอกค่ะ ท่านแม่สบายใจได้” นางหลี่รู้สึกหนาวสั่นเมื่อนึกถึงท้องของฉ่ายอวิ๋น และก็ไม่รู้ว่าจะดีขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่ซูหวั่นกลับกำลังคิดถึงสาเหตุของอาการป่วยนี้อยู่ โดยคาดว่าพยาธิเหล่านั้นน่าจะมาจากแหล่งน้ำในเทศมณฑล ซึ่งฉ่ายอวิ๋นก็ได้ดื่มทุกวัน ถึงป่วยแบบนี้ได้ หลังจากกลับมาถึงบ้าน นางหลี่ก็ได้อธิบายให้ซูเหลียนเฉิงฟังคร่าวๆ แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องท้องที่ใหญ่ของฉ่ายอวิ๋นเลยแม้แต่น้อย เพราะมันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของลูกผู้หญิง ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นาน ซูชิงและคนอื่นๆก็มาช่วยงาน ห้องน้ำและห้องครัวต้องใช้เวลาอีกครึ่งวันกว่าถึงจะเสร็จ ซูหวั่นได้คำนวณดูเวลา และคาดว่าจะไปตลาดไม่ทันแล้ว จึงทำได้เพียงแค่แบกกระบุงหาบขึ้นหลังและพาซูลิ่วหลางขึ้นไปบนเขา และสิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ กับดักที่นางได้ขุดไว้เอาไว้นั้น มีคนคอยเฝ้าอยู่ข้างๆเสียแล้ว และมันก็เป็นซูซานหลางและซูฉางโซว่นั่นเอง เมื่อพ่อลูกสองคนเห็น
และนางก็แว้งกัดกลับจริงๆ ซูหวั่นมองไปที่นางหวาง ถอนหายใจแล้วพูดว่า“น้าสาม เมื่อกี้ท่านน้ายังถือกระต่ายของข้าอยู่เลย ตอนนี้ท่านน้ากลับไม่ยอมรับอย่างนั้นเหรอ ยังบอกว่าล้มมาเองอีก กำแพงบ้านข้าสูงขนาดนั้น ท่านน้าจะหล่นมาได้ยังไงกัน” นางหวางแผดเสียงสูง และไม่ยอมรับว่าตัวเองได้เข้ามาขโมยกระต่ายของซูหวั่น ในที่สุดภายใต้สายตาที่เหยียดหยามของพวกซูชิง นางก็รีบวิ่งกลับไปทันที โดยที่นางเพิ่งจะกลับไปบ้านใหญ่ ก็ถูกแม่เฒ่าเซี่ยงก่นด่าขึ้นมาอีกรอบ “เจ้าบอกว่าให้ฉางโซว่ขึ้นไปบนเขาจะต้องจับสัตว์ป่ามาได้อย่างแน่นอน ตอนนี้แม้แต่ขนก็ยังไม่มี แล้วก็เสียเวลาทำงานที่นาอีก ข้าว่าพวกเจ้าคิดที่จะแอบขี้เกียจอย่างแน่นอน!” อาการบวมเนื่องจากการตบของนางหวางเมื่อหวานยังไม่ได้หายไป และนางก็มองไปที่แม่เฒ่าเซี่ยงอย่างหวาดกลัว และแทบอยากจะให้แม่เฒ่าเซี่ยงคนนี้ตายไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียให้ได้ “ท่านแม่ ข้าจะรู้ได้ยังไงล่ะ? ฉางโซว่จับสัตว์ป่ามาไม่ได้เลย แต่นังสารเลวซูหวั่นนั่นกลับไปจับกระต่ายมาได้อีกตัวแล้ว ท่านแม้ว่ามันแปลกๆอยู่บ้างไหม หรือว่าจะมีใครมอบให้นาง?” “มอบให้? ใครจะใจดีถึงข
เมื่อได้ยินนางพูดว่าต้องการที่จะพบกับเจ้าของร้าน เด็กในร้านก็หมดความอดทนแล้วในตอนนี้ เด็กสาวชาวนาจะมีเรื่องอะไรที่สำคัญถึงกับต้องพบกับเจ้าของร้านกัน เจ้าของร้านมีธุระต้องทำมากมาย ไม่ได้ว่างมาง่ายๆหรอกนะ นางคิดว่าตัวเองเป็นใคร อยากพบก็สามารถพบได้อย่างนั้นเหรอ? เด็กในร้านโบกมือ แล้วพูดว่า“แม่สาวน้อย เจ้ารีบออกไปซะ อย่ามาวอแวอยู่หน้าร้านแบบนี้ ไม่ได้ดูสารรูปของตัวเองเสียบ้างเลย ยังคิดที่จะพบกับเจ้าของร้านของพวกเราอีกเหรอ...” ซูหวั่นรู้มานานแล้วว่าจะต้องเจอกับการต้อนรับแบบนี้ นางจึงไม่โกรธแม้แต่น้อย“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นใคร?หากไม่ให้เจ้าของร้านของพวกเจ้ามาพบข้า เจ้าจะรับผลที่จะตามมาได้งั้นเหรอ!” เด็กในร้านชะงักไปครู่หนึ่ง เขาจ้องมองไปที่ซูหวั่นและซูลิ่วหลาง โดยที่เกิดความสงสัยในตัวตนของสองคนนี้เล็กน้อย หรือพวกเขาจะรู้จักกับเจ้าของร้านจริงๆ? เด็กในร้านกลืนน้ำลาย และก็หงุดหงิดเอาเสียมากๆ“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะไปตามเจ้าของร้านมาเดี๋ยวนี้!” เจ้าของร้านพักผ่อนอยู่ที่ชั้นสอง เด็กในร้านวิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เพราะว่ากลัวจะเกิดเรื่องใหญ่ ถึงตอนน
ซูลิ่วหลางอายุยังน้อย เมื่อได้ยินการเรียกซื้อและกลิ่นที่หอมแบบนี้ น้ำลายก็ไหลออกมาทันที โดยที่ขาก็ไม่ค่อยจะขยับสักเท่าไหร่ โดยที่ซูหวั่นก็ได้กลิ่นหอมของขนมหมื่นลี้ด้วยเช่นกัน นางจึงมองไปที่ซูลิ่วหลาง“อยากกินหรือเปล่า?” “ท่านพี่ ข้าไม่อยากกินหรอก ข้าไม่หิว!” บ้านไม่มีเงิน เขาต้องประหยัด และไม่อยากจะสร้างปัญหาให้พี่สาวด้วย ซูลิ่วหลางลับตา และยืนอยู่ข้างๆขาของซูหวั่น ซูหวั่นไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี นางจึงหยิบเงินห้าสตางค์ออกมาและยื่นส่งให้ซูลิ่วหลาง พร้อมพูดว่า“ลิ่วหลาง เงินอัดเหล่านี้เป็นของเจ้าทั้งหมด เจ้าอยากกินอะไรก็ไปซื้อเถอะ ข้าจะรออยู่ตรงนี้นะ” ซูลิ่วหลางมองดูเงินห้าสตางค์และไม่ยอมรับ “ลิ่วหลาง พี่ก็อยากกินเหมือนกัน เจ้าไปช่วยไปซื้อมาให้พี่หน่อยจะได้มั้ย?” ท่านพี่อยากกิน? ในฐานะของลูกผู้ชาย เขาจะต้องซื้อมาให้พี่สาวให้ได้! จู่ๆดวงตาของซูลิ่วหลางก็เป็นประกาย เขารับเงินห้าสตางค์แล้วเดินไปที่ร้านค้าข้างทาง จากนั้นก็ยื่นเงินห้าสตางค์ไปให้คนขายด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ“ข้าซื้อขนมสามชิ้น” คนขายเงยหน้ามามองการแต่งตัวของซูลิ่วหลาง และมองมาที่ซู
การวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนได้หยุดลง พวกผู้หญิงที่ส่งเสียงโห่ร้องเพื่อคืนสินค้าก็มองมายังนางหวางด้วยเช่นกัน โดยที่ความคิดของนางหวางก็โลดแล่นด้วยเช่นกัน และมองไปยังซูหวั่นที่อยู่ทางนั้นด้วยความท้าทาย จริงด้วย ขอแค่นางทุบไข่ไก่เพียงแค่ฟองเดียวที่ดีขึ้นมา คำโกหกของซูหวั่นก็จะถูกเปิดโปงออกมาแล้ว นางไม่จำเป็นที่จะต้องถูกซูหวั่นจูงจมูกอยู่แบบนี้! เพี้ยะ! นางหวางหยิบไข่ขึ้นมาจากตะกร้าไม้ไผ่แล้วโยนมันลงบนพื้น ของเหลวสีเหลืองในไข่ไก่กระเด็นออกมา โดยติดตามมาด้วยกลิ่นเหม็นที่สุดแสนจะพรรณนา มันส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วจนคนที่เดินผ่านไปผ่ามาต่างก็กลอกตามองบน มันช่างเหม็นเสียเหลือเกิน! นางยังมีหน้ามาพูดอีกว่าไข่ไก่ของนางดี ไม่รู้ว่านางไปเอาความกล้ามาจากไหนที่พูดแบบนี้อีกมา ตามคาดนังหนูที่อยู่ข้างๆนั้นช่างจิตใจดีเสียเหลือเกิน มีคนจำนวนไม่น้อยได้กระโจนมาหานางหวาง ดึงเสื้อผ้าของนางเพื่อคืนสินค้า “นังสารเลว ใครให้เจ้ามาขายไข่เน่าแบบนี้ รีบคืนเงินข้ามาเดี๋ยวนี้นะ ส่วนไข่ไก่พวกนี้คืนเจ้าไป!” ขณะที่นางหวางไม่ได้ทันตั้งตัว นางก็ถูกดึงผมจนหลุดเป็นกระจุกแล้ว นางเ