ซูซานหลางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "ตอนแรกท่านป้าไม่เห็นด้วย แต่ต่อมานางก็ผ่อนคลายเมื่อได้ยินว่าครอบครัวมีวิธีที่จะให้พี่รองกลายเป็นซิ่วไฉได้" ที่แท้ก็เพราะแบบนี้นี่เอง รายชื่อที่จะเข้าสอบซิ่วไฉเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก นอกจากนี้ ซูเอ้อหลางยังอยู่ในคุกซึ่งเทียบเท่ากับการสิ้นสุดอาชีพการงานของเขา หากมีวิธีที่จะรับเข้าซิ่วไฉ นางจางจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน ครอบครัวนั้นรู้วิธีจัดการมันจริงๆ! ก่อนที่จะจากไป ซูหวั่นก็ขอให้หู่โพ่มอบอาหารให้กับซูซานหลาง จากนั้นจึงกลับไปที่ห้องเพื่อคุยกับนางหลี่ แม่เฒ่าหนิงดูเย็นชาเล็กน้อย พร้อมกับพึมพำออกมาว่า "ข้ารู้ว่าท่านย่าของเจ้าหมายถึงอะไร นางคิดว่าซูฝูให้กำเนิดลูกชายและแม่ของเจ้าให้กำเนิดลูกสาว และนางก็จงใจมาเยาะเย้ยพวกเราไงล่ะ" ไม่อย่างนั้นทำไมวันนี้เขาถึงส่งข้อความมา หลังจากที่เข้าหน้ากันไม่ติดแบบนี้ด้วย? ซูหวั่นหัวเราะเยาะออกมา "ปล่อยนางไปเถอะค่ะ เราแค่แกล้งทำเป็นว่าเราไม่รู้" แม่เฒ่าเดินเข้ามาจากด้านนอกในเวลานี้และพูดด้วยรอยยิ้ม "น้องสาว ทำไมเจ้าถึงโกรธอีกแล้ว ข้าอยู่ด้านนอกยังได้ยินเสียงของเจ้าเลยนะ" แม่เฒ
เมื่อซูหวั่นได้ยินดังนั้นจึงเดินออกไป หมูถูกแบ่งและแต่ละชิ้นมีขนาดเท่ากัน ขั้นแรกนางโรยเกลือบนเนื้อแต่ละชิ้นแล้วเกลี่ยให้ทั่วเนื้อแต่ละชิ้นแล้วใส่ในขวดเพื่อหมัก หลังจากผ่านไปสองสามวันก็สามารถนำไปแขวนบนฟืนและรมควันได้ หมูและเศษหมูหนักประมาณหนึ่งร้อยกิโลกรัม ซูหวั่นเก็บไว้ยี่สิบห้ากิโลกรัมสำหรับงานเลี้ยงครบหนึ่งเดือนในวันมะรืน คนขายเนื้อทั้งสองให้เนื้อแก่พวกเขาหนึ่งสตางค์และหมูอีกยี่สิบห้าขีด คนขายเนื้อหมูรับเงินไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ไม่เคยมีครอบครัวเจ้านายบ้านไหนใจกว้างขนาดนี้มาก่อน ทั้งให้ทั้งเนื้อและเงิน ในวันธรรมดามากที่สุดที่เขาจะได้รับคือยี่สิบสตางค์ แต่วันนี้เขาได้หนึ่งร้อยสตางค์เลยทีเดียว! "ขอบคุณครับแม่นาง!" คนขายเนื้อรู้สึกขอบคุณ ดื่มน้ำซุปเลือดหมูหนึ่งชามแล้วออกจากตระกูลซู โดยกำลังคิดที่จะกลับบ้านและลองใช้วิธีรมควันตามแบบซูหวั่นดู เพื่อดูว่ารสชาติว่าเป็นอย่างไร ซูหวั่นขอให้คนขนอ่างเดินเผาขนาดใหญ่ที่บรรจุเนื้อเข้าไปในห้องเตา แล้วปิดฝาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้หนูมากัดกิน จากนั้นนางก็ชี้ไปที่เนื้อแล้วพูดว่า "เซวียนฉ่าว คืนน
"ซู่ซู่——" ลมหนาวพัดมากระทบกับใบหน้าของคนทั้งสอง จนรู้สึกเจ็บอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ริมทางแกว่งไปมาสองสามครั้ง ทำให้หิมะไหลตามใบไม้และตกลงสู่พื้นเสียงดังเปาะแปะ ซึ่งเมื่อตกลงไปในพื้นที่หิมะที่กว้างใหญ่แล้วนั้น มันก็ทำให้รู้สึกหนาวเหน็บเป็นอย่างมาก พ่อเฒ่าซูพูดคัดค้านออกมาว่า "กำลังพูดเพ้อเจ้ออะไรอยู่น่ะ เจ้าจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของงเราได้อย่างไรกัน เจ้าอย่าได้ถือสาแม่ของเจ้าเลยนะ บางครั้งนางก็คิดอะไรไม่ค่อยทันหรอก" ซูเหลียนเฉิงยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า "ท่านพ่อครับ จะถือสาหรือไม่ มันไม่สำคัญอีกแล้วนะครับ ตอนนี้ข้าแค่อยากจะทำให้ครอบครัวเล็กๆ ของตัวเองอยู่อย่างสงบ ข้าคงพูดเพียงเท่านี้ ลูกคงต้องขอตัวกลับก่อนแล้วนะครับ" ดวงตาของพ่อเฒ่าซูร้อนผ่าวขึ้นมาทันที "ตกลง" เขาเข้าใจในความหดหู่ของซูเหลียนเฉิงดี แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้ และทำได้เพียงมองดูซูเหลียนเฉิงและซูลิ่วหลางเดินกลับออกไป เขาถึงได้หันตัวกลับเข้ามาในบ้าน จากนั้นก็หยิบมวนยาสูบแห้งขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน เขาไม่รู้ว่าการที่ได้สละบ้านรองไปนั้น มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือความผิดพลาดกันแ
ฤดูร้อนของหมู่บ้านซีสุ่ย อากาศร้อนจนทนไม่ไหวซูหวั่นตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงร้องไห้ รู้สึกราวกับว่าเนื้อตัวถูกอะไรกดทับเอาไว้ ลำคอแสบร้อนไปหมด และปลายจมูกก็เต็มไปด้วยกลิ่นราจากผ้าห่มนางนอนอยู่บนกระดานไม้แข็ง ซึ่งแค่ขยับตัวก็จะมีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดออกมา และดูเหมือนว่ากระดานไม้จะรับน้ำหนักเอาไว้ไม่ไหวจนจะแยกออกจากกันอยู่แล้วในตอนนี้โดยมีภาพและเสียงที่พร่าเบลอได้แวบเข้ามาในหัวหลังจากสงบสติอารมณ์อยู่สักพัก ซูหวั่นก็แน่ใจว่านางได้เดินทางข้ามเวลามาเสียแล้วเดิมทีนางเป็นศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ที่สถาบันวิจัยในศตวรรษที่ 25 แต่เสียชีวิตกะทันหันเพราะโหมงานหนักจนเกินไป โดยที่ละเลยเรื่องการพักผ่อนและอาหารการกินจากนั้นนางก็เดินทางข้ามเวลามาอยู่ในร่างหญิงสาวที่มีชื่อและแซ่เดียวกันแต่ทว่าหญิงสาวที่มีชื่อและแซ่เดียวกับนางนั้นมีชีวิตที่น่ารันทดมาก นางถูกปู่และย่าบีบบังคับให้แต่งงานกับลุงหลังค่อมที่แก่กว่าถึงสิบแปดปี นางดื้อดันไม่ยอม แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ไปกระโดดน้ำตายในที่สุดเปลือกตาของซูหวั่นขยับ และพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งออกมาว่า“แม่คะ”“อาหวั่น เจ้ายังมีชีวิตอยู่?”นางหลี่ปาดน้ำตาและเบ
รับอัดตำลึงมาโดยไม่ถามนางสักคำ และยังคิดที่จะเอาปัญหาทั้งหมดมาลงที่พวกนางอีกช่างเป็นการคํานวณที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!แม่เฒ่าเซี่ยงมองมายังซูหวั่นอย่างไม่เชื่อ เพราะปกติแล้วหลานสาวของนางเป็นเด็กที่หัวอ่อนมาโดยตลอด แม้แต่การกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเมื่อวานนี้ก็เพราะถูกบังคับจนไม่มีทางเลือก แต่ไหงวันนี้กลับตะโกนปาวๆอย่างมั่นใจแบบนี้ได้“เจ้าพูดแบบนี้กับท่านย่าได้ยังไง!”ซูเอ้อหลางยืนอยู่ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยงและจ้องเขม็งมาทางซูหวั่น แทบรอไม่ไหวที่จะกระโจนเข้าไปตบหน้านางสักฉาดสองฉาดซูหวั่นมองเขาอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า“หูหนวกหรือไง ข้าพูดไปแล้วเจ้าไม่ได้ยินงั้นเหรอ?บ้านข้าไม่ได้แตะต้องเงินห้าตำลึงนั้นเลย เงินนั่นก็อยู่ในมือของท่านย่า แล้วทำไมพวกข้าถึงจะต้องใช้คืนด้วยล่ะ?”ซูเอ้อหลางเป็นคนของบ้านใหญ่ เขามักจะทะเยอทะยานและกดขี่ข่มเหงคนอื่นจนเคยชินแล้ว ซึ่งคิดไม่ถึงเลยว่าซูหวั่นจะกล้าต่อว่าเขาแบบนี้ได้และเขาก็รีบดึงแขนเสื้อของแม่เฒ่าเซี่ยงทันที แล้วพูดว่า“ท่านย่า ท่านย่าฟังที่นางพูดสิครับ!”แม่เฒ่าเซี่ยงใบหน้าบูดบึ้ง เพราะเงินนั้นอยู่ที่นางจริงๆซึ่งมันก็เป็นเงินที่นางได้เตรียมไว้เพื่อเป็นค่าเ
นางจางและนางหวางรีบปล่อยมือออกจากตัวนางหลี่ เพราะหลี่เจิ้งกำลังเดินเข้ามาจากนั้นนางหลี่ก็รีบกระโจนเข้าไปอยู่ข้างๆซูหวั่นโดยแทบไม่ต้องคิดอะไร นางปกป้องซูหวั่นเอาไว้ แล้วพูดทั้งน้ำตาที่พร่ามัวออกมาว่า“ข้าต่างหากที่เป็นแม่ของอาหวั่น ข้าไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานในครั้งนี้หรอกนะ!”แม่เฒ่าเซี่ยงผ่อนลมหายใจหนักออกมา แล้วพูดว่า“เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะไม่เห็นด้วย!”เนื่องจากยังไม่ได้แยกครอบครัวออกไป แม่เฒ่าเซี่ยงจึงเป็นใหญ่ที่สุดภายในบ้าน นางพูดแบบไหนก็ต้องเป็นแบบนั้นแล้วนางหลี่จะมีสิทธิ์พูดอะไรได้!“พลั่ก!”ซูหวั่นพบว่านอกจากหลี่เจิ้งแล้วยังมีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ยืนออกันอยู่ที่หน้าประตู นางจึงโยนมีดทิ้งไป แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าประตู“ข้าขอความเป็นธรรมจากท่านลุงท่านป้าหน่อยนะเจ้าคะ ท่านย่าของข้าบังคับให้ข้าแต่งกับซื่อหลางของสกุลเจิ้ง พอข้าไม่ยอม ท่านก็ได้ให้ท่านลุงมามัดตัวข้าไป!”นางหลี่ปาดน้ำตา และคุกเข่ากับซูหวั่นด้วยเช่นกัน“ข้ามีลูกสาวเพียงแค่คนเดียว ข้าไม่ยอมให้ลูกของข้าต้องไปตกระกำลำบากหรอกนะ ฮือฮือ——”นางร้องไห้ได้สมจริงกว่าซูหวั่นมาก และรูปร่างที่ผอมบางนั้นก็ดูเหมือนว่าจะถูกรังแกอยู่
ซึ่งพวกนางจะไม่ยอมรับเรื่องสกปรกๆแบบนี้อย่างเด็ดขาด!เหล่าบรรดาผู้คนที่มามุงดูต่างก็รับรู้นิสัยใจคอของแม่เฒ่าเซี่ยงเป็นอย่างดี และแววตาก็เผยการเยาะเย้ยถากถางออกมาอย่างชัดเจนแม่เฒ่าเซี่ยงยังคงหน้าด้านหน้าทน พร้อมกับพูดด้วยไหวพริบที่ฉับไวขึ้นมาว่า“เจ้าทำร้ายลุงสามจนบาดเจ็บ เงินห้าตำลึงนั่นก็ถือว่าเป็นค่าหยูกยาก็แล้วกัน นังเด็กนี่ใจดำเสียจริงๆ กล้าที่จะถือมีดมาฟันลุงของตัวเองได้ นี่ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลยนะ!”และซูหวั่นก็รู้ดีว่าตัวเองจะต้องอาศัยตอนที่มีคนอยู่มากๆในการอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ชัดเจน“มีดเล่มนั้นมันไม่มีตาตั้งแต่ตอนแรกแล้ว ลุงสามถือเชือกเข้ามาจะมัดข้า ข้าก็ไม่รู้ว่ามันไปทำร้ายโดนลุงสามได้ยังไงเหมือนกัน ฮือฮือ!”จะแข่งร้องไห้กันใช่ไหม นางก็ทำเป็นเหมือนกันนะ!เมื่อเห็นว่าซูหวั่นร้องไห้คร่ำครวญออกมา ซูลิ่วหลางก็ร้องไห้ตามไปด้วย และนางหลี่ก็ร้องไห้แทบขาดใจขึ้นมาเหมือนกันโดยที่เพื่อนบ้านที่มามุงดูต่างก็รู้สึกสงสารขึ้นมาอย่างจับใจดูสิ พวกนี้บีบบังคับทั้งสามคนขนาดนี้เลยเหรอ!ซึ่งหลี่เจิ้งก็ต้องเอนเอียงไปทางคู่แม่ลูกที่น่าสงสารคู่นี้เป็นธรรมดา เขาถลึงตาใส่แม่เฒ่าเซี่
ในห้องทางทิศตะวันออก ซูหวั่นนอนพิงอยู่บนเตียงอิฐไฟ โดยภายใต้ผ้าห่มสีเทายังมีฟางแห้งรองเอาไว้อีกหนึ่งชั้นโดยที่นางหลี่ได้นั่งอยู่บนขอบเตียงพร้อมกับดึงผ้ามาห่มให้กับนางด้วยความห่วงใย ซึ่งนางก็ยังจำได้ว่าก่อนหน้านี้ซูหวั่นได้บ่นบอกว่าหิว“อาหวั่น แม่จะไปทำกับข้าวนะ ประเดี๋ยวจะเอาโจ๊กมาให้เจ้า”ซูหวั่นเงียบไปสักพักเพิ่งจะทะเลาะกับแม่เฒ่าเซี่ยงมาหยกๆ และครอบครัวนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานด้วย แล้วจะมีข้าวเย็นกินได้อย่างไรกันหากนางหลี่ไปในห้องครัวคาดว่าจะต้องถูกรังแกทุบตีและต่อว่าเป็นแน่ แต่หากไม่ยอมให้นางหลี่ไป ด้วยนิสัยที่ซื่อๆของนางหลี่นั้น นางก็คงจะไม่ยอมอย่างแน่นอน“ท่านแม่ ระวังตัวด้วยนะคะ”ขอบตาของนางหลี่บวมแดง นางรีบพยักหน้าหงึกหงักแล้วตอบรับกลับไปว่า“อืม แม่รู้แล้วล่ะ”หลังจากที่นางหลี่ออกไปแล้ว ซูหวั่นก็ผล็อยหลับไปอีกครั้งและดูเหมือนว่านางจะเข้าไปสู่พื้นที่แห่งภาพลวงตาแห่งหนึ่งเสียแล้วโดยที่ด้านในเต็มไปด้วยสวนผลไม้และพืชสมุนไพร ซูหวั่นรู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างมาก โดยที่ยังคงมีความไม่เชื่ออยู่เล็กน้อย นี่มันเป็นสถานที่ที่นางเคยทำงานวิจัยผลิตภัณฑ์ไม่ใช่เหรอและมันก็ตามนางมาเ