เช้าวันต่อมา
"ครืด ครืด" เสียงสั่นจากมือถือดังขึ้น ปลุกให้ฉันตื่น "กี่โมงแล้วเนี่ย" ฉันสะลึมสะลือดูเวลาที่หน้าจอมือถือ พบว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้า ฉันจึงลุกจากเตียงแล้วเข้าห้องน้ำ อาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน ฉันทำงานเป็นผู้ช่วยของทนายความในบริษัทเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ตั้งแต่ตอนที่เรียนจบใหม่ๆ ตอนแรกจะหาประสบการณ์ในระหว่างที่รอสอบตั๋วทนาย แต่...ก็นั่นแหละ หมดไฟตั้งแต่สองปีแรกแล้ว เพราะสอบไม่ผ่านสักที สาเหตุหลักๆก็เกิดจากตัวฉันเองด้วย เวลาอ่านหนังสือทีไรหลับทุกที และโชคดีที่แผนกที่ฉันอยู่มีแต่เพื่อนร่วมงานที่ดี แม้เงินจะไม่ได้สูงขนาดนั้น แต่ก็ทำให้ฉันมีความสบายใจในการทำงาน บวกกับฉันขายสินค้าออนไลน์ตั้งแต่สมัยเรียน และตอนนี้เริ่มรับงานถ่ายแบบ จึงมีเงินมากพอที่จะใช้ชีวิตคนเดียวสบายๆไม่ติดขัด ฉันใช้ชีวิตแบบwork life balance นั่นเอง ในขณะที่ฉันกำลังแต่งหน้า ก็มีสายเรียกเข้าจากหัวหน้าแผนก "ครืด ครืด" "ว่าไงพี่คะโบว์" ฉันรับสาย "น้องสา เป็นไงบ้าง" "หมายถึงอะไรคะพี่โบว์" ฉันทำหน้างง "ยังไม่ได้เช็คข้อความในมือถือใช่ไหม" "ยังค่ะ" "งั้นเช็คเลย" เมื่อพี่โบว์พูดจบ ฉันจึงกดดูข้อความ มันเป็นข้อความจากบริษัทที่ส่งมาว่าเลิกจ้างและจะให้เงินชดเชย "..." ฉันนิ่งไปเพราะรู้สึกตกใจ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีวี่แววที่จะเลิกจ้างหรืออะไรเลย "ไอ้สา พี่เสียใจด้วยนะ เขาให้เลือกระหว่างสากับเลมอนอ่ะ พวกพี่ๆเลยต้องตัดสินใจอย่างนี้ เข้าใจพวกพี่ด้วยนะ" "หนูกับเลมอนเหรอคะ ฮ่าๆ" ฉันหัวเราะทั้งน้ำตา "เดี๋ยวพี่ช่วยดูงานจากที่อื่นให้นะ น้องสาอย่าเพิ่งเสียใจไปเลย คนทำงานดีแบบน้องสาไม่ว่าไปที่ไหน ใครๆก็ต้องการ" "ถ้าเป็นอย่างที่พี่โบว์พูด หนูก็คงไม่ต้องโดนเลิกจ้างหรอกค่ะ" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ "เฮ้อ...น้องสาพี่ต้องไปทำงานต่อแล้ว น้องสาก็ดูแลตัวเองดีๆนะ" "ค่ะ ขอบคุณค่ะพี่โบว์" "จ้าๆ" เมื่อพี่โบว์รับคำเสร็จ ก็วางสายไป ส่วนฉันได้แต่นั่งนิ่ง มันรู้สึกหน่วงๆในใจ "มันควรจะเป็นแบบนี้เหรอ" เลมอนคือเด็กจบใหม่ เพิ่งจะมาทำงานเป็นผู้ช่วยทนายเมื่อเดือนก่อน แล้วก็เป็นหลานของเจ้าของบริษัท "เฮ้อ~ เอาวะ อย่างน้อยก็ได้ค่าชดเชย" ฉันถอนหายใจ แม้จะรู้สึกเสียหลัก รู้สึกเคว้ง เพราะฉันอยู่ที่นี่มาประมาณ8ปี "มูฟออน ชีวิตคนเราอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด" ฉันปลอบใจตัวเองอยู่นาน จากนั้นจึงเปลี่ยนชุดมาเป็นชุดอยู่บ้านแทน "ไอ้คาริสา...กำลังใจที่ดีของแกคืออะไร" ฉันถามตัวเอง ก่อนจะตอบตัวเองว่า "ผู้ชายค่ะ" ฉันจึงเปิดแอป live jing ขึ้นมาเล่น นอนดูหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ แล้วก็เข้าไปคุยเล่นกับคนในแอพเพื่อคลายเครียด ประมาณเที่ยงๆ ฉันหิวข้าวจึงออกจากแอป live jing แล้วกดสั่งข้าว ระหว่างรอข้าวก็ดูนู่นดูนี่ในมือถือไปพลางๆ เกือบครึ่งชั่วโมงข้าวก็มาส่ง ฉันจึงลงลิฟต์ไปเอาข้าว แล้วกลับมากินข้าว เมื่อกินข้าวเสร็จก็เข้าแอป live jing อีกครั้ง "ไปดูที่ไหนดีนะ" ฉันวาร์ปเข้าประเทศนั้น ประเทศนี้ จนสุดท้ายมาหยุดอยู่ที่ญี่ปุ่น "ไหนดูซิ หนุ่มญี่ปุ่นจะน่ารักขนาดไหน" ฉันเลื่อนเข้าเลื่อนออก เข้าห้องนี้ ไปห้องนั้น จนมาหยุดอยู่ที่หนุ่มญี่ปุ่นคนหนึ่ง เขาใส่แว่น ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดบนเผยให้เห็นร่องอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามที่ไม่เล็กไปไม่ใหญ่ไป กำลังนั่งดีดกีต้าร์แล้วนั่งร้องเพลงภาษาญี่ปุ่นไปด้วย "โห...เพลงขาวจังเลยอ่ะ...เอ้ย...เพลงเพราะจังเลยอ่ะ" ฉันยิ้มกว้าง แม้จะฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออกก็ตามที "สวัสดีค่ะ ชื่ออะไรคะ" ฉันเอาข้อความไปแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วกดส่งให้เขา เขาอ่านข้อความ แล้วยิ้มทักทายก่อนจะพูดว่า "ผมชื่อเคนทาโร่ครับ" "วี๊ด~" ฉันกรีดร้องเบาๆ เสียงเขาทุ้มๆนุ่มๆ ฟังแล้วละมุนมาก "แล้วคุณชื่ออะไรครับ" เขาถามฉันกลับ เป็นภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยคล่องมาก "ชื่อคาริสาค่ะ" ฉันพิมพ์ไปเป็นภาษาอังกฤษ "โอ้...ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ" เขายิ้มบางๆ แล้วผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นการทักทาย "โอ๊ย~ คนบ้าไร ยิ้มโคตรน่ารักเลย" ฉันยิ้มกว้างตามเขา จากนั้นจึงเฝ้าเขาอยู่ในห้องไลฟ์จนกระทั่งเขาลงไลฟ์ เป็นเวลาประมาณสี่ทุ่มกว่า "ครืด ครืด" เสียงข้อความดังขึ้น ฉันจึงกดดู ก็พบว่าเป็นเคนทาโร่ที่ส่งข้อความมา เคนทาโร่ : ขอบคุณที่เข้ามาดูไลฟ์ผมนะครับ คืนนี้ฝันดีนะครับ คาริสา : ฝันดีค่ะ "กรี๊ด~ เขาทักมา เขามีใจให้ฉันแน่ๆ" ฉันกรีดร้องแล้ว ยิ้มกว้าง ก่อนจะเข้านอนด้วยความสุขใจหนึ่งเดือนต่อมา ฉันกับคุณใต้หล้าเลือกที่จะจดทะเบียนสมรสกันก่อน แล้วคุยกันว่าถ้าจะจัดงานแต่งงานก็อยากให้มีลูกของพวกเราร่วมงานด้วย ฉันปล่อยเช่าคอนโด แล้วย้ายมาอยู่กับคุณใต้หล้า เขาซื้อบ้านเดี่ยวแถวๆชานเมือง เป็นบ้านสองชั้น มีสระว่ายน้ำในตัวชีวิตของพวกเราเป็นไปอย่างเรียบง่าย วันหยุดพวกเราก็ใช้เวลาร่วมกันบ้าง บางทีก็พักผ่อนอยู่ที่บ้าน บางทีก็ออกไปเที่ยว ค่อนข้างมีความสุขเลยทีเดียว จนกระทั่งวันหนึ่ง "คุณใต้หล้า" ฉันเรียกเขาที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่น"ครับ" เขาเงยหน้าขึ้นมามองฉัน "แบมือ" ฉันบอกเขาพร้อมกับยิ้มมุมปาก เขาจึงยื่นมือมาตรงหน้า ฉันจึงวางของบางอย่างลงบนมือเขา"เซอร์ไพรส์""หืม?" เขามองสิ่งของที่อยู่บนมือของตัวเอง ก่อนจะลุกพรวดขึ้นมากอดฉันด้วยความยินดี"ดีใจไหมคะ?" ฉันถามเขา"ดีใจสิ...ในที่สุดก็จะมีลูกกับเธอแล้ว" เขายิ้มกว้าง และแน่นอนว่าสิ่งที่อยู่ในมือเขาคือที่ตรวจครรภ์ หลังจากนั้นเราสองคนก็เห่อลูกมาก พยายามเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเด็ก และกำลังวางแผนสร้างห้องให้ลูก แม้ฉันเพิ่งจะท้องได้สองเดือน แต่แล้ววันหนึ่ง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ในวันที่ฉันเลิกงาน ใ
สองสัปดาห์ต่อมา หลังจากเคนทาโร่ออกจากโรงพยาบาล คุณใต้หล้าก็ส่งเคนทาโร่ไปอยู่ต่างหวัด ซึ่งเป็นบ้านหลังเล็กๆท่ามกลางธรรมชาติ และยังส่งบอดี้การ์ดในคราบเพื่อนบ้านให้คอยดูแลเคนทาโร่อีกด้วย หนึ่งเดือนต่อมา ฉันกับคุณใต้หล้าไปเยี่ยมเคนทาโร่ เคนทาโร่มีใบหน้าที่สดใส ฉันเห็นแล้วก็รู้สึกสุขใจ เพราะเคนทาโร่น่าจะได้ใช้ชีวิตแบบที่ต้องการแล้ว"คาริสาดูสิ ผมปลูกเองนะ" เขาอวดพืชผักที่ปลูกเอง "เก่งมาก" ฉันยิ้มกว้าง "ผมฝึกทำกับข้าวด้วยแหละ พี่ชานนท์ พี่ที่อยู่ข้างบ้านสอน" เคนทาโร่ทำตาเป็นประกาย"จริงเหรอ...งั้นวันนี้ขอชิมฝีมือคุณหน่อยนะ" ฉันพูด "ได้เลย นั่งรอก่อนนะ" เคนทาโร่ จับมือฉันกับคุณใต้หล้าให้ไปนั่งที่โซฟา แล้วจึงหายเข้าไปในครัวครู่ใหญ่ "มาแล้วๆ" เคนทาโร่เดินถือไข่เจียวต้นหอมร้อนๆ ส่งกลิ่นเย้ายวนใจ แล้วเรียกพวกฉันให้ไปที่โต๊ะอาหาร"หอมมาก" ฉันกลืนน้ำลาย "มีแค่ไข่เจียวเหรอ?" คุณใต้หล้าถาม "มียำปลากระป๋องด้วย" เคนทาโร่ตอบ ก่อนจะวิ่งเข้าไปในครัว แล้วถือจานยำปลากระป๋องมาวางบนโต๊ะ"มากินข้าวกันเถอะ" เคนทาโร่ ตักข้าวสวยร้อนๆ ยื่นให้พวกเราคนละจาน และหันไปตักของตัวเอง จากนั้นจึงเริ่มกิน "อร่อย"
"เคนทาโร่...กินส้มตำไหม?" "เอาสิๆ ผมชอบ" เขาพยักหน้าเห็นด้วย "ขอหาร้านเด็ดก่อน" ฉันหยิบมือถือขึ้นมาหาร้านส้มตำเจ้าอร่อย เมื่อหาได้ก็บอกเคนทาโร่ ประมาณเกือบยี่สิบนาทีพวกเราก็มาถึงร้าน "โห/โห" ฉันกับเคนทาโร่หันมามองหน้ากัน เมื่อมองเห็นว่าร้านส้มตำคนแน่นร้านมาก อาจจะเป็นเพราะว่าพักกลางวันด้วยแหละมั้ง "ร้านอื่นไหม" ฉันหันไปถามเคนทาโร่ "ดีครับ" เขาพูดจบก็ออกรถ พวกเราจึงหาร้านไม่ไกลจากบริเวณนั้นเพราะหิวแล้ว ขับได้สิบนาทีก็มาถึงร้านส้มตำ ฉันกับเคนทาโร่ก็สั่งตำไทย ตำปูปลาร้า ปีกไก่ย่าง น้ำตก ยำทะเล และจิ้มจุ่ม ระหว่างรออาหารก็คุยสัพเพเหระไปเรื่อย "คาริสาจัง" "หืม?" "เมื่อไหร่จะมีหลาน ผมอยากอุ้มหลาน" "พรวด!" ฉันที่ดูดน้ำส้มอยู่ น้ำส้มพุ่งออกจากปากทันที "แค่กๆ" เคนทาโร่รีบยื่นทิชชู่ให้ "ถามอะไรของคุณเนี่ย" ฉันทำหน้าไม่ถูกเลย "ผมจริงจังนะ คุณก็รู้ว่าผมมีลูกไม่ได้" เคนทาโร่หมายถึงว่าเขาชอบผู้ชาย และไม่คิดที่จะเอาน้ำเชื้อของตัวเองไปทำลูกด้วย "ฉันกับเขายังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น พวกเราเพิ่งจะคบกันเองนะ" "ผมใจร้อนไปเหรอ? ฮ่าๆ" เขาหัวเราะ "ก็ใช่น่ะสิ" "เฮ้อ~ แย่จัง" เขาถอนหายใจด้วยความเ
"พี่คะ" ฉันเรียกเขา "หืม?" "ร้องเพลงให้หนูฟังหน่อยสิ" ฉันลงไปนอนบนเตียง แล้วเท้าคางมองหน้าเขา"เอาเพลงอะไรดี?" "อะไรก็ได้ค่ะ หนูฟังได้หมด" "โอเค" เขาตอบรับ แล้วดีดกีตาร์ เริ่มทำนองเพลง ก่อนจะร้องเพลง ฉันฟังเขาอย่างตั้งใจ เนื้อเพลงที่เขาร้องสื่อความหมายว่าขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้เราพบกัน และเขาไม่รู้ตัวว่ารักฉันตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีคือรักไปแล้ว "คิกๆ" ฉันนั่งยิ้มกว้าง ทำตาหวานเยิ้มมองเขา อีตาพี่คนนี้มันโรแมนติกตัวพ่อเลยนี่นา( ꈍᴗꈍ) "แปะๆ" ฉันตบมือรัวๆ แล้วพูดว่า "ร้องเพราะมากเลยค่ะ" "เพลงนี้แต่งเองนะ" "จริงเหรอ" "ใช่...มันเป็นความรู้สึกของผม...ถึงคุณ" "โอ๊ย~" ฉันเอามือจับที่บริเวณหัวใจของตัวเอง แล้วกระตุกทำท่าเหมือนจะตาย "เว่อร์" เขาหัวเราะ แล้วลุกไปเก็บกีตาร์ จากนั้นจึงนอนบนเตียง แล้วตะแคงข้างหันมากอดฉัน "จุ๊บ" เขายื่นหน้า มาจูบริมฝีปากฉันเบาๆ และแน่นอนว่าฉันไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆแน่>.ฉันขบเม้มริมฝีปากเขา แล้วค่อยๆสอดลิ้นเล็กเข้าไปในโพรงปาก ใช้ลิ้นเล็กเกี่ยวรัดลิ้นหนาอย่างหยอกล้อ มือที่ว่างอยู่ก็ยื่นไปปลดกระดุมเสื้อเขา ส่วนเขาใช้มือหนา ลูบไล้ที่บริเวณต้นขา ก่อนจะผลุ
หนึ่งเดือนต่อมา หลังจากที่ตกลงเป็นแฟนกัน เขากับฉันก็เจอกันบ้าง แต่ไม่ได้บ่อย ส่วนใหญ่จะวีดีโอคอลมากกว่าเพราะเขางานยุ่งและคืนนี้เขาสะพายกระเป๋าหนึ่งใบ มายืนอยู่หน้าห้องของฉันแล้วบอกว่า "ผมจะมาอยู่ที่นี่หนึ่งสัปดาห์" "พี่ไม่ทำงานทำการหรือไงคะ?" ฉันเอียงคอถามด้วยความสงสัย "เคลียร์หมดแล้วครับ" "อย่าบอกนะว่า...ที่พี่โหมทำงานหนักตลอดหนึ่งเดือนนี้เพราะจะลามาอยู่กับหนู" "ใช่" เขายิ้มกว้าง "โห~" น้ำตาของฉันไหลริน "ร้องไห้ทำไม" เขายื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้ฉัน "ฮือ~" ฉันยิ่งร้องไห้หนัก เขาจึงดึงฉันเข้าไปกอดปลอบใจ แล้วอุ้มฉันเข้าห้อง จากนั้นจึงวางลงบนเตียงกว้าง"ไม่ดีใจเหรอ?" "ฮึก...ดีใจสิคะ" ฉันสะอื้นตอบ ก่อนหน้าที่เคยผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันก็เคยคิดว่าเป็นเพราะฉันดีไม่พอหรือเพราะอะไร ทำไมคนอย่างฉันไม่สมควรถูกรักบ้าง ทั้งๆที่ทุกความสัมพันธ์ฉันให้ใจไปเต็มร้อยและซื่อสัตย์กับทุกความสัมพันธ์เสมอ และในวันนี้ฉันได้คำตอบแล้วว่า'เพราะที่ผ่านมาฉันรักไม่ถูกคน' กว่าฉันจะก้าวผ่านความเจ็บปวดและเยียวยาจิตใจตัวเองจากคนก่อนๆค่อนข้างสาหัสทีเดียว ฉันเก็บความผิดพลาดจากคนก่อนๆมาพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น แล้วเริ
เมื่อขับรถตามมาจนถึงจุดหมาย ก็พบว่าเป็นหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ฉ้นกับคุณใต้หล้าจึงลงจากรถ "ฮือๆ" เสียงสะอื้นของเหมยดังลอดออกมา ฉันมองเข้าไปก็ไม่เห็นตัวเหมยเพราะคนที่จับตัวเหมยมายืนล้อมเหมยเอาไว้ "สาแก่ใจหรือยัง" เสียงผู้ชายที่เต็มไปด้วยความคับแค้นระคนเศร้าใจดังขึ้น ฉันจำได้ว่ามันเป็นเสียงของคนที่เอาปืนขู่ฉัน "ฮึกๆ...ฮือๆ...ฉันขอโทษ...ฉันไม่รู้" เหมยสะอื้น "ไม่รู้? พูดง่ายๆว่าไม่รู้...ฮ่าๆ" ชายคนนั้นหัวเราะเหมือนคนเสียสติ คุณใต้หล้าจับมือฉันเดินเข้าไปใกล้ พวกเขาได้ยินฝีเท้าของพวกเราจึงพากันเปิดทางออก ทำให้ฉันเห็นโลงศพสามโลงตั้งอยู่ หน้าโลงศพ มีผู้หญิงอายุราวๆสี่สิบปีหนึ่งคน เด็กผู้หญิงอายุราวๆสิบสองปีหนึ่งคน และเด็กชายอายุราวๆเก้าขวบหนึ่งคน เมื่อเห็นอย่างนั้นฉันก็พอนึกเรื่องราวออก ฉันมองไปที่เหมยแล้วเดินเข้าไปหา "เหมย" "คาริสา...ฮือๆ" "แกกลับไปทำงานแล้วเหรอ?" "ใช่" "คดีแรกเหรอ?" "ฮึก...ฮือๆ...ใช่...แต่ฉันไม่รู้นี่...ไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้" "เมาแล้วขับใช่ไหม" "น่าจะใช่...ฮือ" "เฮ้อ~" ฉันถอนหายใจ ไม่รู้จะช่วยยังไง ถ้าพูดในเรื่องของหน้าที่เหมยก็ทำถูกแล้ว แต่ถ้าจะพูดถึง